ทันทีที่หลิงหยุนวางสายจากกงเสี่ยวลู่เขาก็หันไปถามถังเมิ่งทันที..
“นายนัดอาปิงกับเสี่ยวอู๋แล้วใช่มั๊ย”
“ใช่พี่หยุน..ทั้งคู่จะรอพี่อยู่ที่อ่าวจิงฉูตอนบ่ายสามโมง เห็นว่าพาพี่น้องแก๊งมังกรเขียวสามร้อยกว่าคนไปด้วย!”
“ถ้างั้นนายโทรบอกอาปิงให้พาสมาชิกทั้งสามร้อยกว่าคนไปยืนตากแดดถ้าใครทนไม่ไหวก็สามารถถอนตัวได้ จะไม่มีการบังคับใดๆทั้งสิ้น!”
“เดี๋ยวเราสองคนไปกินข้าวเที่ยงกันก่อนแล้วสักบ่ายสองครึ่งค่อยออกเดินทางไปที่นั่น..”
ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงเช้า..แสงอาทิตย์กำลังเจิดจ้าร้อนแรงดีมาก..
“พี่หยุน..จู่ๆทำไมถึงคิดที่จะฝึกวรยุทธให้กับพี่น้องมากมายขนาดนี้ล่ะ”
ถังเมิ่งถามขึ้นระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ในห้องส่วนตัวของภัตตาคารแห่งหนึ่ง
หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“นายเข้าใจผิดแล้ว! ไม่ใช่จู่ๆ แต่เป็นเรื่องที่ฉันคิดไว้นานแล้ว เพียงแค่ที่ผ่านมายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น!”
“นายลองคิดดูสิว่า..หากรู้ว่ามีศัตรูบุกมา และเราสามารถเรียกยอดฝีมือมาช่วยได้เป็นร้อยๆคน จะสะดวกสบาย แล้วช่วยเราได้มากแค่ใหน”
หลิงหยุนหันไปมองถังเมิ่งพร้อมกับยิ้มให้ก่อนจะพูดต่อว่า “อีกอย่าง.. เพียงแค่ศัตรูรู้ว่าเรามีกองกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ก็คงไม่กล้าที่จะเข้ามาวุ่นวายกับเราอย่างแน่นอน!”
และมีหรือที่ถังเมิ่งจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหลิงหยุนเขากำลังจะบอกว่า.. หากคุณแข็งแกร่งมากพอ การต่อสู้ก็แทบจะไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำไป!
แต่แล้วถังเมิ่งก็ขมวดคิ้วพร้อมกับถามต่อว่า“แต่คนตั้งมากมายขนาดนั้น พี่จะสอนวรยุทธคนเดียวไหวเหรอ”
ถังเมิ่งอดสงสัยไม่ได้เพราะเขาเห็นหลิงหยุนคอยจำจี้จำไชตี้เสี่ยวอู๋เรื่องการฝึกวิชามาโดยตลอด
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับหัวเราะเสียงดังก่อนจะตอบไปว่า“เรื่องนั้นนายไม่ต้องห่วง.. ในเมื่อฉันบอกว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ฉันย่อมต้องมีวิธี! ไม่ยากเหมือนที่ฉันสอนตี้เสี่ยวอู๋แน่!”
“แล้วทำไมต้องคัดเอาเฉพาะพี่น้องจากแก๊งมังกรเขียวด้วยล่ะ”
หลิงหยุนตอบโดยแทบไม่ต้องคิด“ก็เพราะกองกำลังที่ฉันจะฝึกขึ้นนี้ ต้องข้องเกี่ยวกับการเข่นฆ่าสังหารผู้คน พี่น้องจากแก๊งมังกรเขียวย่อมต้องดีกว่าคนธรรมดาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ..”
ตลอดระยะเวลาที่รับประทานอาหารนั้นถังเมิ่งเองก็ต้องคอยรับโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา ช่วงนี้เขาเองก็ยุ่งมาก เพราะต้องคอยตัดสินใจในทุกๆเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจ..
