ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 933

เดิมทีฝ่าบาทได้มีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับการมาเยือนของเซียวเฉวียน ทว่า หลังจากที่เซียวเฉวียนมอบเหลียงซินเฉ่าให้แล้วนั้น ฝ่าบาทพลันหันกายเดินกลับไปหาหมอหลวงด้วยท่าทีหน้านิ่วคิ้วขมวดไปในทันที เพื่อรีบไปตามหมอหลวงมาช่วยชีวิตชายาของตนเองในทันใด

นั่นจึงทำให้เซียวเฉวียนตระหนักได้ว่า ท่านพ่อตาและแม่ยายของตนเองนั้นรักใคร่ปรองดองมากนัก

เซียวเฉวียนเดินทางไปมาว่องไวยิ่ง นับตั้งแต่เมืองอีหลินจนมาถึงสถานที่พำนักขององค์หญิงต้าถง จนกระทั่งออกจากวังขององค์หญิงเพื่อมาเยือนพระราชวังแห่งซินเจียงนั้น เซียวเฉวียนใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น

หากแต่ยามที่เดินทางมายังพระราชวังซินเจียงนั้น เหลือเพียงเซียวเฉวียนเพียงคนเดียวเท่านั้น คนอื่นๆ พลันมีเหตุผลของตนเองมากมายเพื่อรั้งรออยู่ที่เมืองอีหลิน

การที่เซียวเฉวียนจักต้องเดินทางมาที่พระราชวังซินเจียงนั้น ไม่แคล้วเป็นเพียงพิธีการหนึ่ง มิฉะนั้น หากเขามาเยือนซินเจียงทั้งที แต่กลับมิมากราบไหว้ท่านพ่อตาแม่ยายนเลยก็นับว่าไร้มารยาทเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นท่านพ่อตารีบร้อนไปช่วยแม่ยายเช่นนี้ การกระทำของเขาคงมิได้ทำให้องค์หญิงต้องขายหน้าแล้วกระมัง

เมื่อท่านแม่ยายหายดีแล้ว องค์หญิงเองก็คงจะรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น

ท่านพ่อตาของเซียวเฉวียนเองอายุก็หาได้มากมายไม่ ดูภายนอกอย่างไรก็คงมิถึงสี่สิบกว่า ทว่า ใบหน้ากลับฉายความมีเอกลักดั่งชาวต่างชาติ ทั้งยังมีใบหน้าคล้ายคลึงกับคนต้าเว่ยกว่ามากนัก

แม้แต่ภาษาเอง ทางฝั่งซินเจียงและราชวงศ์ต้าเว่ยเองก็ยังใช้ภาษาเดียวกันอีกด้วย

มิรู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ซินเจียงและต้าเว่ยได้รวบรวมความเป็นวัฒนธรรมของพวกเขาเข้าด้วยกันเช่นนี้ ฉะนั้นแล้วยามที่คนชายต้าเว่ยและซินเจียงต้องการสื่อสานกันนั้น หาได้จำเป็นต้องใช้ล่ามเพื่อแปลภาษาไม่

เนื่องจากภายในฮว๋าเซี่ยนั้น ซินเจียงเองก็เป็นส่วนหนึ่งของฮว๋าเซี่ยเช่นกัน

แม้ว่าทั้งสองแคว้นนี้จะนับเป็นแคว้นต่างถิ่น ทว่า ทิศทางและการดำเนินชีวิตของผู้คนกับคล้ายคลึงกัน รวมไปถึงทั้งวัฒนธรรมและภาษาที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย

เซียวเฉวียนเข้าใจแม้แต่กระทั่ง ยามที่นางกำนัลสาวใช้เอ่ยพูดคุยอยู่ภายในวังเสียด้วยซ้ำ

เซียวเฉวียนจึงดึงตัวนางกำนัลสาวใช้นางหนึ่งมาสอบถามเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงได้รู้ว่า เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างซินเจียงและราชวงศ์ต้าเว่ย นั่นจึงทำให้ซินเจียงจึงมีการใช้สองภาษา ภาษาแรกคือภาษาของชาวพื้นเมืองซินเจียง และภาษาที่สองคือภาษาของต้าเว่ย ดังนั้นในสำนักบัณฑิตต่าง ๆ จึงมีการสอนภาษาต้าเว่ยรวมเข้าไปด้วยเช่นกัน

จึงมิน่าแปลกใจที่เด็กตัวเล็ก ๆ ทุกคนจะเชี่ยวชาญสองภาษาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

เป็นเพราะการมาของเซียวเฉวียนในครานี้ องค์จักรพรรดิจึงได้สั่งให้ทั่วทั้งพระราชวังเอ่ยพูดภาษาต้าเว่ยแทน เพราะเหตุนี้ ไม่ว่าเซียวเฉวียนจักเดินทางไปที่ใดเขาก็หาได้ต้องใช้ล่ามเพื่อแปลภาษาไม่

