“ขอบพระทัยพระราชา” เซียวเฉวียนรับจดหมายมาด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ “ไม่ทราบว่าผู้ใดพูดจารู้เรื่องที่สุดในสำนักหมิงเซียนพ่ะย่ะค่ะ?”
“นางเป็นอาจารย์ของศิษย์พี่ศิษย์น้องมู่เวย ทุกคนเรียกนางว่าย่าเหยียน นางเป็นเจ้าสำนักแห่งสำนักหมิงเซียน” พระราชาไม่ได้พบหน้านางมาเป็นเวลานานแล้ว เมื่อเห็นว่าเซียวเฉวียนอยากไป จึงรีบกล่าวเตือนเขา “ย่าเหยียนมีนิสัยที่ค่อนข้างแปลก เจ้าอย่าทำให้นางขุ่นเคืองใจง่าย ๆ ล่ะ”
ที่แท้ย่าเหยียนคือผู้ที่เลื่องชื่อในความเด็ดขาดของสำนักหมิงเซียน เรียกได้ว่าอาจารย์ที่เก่งถึงจะมีลูกศิษย์ที่เก่ง ซึ่งหมายถึงคนอย่างย่าเหยียนนี่เอง
เพียงแต่เด็ดขาดมากเพียงใด ก็มีคนอย่างมู่เวยที่ถือเป็นข้อยกเว้น
ย่าเหยียนเข้มงวดต่อลูกศิษย์ทุกคนอย่างมาก มีเพียงผู้มีพรสวรรค์อย่างมู่เวยที่ไม่อาจสั่งสอนอะไรได้
มู่เวยเฉลียวฉลาด มีความจำเป็นเลิศ คนอื่นอาจต้องใช้เวลามากกว่าสิบปีในการเล่าเรียนตำราทางการแพทย์ แต่นางเรียนจบภายในห้าหกปีตั้งแต่อายุยังน้อย
ย่าเหยียนทั้งรักทั้งอยากตีลูกศิษย์ที่ฉลาดแต่ไม่เชื่อฟังคนนี้
พระราชาเตือนเซียวเฉวียน นอกจากย่าเหยียนที่ไม่ควรหาเรื่องแล้ว แม่นางมู่เวยก็เป็นคนต้องห้ามเช่นกัน มิเช่นนั้นจะถือเป็นการล่วงเกินขอบเขตของสำนักหมิงเซียน
โว้ว
เซียวเฉวียนไม่เพียงกวนโทสะมู่เวย แต่ยังทำให้นางร้องไห้จนหนีไป เขาผิดใจกับนางมานานแล้ว
พระราชาตรัสเช่นนี้ เซียวเฉวียนก็รับปากไปตามน้ำ เขารู้อยู่แก่ใจดี
เมื่อฝากฝังลูกสาวให้กับพ่อตาแม่ยายแล้ว เซียวเฉวียนและโย่วควนก็ไปจากพระราชวังด้วยความสบายใจ
พระราชาและราชินีจะนำลูกสาวของเซียวเฉวียนให้แม่นมผู้ซื่อสัตย์เป็นคนเลี้ยงก่อน เมื่อถึงเวลาที่เซียวเฉวียนมารับลูกสาวกลับ ค่อยคืนให้แก่เซียวเฉวียน
เซียวเฉวียนรู้สึกว่าพ่อตาแม่ยายเป็นผู้ที่อัธยาศัยดี ตัวเขายังเป็นผู้มีบุญคุณต่อราชินี ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวว่าต่อจากนี้ซินเจียงจะกุมตัวลูกสาวของเขา
เซียวเฉวียนมาเหยียบสำนักหมิงเซียนก็เพื่อปืน
เขาและโย่วควนเปลี่ยนไปสวมชุดของซินเจียง และมายังหน้าประตูของสำนักหมิงเซียน
“ก่อนที่เจ้าจะเข้าไป จะไม่ทำความเข้าใจก่อนหรือ?”
ผนึกจูเสินที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดมาเนิ่นนาน จู่ ๆ ก็ถามเซียวเฉวียนอย่างเคร่งขรึม
“ที่นี่อันตรายงั้นหรือ?”
เซียวเฉวียนไม่เข้าใจ ผู้คนในสำนักหมิงเซียนประกอบอาชีพแพทย์ ไม่น่าเป็นคนไม่ดี
“หาโรงเหล้ากินข้าวก่อนดีกว่า ข้าหิวแล้ว”
ผนึกจูเสินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่ได้กินอาหารดี ๆ มาหลายวันแล้ว เจ้าไม่รู้สึกหิวหรืออย่างไร?”
“จ๊อก ๆ...”
