”เคร้ง !” เสียงดังขึ้น เหล่าลูกศิษย์ก็เงียบลงดั่งเป่าสาก มองดูเจ้าหน้าที่คุมสอบเซียวเฉวียน จ้าวหลาน และจางจิ่นที่ปรากฏตัวบนสังเวียนอย่างตื่นเต้น
ครั้งนี้เจ้าหน้าที่คุมสอบก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพิเศษโดยองค์จักรพรรดิเช่นเดิม
เดิมที องค์จักรพรรดิเลือกเพียงเซียวเฉวียนและจ้าวหลาน แต่จางจิ่น มนุษย์วัตถุโบราณคนนี้ขอร้องอย่างเสียงแข็งว่าอยากจะเป็นผู้คุมสอบด้วยในห้องโถงใหญ่ของตำหนัก
องค์จักรพรรดิก็ขี้เกียจจะโต้เถียงกับจางจิ่น แต่อย่างไรนี่เป็นการแข่งขันบทกวี ภายใต้สายตาของทุกๆ คน จางจิ่นถึงไปก็ไม่อาจสร้างปัญหาใดๆ ได้ ในเมื่อจางจิ่นชอบร่วมสนุก องค์จักรพรรดิก็ทำตามความปรารถนาของเขาและปล่อยให้เขาร่วมสนุกให้หนำใจ !
คนที่ตีระฆังเมื่อกี้คือจางจิ่นนั่นเอง
จางจิ่นเหลือบมองเซียวเฉวียนด้วยท่าทางหยิ่งผยอง ราวกับจะบอกว่าข้าเป็นคนตีระฆัง ข้ามีความดีความชอบอันใหญ่หลวง
ข้าใหญ่สุด !
เซียวเฉวียนไม่แม้แต่จะสนใจของโบราณเก่าแก่สันดานอนุบาลคนนี้
คนโบราณครั้นจะอนุบาลขึ้นมา ไม่เลือกว่าจะเป็นวัยอาวุโสหรือวัยเด็กเล็กจริง ๆ !
จางจิ่นสีหน้าอวดดีแลกกลับมาด้วยความเมินเฉยของเซียวเฉวียน หน้าชรารู้สึกแตกเล็กน้อยและบ่นด้วยความเคืองในใจ "เซียวเฉวียนไร้ผู้คนในสายตาคนนี้ ! ฮึ !"
ข้างล่างมีศิษย์หัวดำๆ กลุ่มหนึ่ง ดวงตาของทุกคนก็เฉียบคม แน่นอนมีบางคนเห็นจากฉากนี้ว่าเซียวเฉวียนและจางจิ่นไม่ลงรอยกัน
เงียบไม่ถึงสามวินาที ก็มีลูกศิษย์กระซิบกระซาบกันข้างล่าง ในขณะที่ซุบซิบ ดวงตาของพวกเขายังจ้องมองไปที่จางจิ่นเป็นครั้งคราว
จางจิ่นไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด แต่จางจิ่นเห็นอากัปกิริยาของพวกแล้วรู้สึกว่าพวกเขากำลังหัวเราะว่าจางจิ่นจิตใจคับแคบ
หน้าของจางจิ่นกระตุกเป็นจังหวะ ความโกรธทวีแรงมากขึ้น "เงียบๆ ! ตอนนี้ข้าจะประกาศหัวข้อสอบ"
ข้อสอบยังคงออกโดยเซียวเฉวียน หลังจากที่เซียวเฉวียนเขียนเสร็จแล้ว องค์จักรพรรดิก็คัดลอกหนึ่งฉบับ จากนั้นองค์จักรพรรดิก็มอบฉบับคัดลอกนั้นให้กับจ้างจิ่นซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ชั่วคราวในครั้งนี้
ให้จางจิ่นนำมาที่สนามสอบ
จางจิ่นเห็นว่าตัวอักษรบนกระดาษไม่ใช่ลายมือของเซียวเฉวียน
ดังนั้นจางจิ่นจึงคิดด้วยสมองขี้เลื่อยออกมาว่า ข้อสอบนี้องค์จักรพรรดิเป็นผู้ออกเองและมอบให้จางจิ่นเอง
องค์จักรพรรดิทรงไว้วางใจตัวเองมากเพียงใด ? จางจิ่นรู้สึกภาคภูมิใจ
นี่ก็เป็นอีกต้นทุนหนึ่งที่จางจิ่นนำไปคุยโม้โอ้อวดได้
เซียวเฉวียนเป็นมหาราชครูมิใช่หรือ ?
ทุกคนไม่ได้บอกว่าองค์จักรพรรดิให้ความสำคัญกับเซียวเฉวียนหรือ ?
ข้อสอบในการสอบนั้นสำคัญไฉน องค์จักรพรรดิยังมอบให้เขา และให้เขานำมาตรงนี้
เห็นได้ว่า ตัวเองต่างหากเป็นผู้ได้รับความโปรดปรานของพระองค์ จางจิ่นกวาดมองลูกศิษย์ข้างล่างด้วยท่าทางหยิ่งผยอง มองดูพวกลูกศิษย์ที่ตั้งหน้าเฝ้ามองเขาอยู่ จางจิ่นก็รู้สึกว่าใบหน้าของเขามีประกาย ความโกรธก็หายเป็นปลิดทิ้ง ใบหน้ามีแต่ความเบิกบานใจ
หารู้ไม่ว่า เป็นเพราะข้อสอบอยู่ในมือของจางจิ่น สิ่งที่ลูกศิษย์เฝ้ามองคือข้อสอบ ลูกศิษย์ไม่มองไปที่จางจิ่นจะให้มองไปที่เซียวเฉวียนและจ้าวหลานหรือไง ?