จนกระทั่งเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง..ทั้งคู่จึงขับรถออกจากภัตตาคารไปยังจุดนัดหมาย
“อาปิง..มีคนทนไม่ได้ และถอนตัวออกไปเท่าไหร่แล้ว” ระหว่างทางหลิงหยุนก็โทรสอบถามอาปิงไปด้วย
“พี่หยุน..พี่น้องของเรามีทั้งหมด 352 คน แต่ถอนตัวไปแล้ว 60 คน ตอนนี้เหลือไม่ถึงสามร้อยคน และอีกหลายคนก็ดูเหมือนจะเริ่มถึงขีดจำกัดสูงสุดของตัวเองแล้ว!”
หลิงหยุนถึงกับยิ้มออกมา“เอาล่ะ.. ฉันกำลังรีบไป ใครที่ยังทนได้ก็ปล่อยให้ทนต่อไป และก่อนที่ฉันจะไปถึง นายอย่าให้น้ำกับคนที่ยังอยู่เด็ดขาด แต่ถ้าใครทนไม่ได้ก็ให้ถอนตัวได้เลย..”
ยี่สิบนาทีต่อมา..รถของหลิงหยุนกับถังเมิ่งก็ขับข้ามสะพานที่ทอดเข้าสู่เขตเมืองใหม่หลินเจียง ระหว่างทางที่ขับผ่านชายหาดไปนั้น ถังเมิ่งก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางทิศตะวันออกพร้อมกับร้องถามหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“นี่พี่หยุน..ตั้งแต่ชายฝั่งตรงนี้ไปถึงปากอ่าวจิงฉูโน่นเป็นของเราหมดเลยสินะ!”
…………
ที่ชายหาดของอ่าวจิงฉูเวลานี้..มีเด็กหนุ่มจากแก๊งมังกรเขียวสามร้อยกว่าคน กำลังยืนเรียงรายอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุกว่า 42 องศาเซลเซียส และทุกคนต่างก็กำลังรอคอยการมาของหลิงหยุน..
หลังจากที่มีหลายคนถอนตัวไประหว่างนั้นก็มีเด็กหนุ่มสองคนที่ไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศที่ร้อนระอุได้จนเป็นลมล้มลงไปกับพื้น หลี่ยี่กับเจียวเฟยจึงเข้าไปช่วยพยุง และพากลับไปที่รถบัสทันที..
“ทุกคนฟังให้ดี..พี่หยุนสั่งไว้ว่านี่ไม่ใช่การบังคับ หากใครไม่สามารถทนได้ ก็กลับไปที่รถได้ทันที จะไม่มีใครถูกหัวเราะเยาะหากทำเช่นนั้น และในรถก็มีทั้งน้ำทั้งแอร์เย็นฉ่ำรอทุกคนอยู่..”
อาปิงยกขวดน้ำแร่ในมือขึ้นแกว่งไปมาในระหว่างที่ร้องตะโกนบอกทุกคน..
อาปิงนั้นมาจากครอบครัวทหารและเคยผ่านการฝึกเพื่อเข้าเป็นทหารในหน่วยพิเศษมาก่อน เขาจึงเข้าใจวิธีการฝึกความอดทนเช่นนี้ดี
ในการฝึกทหารนั้น..ครูฝึกจะฝึกให้ทหารทุกคนสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของร่างกายตนเอง ในขณะเดียวกันก็จะชักชวนให้ล้มเลิกความตั้งใจไปด้วย นี่ไม่ใช่การฝึกความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการฝึกความแข็งแกร่งของจิตใจด้วย..
อาปิงนั้นเข้าใจจุดประสงค์ของหลิงหยุนดีเขาจึงใช้วิธีเดียวกันกับการฝึกทหารมาทดสอบพี่น้องทั้งหมดนี้.. ไอลีนโนเวล
“เอาล่ะ..ฉันเตือนทุกคนแล้วนะ! ถ้าหัวหน้าใหญ่มาอาจจะต้องโดนหนักกว่านี้ นี่เป็นเพียงแค่การทดสอบด่านแรกเท่านั้น พวกนายคิดว่าจะสามารถผ่านด่านต่อไปได้อย่างงั้นเหรอ”
“ลูกพี่..ฉันไม่ไหวแล้ว!”
“ลูกพี่..ฉันหิวน้ำ..”
……….
“หนึ่ง..สอง.. สาม.. สามสิบเจ็ด..”
“โอ้โห..หายไปอีกสามสิบแปดคน รวมเป็นสี่สิบคนแล้ว พวกนายนับว่าฉลาดมาก!”
“เอาล่ะ..คนที่เหลือคิดให้ดีๆ ออกไปตากแอร์ ดื่มน้ำเย็นๆสบายๆไม่ดีกว่าเหรอ..”
และเมื่อถึงเวลาบ่ายสามโมงตรงก็มีอีก 16 คนขอถอนตัว และเดินขึ้นรถบัสไป หลังจากรถบัสเต็มแล้ว อาปิงก็สั่งให้รถที่เต็มออกไปจากที่นี่ทันที..
ที่เหลืออีก236 คนนั้น แม้จะยืนริมฝีปากแห้งผาก แต่ก็กัดฟันทนต่อไป และแทบไม่ต้องสงสัยว่าทั้งหมดที่เหลืออยู่นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนจากโถงมังกรทั้งสิ้น พวกเขาจึงค่อนข้างแข็งแกร่งกว่าพี่น้องจากโถงอื่นๆ
ยิ่งไปกว่านั้น..พี่น้องจากโถงมังกรล้วนแล้วแต่เห็นหลิงหยุนเป็นราวกับเทพ และใฝ่ฝันที่จะได้ติดตามเขา..
ตึง..ตึง..
เสียงร่างของพี่น้องแก๊งมังกรเขียวอีกสองคนล้มตึงลงกับพื้นแต่เมื่อหลี่ยี่กับเจียวเฟยจะเข้าไปพยุงตัว พวกเขาก็รีบลุกขึ้น และส่ายหน้าพร้อมกับกัดฟันยืนต่อ
“พวกเราไม่ขอถอนตัว..”
หลี่ยี่กับเจียวเฟยหันไปมองอาปิงอาปิงจึงร้องตะโกนสั่งว่า “ร่างกายของพวกเขาไม่ผ่าน.. เอาตัวออกไป!”
“เดี๋ยวก่อน!”
ตี้เสี่ยวอู๋ที่ยืนดูนิ่งเงียบมาตลอดรีบร้องห้ามทันทีพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในเมื่อพวกนายสองคนยืนยันไม่ถอนตัว ก็ยืนรอจนกว่าพี่หยุนจะมาถึง!”
อาปิงขมวดคิ้วพร้อมกับกระซิบว่า“เสี่ยวอู๋.. ฉันกลัวว่าร่างกายของพวกเขาจะไม่สามารถทนไหวน่ะสิ!”
ตี้เสี่ยวอู๋หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ไม่ต้องห่วง.. ตราบใดที่มีพี่หยุนอยู่ ต่อให้พวกเขาอยากตายก็ตายไม่ได้! นายลืมแล้วเหรอว่าพี่หยุนเป็นใคร”
ตี้เสี่ยวอู๋พูดต่อว่า“อีกอย่าง.. สองคนนั้นก็ดูเหมือนจะมีพรสวรรค์ที่ดี ให้พี่หยุนเป็นคนตัดสินใจเองจะดีกว่า!”
อาปิงยังไม่ฝึกวรยุทธแต่ตี้เสี่ยวอู๋นั้นอยู่ในระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 แล้ว แน่นอนว่าย่อมเข้าใจเรื่องของความวิริยะอุตสาหะได้ดีกว่าอาปิง..
…………
เวลาบ่ายสามโมงตรงรถปอร์เช่ก็ขับมาถึงชายหาดที่นัดกันไว้ หลิงหยุนกับถังเมิ่งเดินลงจากรถพร้อมกัน..
“ยืนตากแดดร้อนๆร่วมสี่ชั่วโมงแบบนี้ คิดไม่ถึงว่ายังจะเหลือมากมายขนาดนี้ นับว่าเยี่ยมมากทีเดียว!”
หลิงหยุนกวาดสายตามองพร้อมกับพึมพำออกมาอย่างพอใจเมื่อเห็นว่ามีคนเหลืออยู่มากกว่าสองร้อยคน และนับว่ามากกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก เพราะเขาคาดว่าน่าจะเหลือเพียงแค่ห้าสิบคนด้วยซ้ำไป..
“นี่ถ้าพ่อแม่ของพวกเขารู้ว่าพี่เอาลูกเขามาทรมานแบบนี้คงได้สาบแช่งพี่แน่ๆ!” ถังเมิ่งพูดพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
หลิงหยุนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ“ก็ถ้าต้องการจะติดตามฉัน หากแค่นี้ยังทนไม่ได้ ก็อย่าได้หวัง..”
ทันทีที่ทุกคนเห็นหลิงหยุนกับถังเมิ่งเดินเข้ามาคนที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ก็ถึงกับดวงตาเป็นประกาย เพราะนั่นย่อมหมายความว่าพวกตนได้ผ่านด่านทดสอบนี้แล้ว
หลิงหยุนร้องตะโกนออกไปพร้อมกับกระโดดไปยืนอยู่ตรงหน้าตี้เสี่ยวอู๋ “เสี่ยวอู๋.. รับมือ!”
หลิงหยุนพุ่งเข้าจู่โจมตี้เสี่ยวอู๋โดยไม่ให้เขาทันได้ตั้งตัวเพราะต้องการที่จะทดสอบทักษะการต่อสู้ของตี้เสี่ยวอู๋ และต้องการให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นได้เห็นว่าพวกเขาจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง
“ห๊ะ!”
หลิงหยุนจู่โจมอย่างกะทันหันเช่นนี้ตี้เสี่ยวอู๋ไม่มีเวลาที่จะพูดอะไรมาก และรีบเดินลมปราณภายในร่างกาย พร้อมกับกับโดดขึ้นรับมือหลิงหยุนกลางอากาศทันที!
ปัง!
หมัดของทั้งสองคนปะทันกันอยู่กลางอากาศเหนือพื้นดินไปราวสิบสองเมตรและพลังปราณต่างก็หมุนวนอยู่รอบๆ ร่างสูงใหญ่ของทั้งคู่!
หลิงหยุนร่อนลงพื้นและกลับหลังหันทันทีพร้อมกับเอ่ยชมตี้เสี่ยวอู๋ ก่อนจะพุ่งเข้าจู่โจมเขาอีกครั้ง!
ปัง!
ตี้เสี่ยวอู๋เองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกันหลังจากเท้าแตะพื้น เขาก็กลับหลังหัน และพุ่งเข้าใส่หลิงหยุนเช่นกัน!
หลิงหยุนและตี้เสี่ยวอู๋ต่างก็รู้กันดีว่าอีกฝ่ายต่างก็มีวิชาดาราคุ้มกายป้องกันร่างกาย จึงใช้หมัดปีศาจเถียนกันชกเข้าใส่กันไม่ยั้ง!
พี่น้องแก๊งมังกรเขียวที่ยืนมองการต่อสู้ระหว่างหลิงหยุนกับตี้เสี่ยวอู๋ถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกอกตกใจจนกระทั่งลืมความเจ็บปวดตามร่างกายตนเองไปสิ้น..
ตี้เสี่ยวอู๋เดินวิชานู่เตาขั้นสูงสุดและซัดหมัดเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนอย่างต่อเนื่อง..
ปัง!
แต่หลิงหยุนเองก็ไม่หลบเช่นกัน..ตี้เสี่ยวอู๋แสดงทั้งวิชาเท้าทองคำหมื่นลี้ วิชาดาราคุ้มกาย วิชานู่เตา หมัดปีศาจเถียนกัง แม้กระทั่งหมัดหมัดเส้าหลินให้ทุกคนได้เห็น..