ขณะนั้น ท้องของเซียวเฉวียนก็ร้องเสียงดังขึ้นมา ช่วงนี้เขายุ่งมากเสียจนไม่มีเวลากินอาหารดี ๆ
นับตั้งแต่ผนึกจูเสินอยู่ในร่างของเขา ความอยากอาหารของเขาเพิ่มมากขึ้น เมื่อไม่ได้กินอาหารดี ๆ ตอนนี้ท้องจึงแบนแล้ว
“นายท่าน เช่นนั้นไปกินข้าวก่อนดีกว่า”
โย่วควนชี้ไปยังโรงเหล้าแห่งหนึ่ง การตกแต่งดูดีทีเดียว
ณ หอเทียนเซียง
ชื่อนี้ ตั้งราวกับเป็นสถานที่ตกอับเสียอย่างนั้น
หากไม่ใช่เพราะกลิ่นหอมของอาหารที่ฟุ้งออกมา เซียวเฉวียนคิดว่าเป็นสถานที่มั่วสุมของบุรุษเสียอีก
“ที่นี่แหละ”
เซียวเฉวียนสะบัดชายแขนเสื้อ และก้าวเท้ายาวเดินเข้าไปกับโย่วควน
ไม่คิดว่าทันทีที่เดินเข้ามาในร้าน เซียวเฉวียนและโย่วควนก็ถูกเหล่าลูกจ้างรุมล้อมอย่างอบอุ่น
“ยินดีต้อนรับ ๆ ขอรับ คุณลูกค้ามาทั้งหมดกี่ท่านขอรับ?”
เซียวเฉวียนขมวดคิ้ว พลางพึมพำขึ้น “รู้สึกเหมือนมาร้านไหตี่เลา*เลยนะ”
“อะไรเลานะขอรับ?” โย่วควนถามด้วยความสงสัย
“อ้อ ร้านอาหารที่บ้านเกิดของข้าน่ะ ต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นนี้เลย” เซียวเฉวียนหัวเราะ เมื่อเห็นลูกจ้างเข้ามารุมล้อม “คุณลูกค้ามาสองท่านใช่ไหมขอรับ? มาขอรับ เชิญด้านใน ระวังแท่นบันไดด้วยนะขอรับ”
เซียวเฉวียนใจกว้างและสั่งอาหารมากมาย ผนึกจูเสินก็มองออก จึงบอกเล่าเกร็ดความรู้ให้แก่เซียวเฉวียน
ผนึกจูเสินเล่าตั้งแต่เพลิงสวรรค์ลูกแรกอย่างเพลิงชุ้ยเจี้ยน และเล่าจนถึงหมื่นดาบแห่งบรรพบุรุษ
ตั้งแต่การปรากฏตัวของชาวคุนหลุน จวบจนภูตภูเขาและสัตว์ร้าย รวมถึงยุคเทพเจ้า ตลอดจนจบเรื่อง
นับตั้งแต่การก่อตั้งสำนักหมิงเซียน ตลอดจาถึงยุคสมัยของมู่เวย
ทว่าผนึกจูเสินไม่ได้เล่าอย่างละเอียด เล่าเพียงเนื้อหาคร่าว ๆ เท่านั้น
เซียวเฉวียนก็ฟังชัดเจนดี เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ค่อยเข้าใจ “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าหมื่นดาบแห่งบรรพบุรุษของข้า คือดาบของข้า หมายความว่าอย่างไร?”
“โคตรพ่องของเจ้าเก็บข้าไปแล้ว แน่นอนว่าหมื่นดาบแห่งบรรพบุรุษก็คือดาบของเจ้า”
ผนึกจูเสินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ทุกคนต่างคิดว่า ผนึกจูเสินถูกสร้างขึ้นเพื่อปราบปรามชาวคุนหลุน และคิดว่ามันคือพวกเดียวกันกับเพลิงชุ้ยเจี้ยน
ความจริง กล่าวถูกต้องเพียงครึ่งเดียว
ถูกต้อง ผนึกจูเสินปราบปรามชาวคุนหลุนมานับพันปี แต่ว่าผนึกจูเสินและเพลิงชุ้ยเจี้ยนไม่เพียงเป็นคนละพวก พวกมันยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอีกด้วย
ผนึกจูเสินและหมื่นดาบแห่งบรรพบุรุษ ถือเป็นพวกเดียวกัน
ผนึกจูเสินทำให้ชาวคุนหลุนทุกข์ทรมานมานับพันปี
ทว่าผนึกจูเสินก็ปกป้องชาวคุนหลุนเช่นกัน
“เจ้าอย่าพูดจาไร้สาระ”
เซียวเฉวียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่ว่าหนังสือประวัติศาสตร์ของต้าเว่ยหรือจากคำให้การของชิงหลง ต่างก็เกลียดผนึกจูเสินเป็นอย่างมาก ผนึกจูเสินไม่มีทีท่าเหมือนคนดีแม้แต่น้อย
“อะไรของเจ้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเผาเจ้าให้ตายไปเลย”
เสียงอึมครึมของผนึกจูเสิน เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
*ไหตี่เลา (海底捞) ร้านหม้อไฟที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศจีน มีชื่อเสียงด้านการให้บริการที่ดีเยี่ยมและมีรสชาติอาหารอร่อย ถูกต้องตามหลักหม้อไฟดั้งเดิมของจีน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...