“หยกชิ้นนี้เป็นของพิเศษที่มีเฉพาะราชวงศ์ซินเจียง ถึงแม้ว่าซินเจียงจะอยู่ใกล้กับคุนหลุน แต่ก่อนหน้านี้เป็นเวลานานคนซินเจียงได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่คนคุนหลุน ฉันไม่รู้ไม่เข้าใจเกี่ยวกับสิ่งของของพวกเขาจริงๆ”
ผนึกจูเสินพูดสารภาพออกมา และมีความภูมิใจอย่างมาก
ถ้าองค์หญิงตั้งพระทัยที่จะทำสิ่งใดแล้ว นั้นก็คงจะไม่มีทางเลือก พระนางเข้าใจเซียวเฉวียนมากอย่างนี้ จะต้องคิดแผนการทุกอย่างไว้แล้ว
ตอนนี้มาหาองค์หญิง ทำได้เพียงฝากฝังผ่านมาทางพระราชาและราชินี เป็นครั้งแรกที่เซียวเฉวียนเกลียดการไม่คุ้นชินกับสิ่งใหม่ๆ
หาเซียวเฟิงก็หาไม่เจอ องค์หญิงก็หายไป เซียวเฉวียนจึงให้ไป๋ฉี่และเหมิงเอ้าทั้งสองคน จัดการเรื่องที่สำคัญที่สุดก่อน นั้นก็คือไปช่วยเสี่ยวเชียนชิวออกมาก่อน
เซียวเฉวียนสั่งกำชับเป็นพิเศษ ถ้าถึงขั้นลำบากมากจริงๆ ก็ให้เว่ยเป้ยช่วยเหลือ
ไป๋ฉี่และเหมิงเอ้าไม่ค่อยชอบเว่ยเป้ยเท่าไร เมื่อได้ยินว่านายท่านให้ไปหาเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ เหมิงเอ้าแตะที่หน้าอกตัวเอง:“นายท่านวางใจได้ พวกเราจัดการได้ ไม่ต้องให้ลูกชายคนนั้นของเว่ยเชียนชิวช่วยเหรอ”
“อย่าฝืนไป ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน” เซียวเฉวียนบอกเรื่องของสำนักหมิงเซียน:“คนที่หนุนหลังเว่ยเชียนชิวน่าจะเป็นคนของสำนักหมิงเซียน เพื่อมาต่อต้านคนคุนหลุนและดาบวิญญาณโดยเฉพาะ พวกเจ้าต้องระวังให้มาก”
“ขอรับ”
ไป๋ฉี่และเหมิงเอ้ามองหน้ากัน นายท่านมีท่าทางจริงจังต่อเรื่องนี้มาก บวกกับพู่กันเฉียนคุนและเสี่ยวเชียนชิวโดนจัดการไปแล้ว ดูแล้วครั้งนี้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่ากลัว
“หรือว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า พวกเราไปหาเว่ยเป้ย”
เหมิงเอ้ารับรู้ได้ในทันที หลังจากที่เซียวเฉวียนได้ตักเตือน ท่าทีที่ไม่ชอบใจเมื่อครู่ก็ได้หายไปจนหมดสิ้นในทันที
“ไป๋ฉี่ พูดสิ ว่าจะต้องไปหาเว่ยเป้ยใช่ไหม?” เหมิงเอ้ากดน้ำเสียงต่ำลง “ข้าคิดว่าเด็กน้อยคนนี้ก็ไม่ใช้เด็กดีอะไร พวกเราอย่าไปรบกวนเขาจะดีกว่า ให้เว่ยเป้ยและเว่ยเชียนชิวทั้งสองคนทะเลาะกันเองไปเถอะ พวกเราไปเองจะดีกว่า?”
มาถึงตอนนี้เหมิงเอ้าได้เรียนรู้ความเจ้าเล่ห์มาจากเซียวเฉวียนบางเล็กน้อย มีเพียงไป๋ฉี่ที่ยังเป็นเหมือนเดิม นี้ยังไม่ทันได้สู้ ทำไมถึงหวดกลัวอะไรรวดเร็วอย่างนี้?
“ไป๋ฉี่ นายท่านพูดบ่อยๆว่า คนที่ฉลาดรู้จักเวลาที่สมควรก็จะเป็นคนที่โดดเด่น?พวกเราจะต้องใช้สมองคิดให้มาก ไม่ใช่ว่าแค่ต่อสู้ฆ่าฟันกันแล้วจะสามารถจัดการปัญหาได้” เหมิงเอ้าพูดสิ่งที่เซียวเฉวียนได้สั่งสอนมา ไป๋ฉี่ขมวดคิ้ว เหมิงเอ้ามีนิสัยใจร้อน :“ไม่สนแล้ว พวกเราไปหาเว่ยเป้ยกันเถอะ!”
“ไม่ไปหาเขาก็ไม่ได้ วิญญาณของวีรบุรุษกองทัพตระกูลเซียวทั้งห้าหมื่นคนยังห้อยอยู่เหนือหัว พวกเราตระกูลเซียวกับพวกเขาไม่สามารถแยกความสัมพันธ์ออกจากกันได้!”
เหมิงเอ้าพูดไป ก็ดึงพาไป๋ฉี่ออกไป
ให้เว่ยเป้ยไปช่วยเสี่ยวเชียนชิวออกมา ตอนนี้เสี่ยวเชียนชิวยังอยู่ที่จวนเจียนกั๋ว ไม่มีใครที่สามารถทำได้สะดวกเท่าเว่ยเป้ยอีกแล้ว
......
......
บ้านเซียวจิ่ว
ท่านยายคนหนึ่งผมหงอกทั้งหัวนั่งอยู่บนที่นั่งหลักของตระกูล ด้านล่างมีคนตระกูลเซียวนั่งคุกเข่าอยู่ แม้แต่พ่อและปู่ของเซียวจิ่วก็ด้วย ก็ยังต้องนั่งคุกเข่าลงฟังคำสั่งสอน
“เอาละ ข้าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องต่างๆมานานหลายปี คิดไม่ถึงว่าพอต้องมาจัดการเรื่องหนึ่งก็ต้องมาจัดการเรื่องที่น่าอับอายอย่างนี้!” ไม้เท้าของฮูหยินผู้เฒ่ากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง:“เจ้าพวกนี้ แม้แต่ฝ่าบาทยังเชิญมาไม่ได้ ช่างน่าภาคภูมิใจเสียจริง!”
ฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ เป็นแม่ของปู่ของเซียวจิ่ว อายุมากปูนนี้แล้ว ร่างกายยังแข็งแรงมาก
ตามปกติฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนสันโดษ ถ้าไม่มีเทศกาลสำคัญก็จะไม่ออกมา ทั้งตระกูลให้ความเคารพเรียกท่านว่าฮูหยินผู้เฒ่า
ตอนนั้นฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้มีบุญคุณที่เริ่มก็ตั้งประเทศมากับฮ่องเต้ นับจากนั้นสายเลือดตระกูลเซียวของนางกับราชวงศ์ก็มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อกัน
การหลบหลีกออกจากโลกนี้ไป ก็เริ่มตั้งแต่รุ่นพ่อของเซียวจิ่ว ก่อนหน้านั้น ชนเผ่าของเซียวจิ่วอยู่ที่ในเมืองหลวงก็พอเป็นที่รู้จักเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ามองดูลูกหลานที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า:“พวกเจ้าใครจะเป็นคนบอกข้า ใครเป็นคนปฏิเสธฝ่าบาท?”
“ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าเอง” เซียวจิ่วก้มหน้าลง พูดอย่างเคารพนอบน้อม
“ท่านยาย!”
“ฮูหยินผู้เฒ่า!”
เสียงตะโกนและพยายามยับยั้ง แต่ก็ไม่มีใครสามารยับยั้งฮูหยินผู้เฒ่าได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเคาะไม้เท้าเสียงดัง เสียงดังกระหึ่มขึ้น ตามมาด้วยคลื่นเสียงดัง ทุกคนล้มลงกับพื้น!
รถม้าออกไปอย่างรวดเร็ว เซียวจิ่วลุกขึ้นมารีบตามไป ก็เห็นเพียงแค่เงาของรถม้าเท่านั้น:“ฮูหยินผู้เฒ่า!”
ตามปกติฮูหยินผู้เฒ่ารักเซียวจิ่วเหลนคนนี้ที่สุด แม้แต่พูดเสียงดังใส่ยังไม่เคย วันนี้มีท่าทางจริงจังรุนแรงอย่างนี้ ผิดหวังและจากไป เซียวจิ่วรู้สึกจิตใจของตัวเองว่างเปล่า
เห็นคนที่ใกล้ชิดของเขาท่าทางผิดหวังเช่นนี้ ในใจของเซียวจิ่วรู้สึกสับสนไปหมดมีหลากหลายอารมณ์รวมอยู่ด้วยกัน:“มานี่สิ!เตรียมม้า!”
เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าไปที่เมืองหลวงเพียงคนเดียวเด็ดขาด!
อย่างแรกเป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว อย่างที่สองเมืองหลวงมีสิ่งที่แอบซ่อนอยู่มากมาย ฮูหยินผู้เฒ่าไปในครั้งนี้ เพื่อต้องการเป็นศัตรูกับเว่ยเชียนชิว เขาไม่สามารถยอมให้ท่านยายไปเสี่ยงอันตรายคนเดียวได้!
“อาจิ่ว!”
เซียวจิ่วขี่ม้าออกไป คนตระกูลเผ่าเซียวจะห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่ได้
ม้าตัวนั้นเหมือนกับม้าป่าที่หลุดออกมา ไม่เหมือนม้าตัวเดิมที่แต่ก่อนเชืองและสงบนิ่ง วิ่งไปอย่างบ้าคลั่ง
“อาจิ่วและฮูหยินผู้เฒ่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ให้เขาไปเถอะ” นี่มัน ปู่ของเซียวจิ่วส่ายหน้า พูดกับพ่อของเซียวจิ่ว
“ชนเผ่าของพวกเรา มีอะไรติดค้างต่อตระกูลเซียวที่อยู่ในเมืองหลวง?” พ่อของเซียวจิ่วจ้องมองเขานิ่งสงบ พูดถามออกไปอย่างจริงจัง ทำไมข้าถึงไม่รู้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...