ท่ามกลางการต่อสู้ของทั้งสองคนเสียงปรบมือ และเสียงโห่ร้องด้วยความชื่นชมก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ..
หลิงหยุนหันไปมองพี่น้องแก๊งมังกรเขียวพร้อมกับพูดขึ้นว่า“พี่น้องทุกคนคงจะเหนื่อยมากแล้วสินะ!”
“แต่การทดสอบยังไม่หมดเท่านี้..หากใครสามารถผ่านการทดสอบอีกสองด่านต่อไปได้ ก็จะเป็นเหมือนฉันกับตี้เสี่ยวอู๋ได้!”
“การทดสอบด่านต่อไปไม่ใช่การทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายแต่เป็นการทดสอบความกล้าหาญของทุกคน!”
ด่านแรกนั้นเป็นการทดสอบสมรรถภาพและความทนทานของร่างกาย ซึ่งนับว่าเป็นพื้นฐานของผู้ฝึกวรยุทธ..
ด่านที่สอง..เป็นการทดสอบความกล้าหาญ ซึ่งนับว่าเป็นพื้นฐานของการต่อสู้..
ระหว่างที่พูดนั้น..หลิงหยุนก็เรียกกระบี่ยาวสีเงินเป็นประกายระยิบระยับออกมาจากแหวนพื้นที่ และนี่คืออาวุธที่หลิงหยุนเก็บมาจากเหล่าศัตรูที่บุกไปยังบ้านเลขที่-1 ในคืนนั้น..
“เอาล่ะ..ทุกคนแยกกันออกเป็นกลุ่มละแปดคน แต่ละกลุ่มให้ยืนเรียงหน้ากระดาน”
สมาชิกแก๊งมังกรเขียวที่เหลือ236 คน ต่างก็แยกตัวออกไปยืนเรียงกันกลุ่มละแปดคนตามคำสั่งของหลิงหยุนทันที
“เสี่ยวอู๋..จัดการทำการทดสอบด่านที่สองได้!”
หลิงหยุนโยนกระบี่ในมือให้ตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับสั่งว่า“ทุกคนฟังให้ดี.. หากเสี่ยวอู๋พุ่งกระบี่ใส่หน้าใคร และคนผู้นั้นถอยหนี หรือแม้แต่กระพริบตา.. จะถูกคัดออกทันที!”
จากนั้นจึงหันไปสั่งตี้เสี่ยวอู๋“เสี่ยวอู๋.. นายจัดการพุ่งปลายกระบี่ใส่ใบหน้าของทุกคน ให้ปลายกระบี่ห่างจากดวงตาของพวกเขาเพียงแค่ห้าเซ็นติเมตรเท่านั้น!”
และสำหรับตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9นั้น แน่นอนว่าย่อมสามารถควบคุมระยะห่างนี้ได้อย่างไม่ผิดพลาดแน่นอน..
นี่คือวิธีการทดสอบความกล้าหาญของจิตใจได้เป็นอย่างดี!
อย่าประเมินการทดสอบครั้งนี้ต่ำจนเกินไปเพราะหากจิตใจไม่กล้าหาญพอ ด้วยสัญชาติญาณของความรักตัวกลัวตาย ย่อมต้องถอยหลังหลบ หรือไม่ก็ต้องกระพริบตาหากเกิดความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ!
“กลุ่มแรกเริ่มได้!”
ตี้เสี่ยวอู๋เดินถือกระบี่ตรงเข้าไปยืนอยู่ด้านหน้าสมาชิกกลุ่มแรกห่างไปราวสองเมตรจากนั้นปลายกระบี่ยาวในมือของตี้เสี่ยวอู๋ก็ตวัดยาวจากซ้ายไปขวา ปลายกระบี่แหลมคมลากผ่านใบหน้าสมาชิกทั้งแปดคนไปในระยะประชั้นชิด ไม่ช้า และไม่เร็วจนเกินไป..
และทันทีที่เริ่มลากปลายกระบี่ผ่านหน้าบางคนก็รีบถอยหลังหนีทันที และบางคนก็รีบหลับตาลงด้วยความกลัว..
