......
......
ณ กระท่อมกลางป่าแห่งหนึ่ง
“ศิษย์พี่ เขาจะตื่นเมื่อไหร่ หรือข้าให้ยาเกินขนาด เขาถึงได้หลับลึกเช่นนี้?”
“ไม่ต้องกลัว ไม่ตื่นก็ไม่ตื่น ให้เขานอนเถอะ”
“ข้าผิดเองที่เตะเขาตกลงมาจากต้นไม้ ทำเขาบาดเจ็บจนเดินไม่ได้ ข้าให้ยาชากับเขาแล้ว พอจะคลายความเจ็บปวดให้เขาได้บ้าง”
“ศิษย์น้อง อย่ากังวลไปเลย กระดูกของเขาแข็งแรงกว่าของคนทั่วไป ไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก”
“อื้อ ก็ได้ ชอบคุณศิษย์พี่!”
เซียวเฉวียนได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนขณะที่กำลังสะลืมสะลือ เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในอาการมึนงง และหมดแรง
เขาลุกขึ้นนั่ง กระทั่งเห็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งพูดคุยอยู่หน้าประตู เขาพยายามดึงสติจนมั่นใจว่าหญิงสาวคือมู่เวย บุรุษคือ....
เซียวเฉวียนเพ่งดูจริงจัง แต่ก็ไม่รู้จัก
ชายผู้นี้มีร่างสูงใหญ่พอ ๆ กับเซียวเฉวียน แม้ว่าจะนั่งอยู่ แต่ก็ให้ความรู้สึกมั่นคงได้
เสียงพูดของชายหนุ่ม ไม่ได้ดูทุ่มต่ำไปกว่าเซียวเฉวียนแต่อย่างใด
หรือว่านี่คือศิษย์พี่ผลิตหอกที่มู่เวยเคยพูดถึง?
ย่ำจนรองเท้าเหล็กศึกไม่พบพาน พอเลิกหากลับเจออย่างง่ายดาย เซียวเฉวียนจำได้ว่าเซี่ยวเฟิงเคยตามหาเขา
“เซี่ยวเฟิง เซี่ยวเฟิง?”
เซียวเฉวียนเรียกหามัน แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับจากมัน
แปลกยิ่งนัก หรือว่าที่บ้านจะเกิดเรื่อง?
ไม่ได้การล่ะ ต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้
เซียวเฉวียนพรวดลุกขึ้น แต่คาดไม่ถึงว่าขาทั้งสองข้างจะอ่อนแรงเช่นนี้ เหมือนมาร์ชแมลโลว์อย่างไรอย่างนั้น เดียวเพียงก้าวเดียวก็ล้มตึงกับพื้นอย่างหนักหน่วง
“ตึง!”เสียง ตึง ดังขึ้น ทำให้มูเวยต้องรีบหันกลับมาด้วยความตกใจ “ไอหยา !เจ้าตื่นได้อย่างไร!”
มู่เวยรีบพุ่งเข้าไปหา จากนั้นก็ประคองเซียวเฉวียนกลับไปบนเตียง “รีบกลับไปบนเตียงเถอะ เจ้ายังเจ็บอยู่ไหม?”
เซียวเฉวียนส่ายหน้า “ข้าหลับมากี่วันแล้ว?”
“หนึ่งคืน” มู่เวยตื่นตกใจ “ตามหลักเหตุผลแล้วเจ้าควรหลับไปสองวัน คาดไม่ถึงว่าเจ้าตะตื่นเร็วเช่นนี้”
“ไม่เป็นไร ข้าดีขึ้นแล้ว” เซียวเฉวียนไม่ได้โกหก ร่างกายของเขาฟื้นตัวแล้ว อาการบาดเจ็บจากการตกต้นไม้ไม่ถอว่าหนักหนานัก
“เช่นนั้นก็ดี” ชายผู้นั้นเดินเข้ามา แล้วยิ้มให้กับเซียวเฉวียน
“ท่านนี้คือ...” เซียวเฉวียนมองเขา เขามีรูปร่างสูงใหญ่ อายุน่าจะประมาณยี่สิบปี ใบหน้าดูหมองคล้ำเล็กน้อย
เซียวเฉวียนขาวกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด
“นี่คือศิษย์พี่ของข้า !มู่จิ่น! “ มู่เวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “หอกของข้าได้รับการพัฒนาโดยศิษย์คนนี้!”
“ศิษย์น้อง!” มู่จิ่นขมวดคิ้วแน่น นัยน์ตาประหลาดใจนั้นแฝงไปด้วยความห่วงใย
“รู้แล้วน่า ว่าต้องจัดการอย่างเงียบ ๆ!” ต่อหน้าศิษย์พี่คนนี้ มู่เวยจะลำพองใจเป็นพิเศษ “เจ้าวางใจเถอะ ไม่พูดมั่วซั่วหรอก ข้ารู้ความลับของเขา ถ้าเขากล้าพูดจามั่วซั่ว เขาก็จะเปิดโปงความลับของเขาเช่นกัน!หึ!”
