ฉินซูโหรวอยู่ในตำหนักเย็นเป็นเวลาห้าปีเต็ม นางพบเจอกับความยากลำบากตลอดห้าปีนี้ นางคิดที่จะไปจากตำหนักเย็นตลอดเวลา ความแค้นที่นางมีต่อหมิงเจ๋อมากเพิ่มขึ้นทุกวัน แค้นเสียจนอยากชักกระดูกออกมาฉีกให้เป็นชิ้น ๆ!
นางสาบานว่าหากนางออกจากตำหนักเย็นได้ จักต้องเอาคืนหมิงเจ๋อให้สาสม!
นางถึงขั้นที่เกิดความแค้นต่อคนตระกูลฉินด้วย นางคิดว่าเมื่อก่อนคนตระกูลฉินเสแสร้งทำดีกับนาง มิเช่นนั้นการที่นางหายตัวไปในพระราชวังเนิ่นนานเช่นนี้ ขุดดินในวังสามศอกก็น่าจะหานางเจอตั้งนานแล้ว
จนกระทั่งฉินซูโหรวถูกเซียวเฉวียนช่วยออกมา จึงรู้ว่าหมิงเจ๋อบงการอาจื่อให้มาแทนฉินซูโหรว และเสพสุขทุกสิ่งทุกอย่างในจวนฉินที่ควรเป็นของฉินซูโหรว
แท้จริงแล้วมีคนคนหนึ่งที่คล้ายกับนางอย่างมากแอบอ้างเป็นนาง!
นางยอมรับได้ที่คนตระกูลฉินแยกไม่ออกว่าอาจื่อเป็นตัวปลอม
คนตระกูลฉินก็ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงด้วยเช่นกัน
ความแค้นที่นางมีต่อคนตระกูลฉินหายไปชั่วพริบตา เพราะมันแทบไม่มีเหตุผลเลย
และยังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่โกลาหลอลหม่านในตระกูลฉิน เดิมทีตระกูลฉินเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงปีเดียวก็พังพินาศเป็นเสี่ยง ๆ และไม่อาจฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ในอดีต
อีกทั้งผู้ที่ผู้ที่ริเริ่มกระทำเช่นนี้ก็คือหมิงเจ๋อ หากหมิงเจ๋อไม่ได้สร้างผู้แอบแฝงขึ้นมาในจวนฉินและหาเหาใส่หัวต่อ เว่ยเชียนชิวก็คงไม่ได้ใช้โอกาสนี้ในการกัดเซาะอำนาจของจวนฉิน
หากไม่ใช่หมิงเจ๋อ ทุกสิ่งก็คงไม่เป็นเช่นนี้!
ดังนั้น ฉินซูโหรวจึงเกลียดแค้นหมิงเจ๋ออย่างมาก และนางรู้อีกว่าในมือของเซียวเฉวียนมีใบเบิกทางไปยังซินเจียง นางมีลางสังหรณ์ ในเวลาเซียวเฉวียนเสนอให้พานักเรียนออกไปฝึกฝน และมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะไปยังซินเจียง
ในเมื่อไปซินเจียง จักขาดฉินซูโหรวไปได้อย่างไร?
และในตอนนี้ก็ไม่มีคนนอก ฉินซูโหรวจึงถามอย่างตรงประเด็นว่า “ราชครู ท่านนำนักเรียนไปฝึกฝนครั้งนี้ ท่านไปยังซินเจียงใช่หรือไม่?”
คำถามนี้ทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างตกใจ
ผู้ที่ตกใจมากที่สุดก็คือเว่ยเป้ย
เว่ยเป้ยก็คือผู้ที่ถูกเลือกให้ไปฝึกฝนในครั้งนี้
อะไรกัน?
เขาเพิ่งได้เป็นจอหงวน ก็ถูกส่งไปยังชายแดนเลยหรือ?
มิน่าเล่าเซียวเฉวียนที่เพิ่งรู้จักกับเขาจึงยินดีปรีดาเช่นนี้... ที่แท้ก็วางแผนไว้แล้วนี่เอง
คนบ้านเดียวกัน กลับแทงข้างหลังตอนเผลอ!
เซียวเฉวียนคนนี้ช่างไม่มีความเกรงใจกันเลยสักนิด!