นับว่าท่านพ่อตาใส่ใจเขายิ่งนัก

เซียวเฉวียนสามารถบอกได้จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ว่า ในฐานะประมุขของแว่นแคว้นนั้น การที่กษัตริย์แห่งซินเจียงสามารถทำเช่นนี้ได้ นับว่าพระองค์ให้ความสำคัญต่อความรู้สึกของเซียวเฉวียนเป็นอย่างยิ่ง

มิน่าแปลกใจเลยที่พระองค์จะสามารถสอนสั่งบุตรีที่เต็มไปด้วยความอ่อนหวานและมีความอ่อนโยนเช่นองค์หญิงต้าถงออกมาได้

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อทั้งซินเจียงและต้าเว่ยต่างก็เป็นเมืองพี่เมืองน้องรักใคร่ปรองดองจนถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดชายต้าเว่ยถึงเดินทางหรือทำการขอบัตรผ่านซินเจียงได้ยากเย็นยิ่งนัก

หากว่ากันแล้ว ในเมื่อทั้งสองแคว้นมีความสัมพันธ์อันดีกันถึงเพียงนี้ ราษฎรทั้งสองแคว้นย่อมมีความสนิทสนมกันมากในระดับหนึ่งมิใช่หรือ

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างราชวงศ์ซินเจียงและต้าวเว่ยนั้น เหล้าบรรดาขุนนางข้าราชบริพารและราษฎรไปมานั้นหาได้เคยพูดคุยกันไม่

ดังนั้นผู้คนจากซินเจียงมายังต้าเว่ยจึงง่ายดายกว่า ทว่า จากต้าเว่ยไปซินเจียงกลับยุ่งยากเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งนี้ส่งผลให้เกิดอาวุธร้อนแรงภายในซินเจียง หากแต่ฝั่งต้าเว่ยหาได้รู้อะไรเกี่ยวกับพวกมันไม่

เป็นไปได้หรือไม่ว่า ในอดีตทั้งต้าเว่ยและซินเจียงเคยเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาก่อน? เกรงว่าความแค้นนั้นแม้มิใหญ่มาก แต่ก็คงมิเล็กมากเช่นกัน ทำให้ทั้งสองแคว้นจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

เซียวเฉวียนที่กำลังนั่งอยู่ภายในงานเลี้ยงนั้น วันนี้นับว่าเป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นแบบส่วนตัว นอกจากองค์จักรพรรดิแห่งซินเจียงแล้วก็มีเพียงนางกำนัลสาวใช้เพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น

องค์จักรพรรดิแห่งซินเจียงก็นึกมิถึงเช่นกันว่าราชบุตรเขยเช่นเซียวเฉวียนจักมีการนำเหลียงซินเฉ่าติดตัวมาด้วยเช่นนี้ พระองค์จึงรีบร้อนสั่งให้คนไปตามหมอหลวงเพื่อช่วยรักษาพระชายาตนเองเสียก่อน ยามที่จะจากไปนั้น ฝ่าบาทยังมิวายหันมาสั่งการกับนางกำนัลให้ดูและรับใช้เซียวเฉวียนเป็นอย่างดี ดังนั้นเหล่านางกำนัลรับใช้ทั้งหมดจึงพากันมารวมตัวกันรอบๆ ตัวราชบุตรเขยเช่นเซียวเฉวียนในทันที

หลังจากร่ำสุราลงไปถึงสามจอกด้วยกัน เซียวเฉวียนจึงได้คีบเนื้อวัวและเนื้อแพะกินตามลำพัง เขาที่เดินทางออกจากชายแดนต้าเว่ยมานาน อาหารการกินย่อมย่ำแย่มากนัก เซียวเฉวียนจึงมิได้กินเนื้อสดใหม่มานานหลายวันแล้ว

มิรู้ว่าเป็นเพราะอันใด หลังจากที่มีผนึกจูเสินอยู่ในร่างกายของตนเองแล้วนั้น เซียวเฉวียนพลันรู้สึกหิวได้ง่ายนัก อีกทั้งความอยากอาหารของเขาเองก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย

เดิมที่เซียวเฉวียนเป็นคนร่างสูงและหน้าตาหล่อเหลาอยู่แล้ว ทั้งยังสามารถทำให้เหล่านางกำนัลสาวใช้ในวังหน้าแดงได้ไม่ยาก เพียงแค่เซียวเฉวียนปรายตามองดูพวกนางนั้น พวกนางก็พลันเขินตัวบิดไปในทันที

แต่ความอยากอาหารของเซียวเฉวียนกลับทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแทน

เซียวเฉวียนที่กินทุกอย่างด้วยท่าทีเอร็ดอร่อยนั้น บุรุษเพียงคนเดียวกลับสามารถทานอาหารในปริมาณบุรุษร่างใหญ่ถึงสี่ห้าคนได้

เซียวเฉวียนที่แม้จะมีร่างกายตัวสูงกำยำ ทว่า เมื่อดูจากภายนอกแล้ว ร่างกายของเขาหาได้ผอมไม่ แต่ก็มิได้ดูอวบอ้วนเช่นกัน แต่พวกเขามิคิดเลยว่าเซียวเฉวียนจะกินเก่งขนาดนี้

ไม่เพียงแต่ร่างกายของท่านพ่อตาที่มีความแข็งแกร่งเท่านั้น ยามที่ท่านพ่อตาจับมือของเซียวเฉวียนนั้น เขาพลันเอ่ยถามขึ้นมาในทันทีว่า "เจ้าลูกเขย เจ้ารู้สึกไม่สบายหรือเปล่า?"

หลังจากพูดนั้น องค์จักรพรรดิแห่งซินเจียงพลันขมวดคิ้วลงไปในทันที

มีพลังผิดปกติพลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกายของเซียวเฉวียน เสมือนกับกองเพลิงขนาดใหญ่ที่กำลังรุ่งโรจน์ก็ไม่ปาน องค์จักรพรรดิจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยต่อเซียวเฉวียนในทันที "เจ้าอารมณ์ไม่ดีงั้นหรือ?"

เซียวเฉวียนถึงกับตกตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อถูกเอ่ยถาม ฝ่าบาทจึงส่งยิ้มพร้อมกล่าวออกมาว่า "เจิ้นมิได้ตั้งใจจะวิพากษ์วิจารณ์ลูกเขยที่มีคุณธรรมเช่นเจ้า เจิ้นเพียงแค่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเท่านั้น"

เดิมทีเซียวเฉวียนคิดว่าองค์จักรพรรดิแห่งซินเจียงจะเอ่ยถามเพียงเพราะเป็นมารยาทเท่านั้น มิคิดเลยว่าฝ่าบาทจะมองเซียวเฉวียนราวกับเป็นคนในครอบครัวเช่นเดียวกัน

เมื่อเทียบกับอดีตพ่อตาอย่างฉินเซิงแล้วนั้น ถึงแม้ว่าฉินเซิงจะคอยดูแลและช่วยเหลือเซียวเฉวียนมาก็ตาม ทว่า ฉินเซิงหาได้มีท่าทียิ้มแย้มและดูเป็นมิตรด้วยไม่

ไม่ว่าการกระทำของฝ่าบาทจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกลวงก็ตาม ทว่า ท่าทีที่ฝ่าบาทมีต่อเซียวเฉวียนนั้นนับว่าอ่อนโยนเป็นอย่างมาก

บางทีอาจเป็นเพราะนี่คือนิสัยที่แท้จริงขององค์จักรพรรดิก็เป็นได้ หรืออาจจะเป็นเพราะเซียวเฉวียนได้ช่วยชีวิตพระชายาของตนเองเอาไว้ นั่นจึงทำให้ท่าทีของฝ่าบาทอ่อนโยนต่อเซียวเฉวียนเสียจน เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ท้ายที่สุดแล้ว โอรสของฝ่าบาทก็ตั้งใจที่จะสังหารเซียวเฉวียนอยู่ดี

“ขอบคุณพระทัยสำหรับความห่วงใยจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสบายดี” เซียวเฉวียนค่อย ๆ ถอนมือออกอย่างเป็นธรรมชาติ “ขอบพระทัยสำหรับความห่วงใยจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

“เฮ้อ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเพราะบุตรอกตัญญูผู้นั้น มิเช่นนั้นจักรพรรดินีคงมิต้องมาล้มป่วยลงเช่นนี้”

ฝ่าบาทได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยความจนใจ “นับว่าโชคดีที่มีเจ้า มิเช่นนั้น บุตรีของข้าคงได้ไร้มารดาเป็นแน่”

เซียวเฉวียนจึงโค้งกายคำนับในทันที "จักรพรรดินีเป็นคนดีมีเมตตาเช่นนี้ เรื่องร้ายที่ผ่านไปย่อมกลายเป็นดีในไม่ช้า ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องกังวลพระทัยเลยพ่ะย่ะค่ะ"

เมื่อเห็นว่าเซียวเฉวียนเอ่ยปลอบใจพระองค์ออกมาเช่นนี้ ฝ่าบาทจึงพยักหน้าลงด้วยความพอใจ "เจ้าไปพบกับองค์หญิงแล้วหรือ?"

นับว่าคำถามนี้ลองเชิงเซียวเฉวียนยิ่งนัก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย