แย่แล้ว !
องค์จักรพรรดิเกิดเรื่องแล้ว !
องค์จักรพรรดิเป็นโอรสแห่งสวรรค์ เป็นเจ้านายของทุกคนในราชวงศ์ต้าเว่ย องค์จักรพรรดิเป็นอะไรไป ก็จะเหมือนกับท้องฟ้าถล่ม
ทุกคนในที่เกิดเหตุต่างล้อมเข้ามา
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่องค์จักรพรรดิ แม้แต่ผู้อารักขาที่กำลังสู้รบกันอยู่ก็พักมือและมองดูฝูงชนอย่างพร้อมเพรียง
ทุกคนภาวนาอยู่ในใจว่าอย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับองค์จักรพรรดิ มิเช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถบ่ายเบี่ยงความผิดได้
โดยเฉพาะเสนาบดีทั้งสองคน องค์จักรพรรดิล้มลงเพราะพวกเขาเอาความตายมาบีบบังคับ หากองค์จักรพรรดิเป็นอะไรไป พวกเขาจะต้องรับโทษเต็มๆ หัวต้องแยกจากร่างแน่ ! ตัวพวกเขาเองไม่สำคัญ แต่ทำให้องค์จักรพรรดิโกรธเคืองถึงแก่วายชนม์เป็นเรื่องใหญ่ ต้องถูกประหารเก้าชั่วโคตร
เสนาบดีทั้งสองคนอยู่ใกล้องค์จักรพรรดิมากที่สุด พวกเขาคุกเข่าคลานไปข้างหน้าด้วยความหวาดกลัว และใช้มือที่สั่นเทาตรวจดูลมหายใจขององค์จักรพรรดิอย่างระมัดระวัง โชคดีที่องค์จักรพรรดิยังมีลมหายใจอยู่ ทั้งสองมองหน้ากันและถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใจที่เสมือนห้อยอยู่บนปลายมีด ก็ผ่อนคลายลงเป็นส่วนใหญ่
“ฝ่าบาท ?” ทั้งสองคนร้องเรียกเบาๆ มองดูองค์จักรพรรดิด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง พวกเขาหวังอย่างใจจดใจจ่อว่าเสียงนี้จะทำให้องค์จักรพรรดิตื่นขึ้น
แต่องค์จักรพรรดิไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ดวงตาของพระองค์ปิดสนิท ท่าทางมีสีหน้าสงบเหมือนกับกำลังหลับสนิท
องค์จักรพรรดิพึมพำอยู่ในใจว่าเขาตื่นไม่ได้ ต้องให้ขุนนางหัวโบราณเหล่านี้เดือดเนื้อร้อนใจซะบ้าง และซื้อเวลาให้เซียวเฉวียนแอบหนีไป...
ควรใช้โอกาสนี้ให้บรรดาขุนนางทราบดีว่าองค์จักรพรรดิจะถูกยั่วยุไม่ได้ พวกเขาจะได้พิจารณาก่อนมาทัดทานสิ่งใดต่อไปนี้ ไม่ใช้วาจาและการกระทำที่รุนแรงจนเกินไป และนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่หวั่นตายเอาความตายมาบีบบังคับ
”ฝ่าบาทเป็นยังไงบ้าง ?”
จางจิ่นที่สังเกตวาจาและสีหน้าอยู่ด้านข้างๆ ได้รับรู้จากการเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของเสนาบดีทั้งสองว่าองค์จักรพรรดิแค่เป็นลมไป ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งอัครเสนาบดี เขาควรแสดงความห่วงใยต่อองค์จักรพรรดิ
ยิ่งไปกว่านั้น หยวนเหยาผู้ตรวจการราชสำนักก็จากไปแล้ว และเซียวเฉวียนได้สร้างความขัดแย้งอย่างจริงแท้กับข้าราชสำนักด้วยเหตุจะเดินทางไปยังภูมิภาคตะวันตก เซียวเฉวียนไม่มีโอกาสจะล้างฟอกตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงจะมาแย่งชิงตำแหน่งอัครเสนาบดีกับจางจิ่นได้อีกแล้ว !
ขอเพียงจางจิ่นประพฤติตัวดีในเวลานี้ รับผิดชอบรักษาเสถียรภาพของสถานการณ์โดยรวม ให้บรรดาเสนาอำมาตย์เต็มใจที่จะยืนเคียงข้างเขาและพูดเข้าข้างเขา เขาเชื่อว่าอีกไม่นาน ตำแหน่งอัครเสนาบดีก็จะตกเป็นของเขา
เมื่อถึงเวลานั้น จางจิ่นก็จะอยู่รองจากหนึ่งคนแต่เหนือกว่าหมื่นคนอย่างมั่นเหมาะ ต่อจากนั้นไป เขาจะไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต เรียกหนึ่งคนร้อยคนสนองรับ ให้เจ้าหน้าที่หลายร้อยคนอิจฉา เพลิดเพลินไปกับความรุ่งโรจน์ความมั่งคั่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด !
ในที่สุดโอกาสอันยิ่งใหญ่ของจางจิ่นก็มาถึงแล้ว !
เขาต้องรักษาโอกาสนี้ให้ดี ต้องรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นคนดูดีให้เร็วที่สุด
เมื่อเสนาบดีทั้งสองได้ยินก็หันไปมองจางจิ่น ส่ายหัวด้วยสีหน้ารู้สึกผิดแล้วพูดว่า "ใต้เท้าจาง ฝ่าบาทยังทรงอยู่ในอาการหมดสติ เรียกก็ไม่ตอบสนอง ไม่ทราบพระวรกายเป็นยังไง”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล พวกเขาถึงกับเสียใจที่เอาความตายมาบีบบังคับ ทำให้องค์จักรพรรดิตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
เมื่อได้ยินดังนั้น จางจิ่นจึงพูดกับทหารสองคนที่เฝ้าประตูเมืองทันที "พวกเจ้ารีบไปหารถม้ามาโดยด่วน นำฝ่าบาทกลับไปพระราชวังเพื่อรับการรักษาวินิจฉัยโดยแพทย์หลวง"
ทหารที่ได้รับคำสั่งไม่กล้ารอช้า เร่งฝีเท้าหายตัวไปในชั่วพริบตา
ทหารทั้งสองนี้ สมองไวมาก ผ่านไปสักพักเดียวก็ขับรถม้ามาอย่างเร่งด่วน ยังเป็นรถที่ควบม้าสองตัว วิ่งได้รวดเร็วและมั่นคง สามารถร่นระยะเวลาในการกลับพระราชวังให้สั้นลงได้มาก ซื้อเวลาให้องค์จักรพรรดิได้รับการบำบัดรักษา ทั้งป้องกันองค์จักรพรรดิไม่ให้มีอุบัติเหตุที่เกิดจากทางกระเด้งกระดอน
เจ้าหน้าที่ในที่เกิดเหตุทุกคนอดไม่ได้ที่จะแสดงความชื่นชมทหารทั้งสอง
ด้วยความเร่งรีบ เสนาบดีทั้งสองคนช่วยกันพยุงองค์จักรพรรดิขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แต่น่าแปลกที่องค์จักรพรรดิมีน้ำหนักมาก เสนาบดีทั้งสองใช้ความพยายามอย่างมากแต่ยกตัวขององค์จักรพรรดิขึ้นได้เพียงนิดเดียว พวกเขาเบ่งจนหน้าแดงหมดแล้ว เหงื่อออกเต็มหน้าผาก และหายใจหืดหอบ
เมื่อได้ยินลมหายใจที่ไม่เป็นระเบียบของพวกเขา องค์จักรพรรดิอดสงสารไม่ได้ แต่ถ้าพระองค์ไม่แอบใช้กำลังภายในถ่วงเวลาที่เสนาบดีทั้งสองคนพยุงให้ลุกขึ้น ความสนใจของเสนาบดีทั้งสองก็จะเบนไปที่ตัวเซียวเฉวียนอย่างไว เพื่อขัดขวางเซียวเฉวียนเดินทางไปที่ภูมิภาคตะวันตก ไม่รู้ว่าพวกเขาจะก่อความวุ่นวายอะไรอีก
องค์จักรพรรดิแอบค่อยๆ เพิ่มกำลังภายใน และเสนาบดีทั้งสองก็ดูเหนื่อยแรงมาก จางจิ่นอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและสงสัยว่าองค์จักรพรรดิหนักขนาดนั้นเลยหรือ ? ถึงองค์จักรพรรดิจะตัวสูง แต่ก็ดูไม่น่าหนักถึงขนาดนั้น
จางจิ่นไม่ได้คุย จางจิ่นก็สามารถพยุงองค์จักรพรรดิขึ้นมาได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว
แต่เสนาบดีทั้งสองคนนี้ถูลู่ถูกังมาเป็นเวลานานยังพยุงไม่ขึ้น หากพระวรกายขององค์จักรพรรดิมีอันตรายเกิดขึ้น ไม่ใช่ถ่วงเวลาให้ล่าช้าในการรักษาหรือ ?
จางจิ่นกังวลจนอดไม่ได้ จึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วย ทั้งพูดด้วยน้ำเสียงที่เคลือบแคลงเล็กน้อย "ให้ข้าเอง !"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...