เว่ยเป้ยเป็นผู้ที่มาจากฮว๋าเซี่ย เขารู้แน่นอนว่าซินเจียงค่อนข้างคล้ายกับพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือในยุคใหม่
พื้นที่แถบนี้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งปี อาณาเขตกว้างใหญ่ ประชากรไม่แน่นหนา ตั้งอยู่บริเวณชายแดนฮว๋าเซี่ย กล่าวคือ หากเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านก็จะเรียกว่าชายแดน
ชายแดนมีระดับความสูงเหนือน้ำทะเลอยู่มาก แห้งแล้งยาวนานหลายปี พื้นดินไม่อุดมสมบูรณ์ พายุทรายรุนแรง และสภาพความเป็นอยู่เลวร้าย ผู้คนที่มาจากที่อื่นมีแนวโน้มที่จะป่วยจากความสูงเช่นกัน
ชายแดนฮว๋าเซี่ยในยุคปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ ซินเจียงแห่งต้าเว่ยทุรกันดารเสียยิ่งกว่า
การไปยังสถานที่แม้แต่นกยังไม่บินผ่าน หากเป็นการท่องเที่ยวในยุคปัจจุบันเรียกได้ว่าได้สัมผัสกับธรรมชาติที่สวยงาม
ทว่าไปยังซินเจียงแห่งต้าเว่ย นั่นคือการแกว่งเท้าหาเสี้ยน หากต้องเดินทางไปยังสถานที่ที่ไร้อารยธรรม ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีชีวิตกลับต้าเว่ยหรือไม่ เว่ยเป้ยเพียงคิดก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทิ้มไปทั้งตัว มองเซียวเฉวียนด้วยใบหน้าที่สงสัย และรอเซียวเฉวียนตอบคำถามของฉินซูโหรว
เว่ยเป้ยพึมพำในใจ “เจ้าแม่กวนอิมและพระยูไลผู้มีเมตตาและยิ่งใหญ่ ขอให้พวกท่านอย่าให้เซียวเฉวียนบอกว่าไปซินเจียงเลย”
“ใช่”
คำพูดสั้น ๆ ที่ออกมาจากปากของเซียวเฉวียน ได้ทำลายความฝันของเว่ยเป้ยอย่างไร้ความปราณี เว่ยเป้ยคิดอยากจะตบเซียวเฉวียนให้ทิ่ม!
ต่อให้เซียวเฉวียนโกหกเว่ยเป้ยว่าไม่ใช่ เพื่อให้เว่ยเป้ยดีใจสักสองสามวันก็ยังดี
เซียวเฉวียนคนใจจืดใจดำ!
เว่ยเป้ยมองเซียวเฉวียนอย่างคับแค้นใจและถามขึ้นว่า “ไปซินเจียงทำไม?”
“ฝึกฝนในต้าเว่ยมีดินแดนอันสวยงาม เหตุใดต้องไปถึงซินเจียง?”
เขากำลังจะบอกเซียวเฉวียนว่า เจ้าอย่าคิดเอาการฝึกฝนมาหลอกข้า!
ข้าไม่เชื่อ!
“หามันเทศ”
เซียวเฉวียนที่พูดขึ้นมาในทันทีทันใด เว่ยเป้ยจึงไร้การตอบสนองในทันที และถามด้วยสีหน้าที่อ้ำอึ้ง “ห๋า?”
เมื่อมองสีหน้าที่มีความหมายลึกซึ้งของเซียวเฉวียนและฮ่องเต้ ในที่สุดเว่ยเป้ยก็ได้สติ หน้าของเขาก็แดงขึ้นในทันทีและพึมพําในใจว่า “ให้ตายเถอะ! พวกเขารู้ว่าข้านำชาวยุทธ์แท้มาประชันกลอนงั้นหรือ? เร็วดั่งเทพเสียจริง!”
เมื่อเห็นใบหน้าที่กลัดกลุ้มของเว่ยเป้ย ฮ่องเต้พูดอย่างอารมณ์ดี “เรื่องของมันเทศ ต้องรบกวนจอหงวนแล้วล่ะ!”
จอหงวนสองรุ่นนำคนไปยังซินเจียงเพื่อหามันเทศ เว่ยเป้ยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในฮว๋าเซี่ยยุคใหม่ มันเทศไม่เพียงแต่ใช้สำหรับการรับประทานอาหารเท่านั้น แต่ยังมีความหมายของการหยอกล้อ และยังสามารถใช้เป็นคำด่าที่สละสลวยได้อีกด้วย
อย่างเช่น การด่าคนว่าโง่เขลาเหมือนมันเทศ หรือเรียกว่าไอ้มันเทศ
เพียงแต่เว่ยเป้ยไม่เคยนึกเลยว่า อยู่ในต้าเว่ยมาเนิ่นนานเช่นนี้ เป็นครั้งแรกที่เป็นคนที่สง่าผ่าเผยเพราะพรจากมันเทศ สถานการณ์บีบบังคับคนเสียจริง!
...
...
ณ จวนเจียนกั๋ว
จังหวะและโอกาสอันเป็นสุขทำให้จิตใจเบิกบาน
เว่ยเชียนชิวนอนตะแคงอยู่บนเตียง สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก
เพราะได้ยินนักสืบแจ้งว่าลูกชายสุดที่รักได้เป็นจอหงวน หน้าของเว่ยเชียนชิวแสดงออกถึงความภาคภูมิใจ ริ้วรอยระหว่างคิ้วแห่งความสุขขมวดเป็นก้อน
ดีจริง ท้ายที่สุดเว่ยเป้ยก็มุมานะจนได้ตำแหน่งจอหงวน
พระอาทิตย์ยากที่จะขึ้นทางทิศตะวันตก เว่ยเชียนชิวตบทองคำเป็นรางวัลให้นักสืบเพราะความดีใจ
นักสืบดีใจเสียจนน้ำตาคลอเบ้า มือที่ถือทองคำสั่นไม่หยุด พลางคิดในใจว่า เมื่อกลับบ้านต้องดื่มสักสองไหเป็นการฉลอง นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของจวนเจียนกั๋ว!
ช่างเป็นสิ่งที่รุ่งโรจน์!
ในขณะที่เว่ยเชียนชิวสำราญใจพอแล้ว เขาก็นึกถึงฉินซูโหรวและถามขึ้นว่า “แล้วฉินซูได้ที่เท่าไร?”
*คุณปู่หยวน (袁爷爷) หรือหยวนหลงผิง บิดาแห่งการปลูกข้าวพันธุ์ผสม
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...