เซียวเฉวียนยิ้มอย่างลำบากใจ “ใช่ วางใจเถอะ ข้าไม่พูดจามั่วซั่วหรอก”
“เจ้าชื่ออะไร?” มู่จิ่นมองเซียวเฉวียน
เมื่อวานเขาตรวจร่างกายให้เซียวเฉวียนแล้ว ถอเสื้อของเซียวเฉวียนออก แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเจอร่องรอยบาดแผลตามร่างกายของเขา
โดยเฉพาะด้านหลังของเซียวเฉวียน มีรอยกระบี่ลึกหนึ่งรอย ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเคยโดนกระบี่ เพราะแผลลึกถึงกระดูกสันหลังเลยทีเดียว
มู่จิ่นสังเกตได้ไม่เลว บาดแผลที่เขาเห็นก็คือแผลจากกระบี่ของฉินเฟิง แม้ว่าเซียวเฉวียนจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ยังทิ้งร่องรอยเอาไว้
คนทั่วไปที่มีแผลแบบนั้นคงตายไปนานแล้ว แต่ตอนนี้คนผู้นี้ยังรอดชีวิตมาได้ เรื่องนี้ทำให้มู่จิ่นอยากรู้จักเซียวเฉวียนมากขึ้น และระแวดงระวังไปในตัว
เซียวเฉวียนไม่ใช่คนธรรมดา
เมื่อคืนมู่จิ่นถามศิษย์น้องแล้ว อยากจะรู้จักชื่อของเซียวเฉวียน ปรากฏว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่รู้ชื่ของอีกฝ้าย แต่รักษาตัวเขามานานเกือบครึ่งเดือน ใจกว้างยิ่งนัก
“ศิษย์พี่ก็อย่าไปสนใจเขาสิ เขาเป็นคนแปลก แต่เขาทำอาหารอร่อยนะ” มู่เวยเริ่มพูดมากขึ้น “ได้ยินว่าเขาทำหมูตุ๋นน้ำแดง ข้าไม่เคยกิน ไอหยา เสียดาย....”
มู่จิ่นขมวดคิ้วแน่น “หมูตุ๋นน้ำแดง?”
“ใช่ มันแปลกมากใช่ไหม ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ศิษย์พี่เคยได้ยินไหม?”
มู่จิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง “ไม่เคย”
มู่จิ่นไม่ใช่คนธรรมดา
เซียวเฉวียนพอจะอ่านความคิดคนอื่นได้ แต่มีเพียงมู่จิ่นคนเดียวที่ไม่ได้ยินอะไรเลย ความคิดของคนอื่นเสียงดังโวยวาย แต่มู่จิ่นกลับเงียบ ราวกับท้องฟ้าอันที่เงียบสงัด ไม่ได้ยินเสียอะไรทั้งนั้น
ขณะที่เซียวเฉวียนกำลังกำหนดลมหายใจนั้น ก็ถือโอกาสฟังความคิดของมู่จิ่น แต่กลับไม่ได้อะไรเลย
มู่จิ่นคนนี้ลึกลับมาก
มีหอก
และยังอ่านความคิดไม่ได้
เซียวเฉวียนมองไปยังชายผู้นี้ มู่เวยเคยบอกว่าศิษย์พี่ของนางโตมากับนางตั้งแต่เด็ก ๆ ทั้งสองคนสนิทกันมาก เป็นคู่นักวัยเด็กและเป็นเพื่อนเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็ก
เซียวเฉวียนคิดว่าศิษย์พี่ของนางเป็นชายโบราณธรรมดา
แต่ดูจากวันนี้แล้ว เซียวเฉวียนประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
แต่เขาข่มความประหลาดใจนั้นเอาไว้
มู่จิ่นระวังตัวสมชื่อ หากเซียวเฉวียนอยากรู้เรื่องหอก ถึงอย่างไรก็ต้องรู้จุดมุ่งหมายก่อน จะปล่อยไก่ไม่ได้
“ข้าต้องกลับบ้าน”
เว๊ยวเฉวียนปัดก้น จากนั้นก็ลุกขึ้นจากพื้น “บ้านข้ามีเรื่อง”
“ว่าอย่างไรนะ? องค์หญิงผู้นั้นของเจ้าไหม? หรือว่าโย่วควน?” มู่เวยหันกลับไป ชื่อของโย่วควนออกจากปากนางนับไม่ถ้วน เรื่องนี้ทำให้มู่จิ่นไม่สบายใจ เขาอยากเจอโย่วควน
“เช่นั้นก็ไปเถอะ ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย” มู่จิ่นโพล่งออกไป มู่เวยตะลึงไม่น้อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...