จะไม่ทำให้จางจิ่นโกรธจนตรมใจตายหรือ ?
เซียวเฉวียนมองดูจางจิ่นด้วยความรังเกียจ ของโบราณชิ้นนี้เก่าเกินไปแล้ว ถือขนไก่มาทำเป็นลูกศร
ในชั่วพริบตาที่จางจิ่นจมอยู่ในอารมณ์ครึ้มนั้น สำหรับลูกศิษย์ มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากแล้ว
พวกลูกศิษย์ต่างรอคอยอย่างกระตือรือร้นมาเป็นเวลานาน จางจิ่นไม่อ่านข้อสอบซะที พวกเขาเริ่มมีสีหน้าหมดความอดทน แต่พวกเขาไม่มีภูมิหลัง ไม่กล้าที่จะล่วงเกินเจ้าหน้าที่ จึงทำได้แต่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อเท่านั้น
แต่เว่ยเป้ยไม่เหมือนกัน เขาเห็นเพื่อนศิษย์รอกันจนร้อนอกร้อนใจ เขาก็เต็มใจที่จะช่วยเหลือพวกเขา เว่ยเป้ยจึงเร่งเร้าให้ "ใต้เท้าจาง ท่านรีบประกาศข้อสอบหน่อยสิ"
คนไหนไม่รู้จักมารยาทถึงขนาดนี้ ?
จางจิ่นมองลงจากสังเวียนด้วยสีหน้าบูดบึ้ง กำลังจะตำหนิคนที่พูด แต่เมื่อเขาเห็นว่าเป็นลูกรักของเว่ยเชียนชิว ใบหน้าชราของเขาก็นิ่งชาลงทันที และก็ท่องข้อสอบอย่างเชื่อฟัง “ให้ศิษย์ทุกคนเอาเรื่องสอบคัดเลือกขุนนางเป็นหัวข้อ แต่งบทกวีอย่างสดๆ ให้ผู้อารักขาของศิษย์ต่อสู้รวมกัน ให้ผู้ชนะสามคนสุดท้ายต่อสู้กันเองอีกครั้งเพื่อกำหนดอันดับของสามอันดับแรก”
“ส่วนลูกศิษย์ที่เหลือจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”
เว่ยเป้ยไม่คิดว่าเขาจะแทงถูกข้อนี้จริงๆ !
ในเวลาเดียวกัน มีบทกวีของไป๋จวีอี้ กวีสมัยราชวงศ์ถาง "สอบติดกลับถิ่นเยี่ยมญาติมิตร อำลาสหายรุ่นปีเดียวกัน" ออกมาจากปากของฉินซู !
เว่ยเป้ยสะดุ้งและหันไปมองฉินซูที่อยู่ไม่ไกล
ขยันร่ำเรียนสิบปี สอบได้พร้อมชื่อเสียง
ไม่ทันรับราชการ อวยญาติให้ได้เกียรติ
เพื่อนรุ่นหกเจ็ดคน ส่งข้าออกเมืองหลวง
รถม้าเริ่มเดินทาง ยกท่อไหมบอกลา
ใจชื้นคลายใจห่าง ครึ่งเมาไกลไม่หวั่น
ฝีม้าเร่งสุดฤทธ์ คืนถิ่นวันวสันต์
ความหมายของบทกวีนี้คือ หลังจากศึกษาอย่างหนักเป็นเวลาสิบปี ในที่สุด "ข้าพเจ้า" ก็สอบได้จิ้นซื่อพร้อมชื่อเสียง บรรจบชีวิต ”นักเรียนยากจน”ของ "ข้าพเจ้า" ความชื่นบานของสายลมฤดูใบไม้ผลิ ลดความโศกเศร้าของการพรากจากกัน ดื่มเมานิดหน่อยคลายความรู้สึกต่อหนทางที่ยังยาวไกล จิตใจตื่นเต้นก็รู้สึกว่ากีบม้าเบาราวกับเหินได้ อาศัยวันฤดูใบไม้ผลิที่สดใส "ข้าพเจ้า" จะกลับบ้านเกิดไปเยี่ยมญาติ
บทกวีนี้บรรยายสภาพและอารมณ์ของ "ข้าพเจ้า" หลังจากสอบได้ด้วยถ้อยคำที่สามัญเรียบง่าย สร้างภาพที่มีชีวิตชีวาและละเอียดอ่อน
ไป๋จวีอี้ถูกเรียกว่า "ปีศาจกวี" โดยชนรุ่นหลัง แสดงให้เห็นว่าความสามารถในการแต่งบทกวีของเขาดีพอสมควร
บทกวีของเขา ไม่ว่าจะหยิบบทไหนออกมา ก็ทิ้งห่างกลุ่มลูกศิษย์ในเมืองหลวงต้าเว่ยนี้ไปหลายช่วงถนนทีเดียว
เอาชนะพวกเขา ไม่ใช่ปัญหา
แม้ว่าบทกวีนี้จะดูแรงอ่อนกว่าบท "เติ้งเคอโฮ่ว" ของเมิ่งเจียวเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นบทกวีที่ดีและหายาก ! บวกกับกำลังแข็งแกร่งของเว่ยอู๋จี้เอง จึงไม่มีปัญหาที่จะเอาชนะบรรดาลูกศิษย์รวมถึงเว่ยเป้ยด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...