“มีสองคนถอยหลังและสามคนที่หลับตา.. ทั้งห้าคนถูกคัดออก!”
ด้วยจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุน..เขาจึงเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน และรีบประกาศผลทันที กลุ่มแรกมีผู้ผ่านการทดสอบเพียงแค่สามคน.. จากนั้นก็ตามมาด้วยกลุ่มที่สอง กลุ่มที่สาม และกลุ่มต่อๆไป..
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงการทดสอบในด่านที่สองก็เสร็จสิ้น และมีคนผ่านการทดสอบในด่านที่สองนี้ไม่ถึงหนึ่งร้อยคน..
“คนที่ไม่ผ่านขึ้นรถบัสไปได้เลยและกลับไปรับรางวัลคนละหนึ่งพันหยวน!”
และรถบัสอีกสามคันก็แล่นออกจากหาดทรายไปทุกคนบนรถได้แต่นึกเสียดายที่ตนเองเผลอกระพริบตา..
อาปิงให้ความสนใจกับสองคนที่เป็นลมไปก่อนหน้านี้แต่ไม่ยอมถอนตัวปรากฏว่าทั้งคู่กลับผ่านการทดสอบในด่านที่สองนี้ไปได้ เขาจึงได้แต่หันไปมองตี้เสี่ยวอู๋อย่างงุนงง..
จากนั้นหลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า“ด่านที่สาม.. เป็นการทดสอบที่ง่ายมาก ทุกคนแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม แล้วมายืนล้อมฉันไว้เป็นวงกลมทีละกลุ่ม..”
หลังจากที่หลิงหยุนทดสอบสมรรถภาพความทนทานของร่างกายและความกล้าหาญของจิตใจไปแล้ว ด่านที่สามนับนี้ว่าสำคัญที่สุด!
ครั้งนี้หลิงหยุนต้องการใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองทดสอบพลังจิตของแต่ละคน!
กลุ่มแรกเดินเข้ามายืนล้อมร่างของหลิงหยุนไว้หลิงหยุนจึงร้องบอกทุกคนว่า..
“ทุกคนเพียงแค่ยืนนิ่ง..ภายในสามนาทีหากไม่ล้มลงไป ก็ถือว่าผ่าน!”
จิตหยั่งรู้ก็คือพลังจิตอย่างหนึ่งแม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ก็นับว่ามีพลังอย่างมาก!
หลังจากที่หลิงหยุนเริ่มใช้พลังจิตของตนเองกดดันทุกคนที่ล้อมร่างเขาอยู่นั้นบางคนก็ถึงกับปวดหัวจนต้องยกมือขึ้นกุมศรีษะไว้พร้อมกับร้องโวยวาย..
“โอ๊ย..ฉันปวดหัว!”
ผ่านไปสามนาทีหลิงหยุนจึงประกาศว่า “ผ่านยี่สิบคน..”
และหลังการทดสอบด่านที่สามผ่านไปสิบนาทีการทดสอบก็เป็นอันสิ้นสุด และมีผู้ที่ผ่านการทดสอบทั้งสามด่านเพียงแค่เจ็ดสิบสองคนเท่านั้น
“อาปิง..จัดการจดชื่อผู้ที่ผ่านการทดสอบทั้งสามด่านไว้ด้วย!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงเงยหน้าขึ้นมองสมาชิกทั้งเจ็ดสิบสองคนที่ผ่านการทดสอบพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฉันขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่สามารถผ่านการทดสอบครั้งนี้ได้และนับจากนี้ทุกคนจะเป็นศิษย์ของสำนักหมอสวรรค์!”
และต่อจากนี้ไปทั้ง72 คนนี้ ก็จะต้องกลายเป็นองค์รักษ์ประจำตัวของหลิงหยุน ที่ไม่ว่าเหนือใต้ออกตก หากผู้ใดได้ยินชื่อ ’72 เทวะแห่งสำนักหมอสวรรค์’ ก็จะต้องยำเกรง และหวาดกลัว!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร