เหล่านักรบตระกูลหลิงต่างก็เข้าสู่ด่านแรกของขั้นเซียงเทียนกันถ้วนหน้าและเส้นลมปราณเยิ่นกับเส้นลมปราณตูก็ได้เปิดเชื่อมต่อถึงกันแล้ว..
จากนั้น..เหล่านักรบตระกูลหลิงทั้งหมดก็ลุกขึ้นยืนเรียงแถวหน้ากระดานหกแถว และกำลังยืนรอฟังคำพูดจากทายาทตระกูลหลิงทั้งสองรุ่นด้วยท่าทางสงบนิ่ง..
หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับหันไปมองหลิงลี่แต่หลิงลี่กลับหัวเราะ แล้วพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. เวลานี้เจ้าคือผู้นำตระกูล พวกเขาล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า เจ้าควรจะเป็นผู้กล่าวจึงจะถูก..”
หลิงหยุนได้ฟังเช่นนั้นจึงก้าวเท้าขึ้นไปข้างหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด “เวลานี้พวกเจ้าก็นับเป็นคนของตระกูลหลิง นักรบตระกูลหลิงก็เสมือนหนึ่งสมาชิกตระกูลหลิงเช่นกัน! ต่อไปเมื่อพบข้า.. ไม่จำเป็นต้องทำตัวเคร่งเครียดมากนัก ขอให้ทุกคนทำตัวตามสบาย!”
“เห็นพวกเจ้าทุกคนก้าวหน้าได้เช่นนี้ข้าก็มีคำพูดสักสองสามประโยคจะพูดกับพวกเจ้า..”
เหล่านักรบทั้งสามสิบคนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่สามารถพลีชีพเพื่อตระกูลหลิงได้ทั้งสิ้น!
ในเมื่อพวกเขาสามารถพลีชีพของตนเองเพื่อตระกูลหลิงได้เช่นนี้พวกเขาจึงควรเป็นเสมือนยิ่งกว่าคนรัก และเป็นเสมือนยิ่งกว่าญาติสนิท..
เหตุผลเพียงเท่านี้หลิงหยุนย่อมเข้าใจได้ดี..เขาจึงไม่เคยทำตัวสูงกว่าเหล่านักรบตระกูลหลิงเลย หนำซ้ำยังปฏิบัติต่อทุกคนราวกับเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูล..
เหล่านักรบตระกูลหลิงต่างก็ตั้งหน้าตั้งตารอฟังคำพูดของหลิงหยุนด้วยความตื่นเต้นและซาบซึ้งใจ นั่นเพราะหลิงหยุนปฏิบัติต่อพวกเขาดังเช่นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่ทาสที่จะจิกหัวเช่นใดก็ได้!
“ก่อนอื่นข้าต้องบอกกับพวกเจ้าว่า..ครั้งนี้ที่ข้ากับท่านปู่ช่วยให้พวกเจ้าสามารถก้าวจากขั้นโฮ่วเทียนขึ้นสู่ขั้นเซียงเทียนได้นั้น นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น..”
“โอสถที่ข้าให้พวกเจ้ากินเข้าไปนั้นจะทำให้รากฐานของพวกเจ้าแต่ละคนแข็งแกร่งกว่ายอดฝีมือขั้นเซียงเทียนคนอื่นๆหลายเท่านัก!”
“หากพวกเจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้า..ก็สามารถเดินลมปราณภายในร่างกายดูได้!”
แต่ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะพูดจบดีเสียงของหลิงอี๋ก็ดังขึ้น “พวกเราเชื่อคำพูดของท่านผู้นำตระกูล!”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับพูดต่อ“เวลานี้ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงมีพลังชีวิตอยู่เข้มข้น คิดว่าพวกเจ้าคงจะสัมผัสได้ หากพวกเจ้ามาฝึกฝนที่นี่ ก็จะเป็นประโยชน์กับพวกเจ้ามาก!” เหล่านักรบตระกูลหลิงต่างก็พยักหน้าพร้อมกัน..
“หากวันใดที่พวกเจ้าไม่มีภารกิจรัดตัวก็ให้หมั่นมาฝึกฝนวิชาที่คฤหาสน์ตระกูลหลิงนี้ เพื่อความก้าวหน้าของพวกเจ้าเอง..”
ครั้งนี้เหล่านักรบตระกูลหลิงต่างก็ร้องตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน“พวกเรารับทราบ!”
“และนับจากนี้ไป..ข้าจะไม่มอบหมายภารกิจใดๆให้พวกเจ้าอีก ช่วงนี้พวกเจ้าจะได้มีเวลาฝึกวิชาเพื่อพัฒนาขั้นความแข็งแกร่งของตนเอง!”
“แม้ว่าตระกูลอื่นในปักกิ่งจะมองพวกเจ้าเป็นเพียงแค่นักรบเดนตายแม้แต่ตระกูลหลิงเองก็เรียกพวกเจ้าว่านักรบ แต่สำหรับข้าหลิงหยุน.. พวกเจ้าเสมือนพี่น้อง เช่นนี้แล้วข้าจึงไม่อยากเห็นพวกเจ้าต้องตาย เช่นเดียวกับที่พวกเจ้าไม่อยากเห็นข้าต้องตายเช่นกัน!”
“ตระกูลหลิงต้องพึ่งพาพวกเจ้าทุกคน!พี่น้องทั้งหลาย.. พวกเราจะร่วมแบ่งปันกันทั้งยามสุข และยามทุกข์!”
คำพูดของหลิงหยุนนั้นช่างมีอำนาจและทรงพลังยิ่งนัก!
แทบไม่ต้องรอให้หลิงหยุนพูดจนจบ..ดวงตาของเหล่านักรบตระกูลหลิงต่างก็รื้นไปด้วยน้ำตา ทุกคนคุกเข่าลงต่อหน้าหลิงหยุนพร้อมๆกัน!
“พวกเราทั้งหมดขอสาบานต่อหน้าผู้นำตระกูลหลิงทั้งสองรุ่นว่า..พวกเรานักรบตระกูลหลิง จะทำตามคำสั่งของผู้นำตระกูลทั้งสองอย่างเคร่งครัด แม้จะต้องบุกน้ำลุยไฟ พวกเราก็ไม่หวาดหวั่น!”
ทั้งหลิงลี่กับเหล่ากุ่ยต่างก็หันไปมองหน้ากันพวกเขารู้ว่าคำพูดของหลิงหยุนนั้นล้วนมาจากใจ และเป็นความจริง ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดที่สวยงามเท่านั้น!
จากนั้น..หลิงหยุนก็พูดต่อว่า “เอาล่ะ.. พรุ่งนี้ข้าจะให้เหล่ากุ่ยเริ่มสอนวรยุทธให้กับพวกเจ้า ” …….
หลังจากนั้นหลิงลี่กับหลิงหยุนก็แยกตัวออกมาระหว่างที่เดินมาด้วยกันนั้น จู่ๆ เหล้าเหมาไถหนึ่งขวดก็ปรากฏขึ้นมาในมือของหลิงลี่พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“หลานรัก..เจ้ามาดื่มเป็นเพื่อปู่หน่อย!”
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงถามออกไปว่า“ท่านปู่.. แหวนนี่ใช้ไม่ยากเลยใช่หรือไม่”
หลิงลี่จัดการเปิดฝาขวดเหล้าพร้อมกับตอบไปว่า“ปู่เองก็คิดไม่ถึงว่าในชีวิตนี้จะมีของวิศษเช่นนี้ใช้ด้วย มีแหวนวงนี้ทำให้พกพาสิ่งของไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกมากทีเดียว..”
นับว่าหลิงหยุนเป็นผู้ที่นำความสุขมาสู่ตระกูลหลิงแม้ว่าเขาจะได้สังหารหลิงห่าวไป แต่ต้นเหตุก็มาจากความชั่วช้าที่หลิงห่าวเป็นผู้ก่อขึ้นเองทั้งสิ้น..
หลิงลี่เองก็มีความมั่นใจอยู่ลึกๆว่าในการประลองกับตระกูลเฉินครั้งนี้ หลิงหยุนจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน!
หลิงลี่เชื่อมั่นแม้กระทั่งว่า..ต่อให้ตระกูลเฉินอัญเชิญเซียนจากสรวงสวรรค์มาร่วมประลอง หลิงหยุนก็ย่อมหาทางรับมือได้อยู่ดี!
และในช่วงเวลาที่เปี่ยมไปด้วยความสุขเช่นนี้หลิงลี่จึงต้องการที่จะร่วมดื่มกับหลิงหยุน หลิงหยุนเองก็รู้ตัวว่าคงเลี่ยงไม่ได้ จึงตกลงนั่งดื่มเป็นเพื่อนหลิงลี่..
ระหว่างที่นั่งดื่มกันไปนั้นหลิงหยุนก็บอกกับหลิงลี่ว่า “ท่านปู่.. เรื่องแหวนพื้นที่นี้ ท่านช่วยกำชับทุกคนให้เก็บเป็นความลับ หากให้คนนอกรู้.. ตระกูลหลิงคงต้องกลายเป็นเป้าหมาย และเป็นศัตรูกับเหล่าชาวยุทธมากมายแน่!”
หลิงลี่พยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ได้.. ข้าจะสั่งทุกคนห้ามใช้แหวนพื้นที่ต่อหน้าคนภายนอก และจะกำชับให้พวกเขาเก็บเป็นความลับเหมือนเรื่องมรดกตระกูลหลิงด้วย!”
จากนั้นหลิงลี่จึงถามต่อว่า“หลานรัก.. จากนี้ไปเจ้าคิดจะทำอะไรบ้าง” หลิงหยุนยิ้มมุมปากพร้อมกับตอบไปทันที“ท่านปู่.. พรุ่งนี้ข้ามีเรื่องสำคัญต้องไปทำ หลังจากคืนพรุ่งนี้ข้าจะบอกกับท่านปู่เอง!”
หลังจากนั่งดื่มกับหลิงลี่ไปจนเหล้าหมดขวดแล้วทั้งคู่ต่างก็แยกย้ายกัน หลิงหยุนจึงเดินไปที่หลิวเทวะวิญญาณ และพบโม่วู๋เตากำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่..
หลังจากที่ถูกหลิงหยุนบีบบังคับและจ้ำจี้จำไชเรื่องการฝึกฝน โม่วู๋เตาจึงไม่กล้าเกียจคร้านอีก เพราะเกรงว่าหลิงหยุนจะใช้โซ่หยิน–หยางจับตนเองโยนขึ้นฟ้าเหมือนครั้งที่แล้วอีก..
และอีกหนึ่งเหตุผลที่โม่วู๋เตาขยันฝึกวิชามากขึ้นก็เพราะว่าวิชาที่หลิงหยุนสอนให้เขานั้น ยิ่งฝึกก็ยิ่งเสพติด.. ไอลีนโนเวล
นั่นเพราะเมื่อสามารถเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆนั้นร่างกายก็จะค่อยๆเปลี่ยนไป ทำให้คนผู้นั้นอยากจะฝึกฝนต่อไปอีกเรื่อยๆ
หลังจากที่หลิงหยุนทำการล้างไขกระดูกให้กับโม่วู๋เตาแล้วเขาก็สามารถฝึกวิชาดาราคุ้มกายเข้าสู่ระดับที่สามได้ในทันที!
หลิงหยุนเห็นโม่วู๋เตาตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนเช่นนั้นจึงได้แต่แอบหัวเราะอยู่ในใจ และร้องตะโกนออกไปว่า
“โม่วู๋เตา..หยุดฝึก แล้วก็ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
โม่วู๋เตาถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นและร้องตะโกนออกไปอย่างไม่พอใจ “ทำเสียงดังหนวกหูไปได้! นี่เจ้าจะมารบกวนการฝึกของข้าทำไมกัน”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า“นักพรตน้อย.. เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้ง! ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่ดีกว่านี้!”
“ที่ใหนกัน”โม่วู๋เตาตาโตขึ้นมาทันที
“เจ้าหุบปากแล้วเดินตามข้ามา..”
หลิงหยุนร้องบอกโม่วู๋เตาพร้อมกับดึงต้นหลิวเทวะวิญญาณเก็บเข้าไปในแหวนพื้นที่แล้วเดินตรงไปที่ประตูทันที หลังจากนั้นทั้งคู่ก็นั่งรถมุ่งหน้าไปยังชานเมือง.. …..
ค่ำคืนดึกดื่นเช่นนี้..หลิงหยุนพาโม่วู๋เตามาที่คลังอาวุธตระกูลหลิง
หลังเข้าสู่ถนนวงแหวนที่หกและเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดูว่าไม่มีใครแอบสะกดรอยตามมาแล้ว หลิงหยุนก็เหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้นทันที ในที่สุดรถของหลิงหยุนก็ไปจอดอยู่หน้าโรงงานเก่าๆซอมซ่อแห่งหนึ่ง หากผู้ใดพบเห็นเข้าก็คงคิดว่าเป็นโรงงานร้าง และไม่คิดที่จะใส่ใจ..
โม่วู๋เตาถึงกับร้องออกมาอย่างผิดหวัง“เฮ้อ.. ดึกๆดื่นเช่นนี้ เจ้ากลับพาขามาโรงงานผุพังทำไมกัน”
ทันทีที่ขับรถเข้าไปจอดมุมหนึ่งของโรงงานหลิงหยุนก็สั่งให้โม่วู๋เตาหุบปาก และเดินตามเขาลงจากรถเข้าไปด้านใน และเมื่อโม่วู๋เตาได้เห็นระบบไฮเทคของโรงงานแห่งนี้ เขาก็ถึงกับอึ้งไปในทันที..
“หลิงสือชี..คาราวะผู้นำตระกูล!” หลิงสือชีรู้ว่าหลิงหยุนจะมาจึงได้ออกมายืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว และสายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของโม่วู๋เตา นั่นเพราะตามกฏระเบียบแล้ว สถานที่แห่งนี้ห้ามให้คนนอกเข้าไปโดยเด็ดขาด!
โม่วู๋เตาเห็นสายตาดุดันของหลิงสือชีก็ถึงกับขนลุกขนชันขึ้นมาทันทีหลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบบอกกับหลิงสือชีว่า
“นี่คือนักพรตโม่วู๋เตา..เขาคือคนที่ช่วยชีวิตข้ากับท่านพ่อไว้ แล้วก็เป็นเสมือนน้องชายของข้าด้วย!”
แววตาของหลิงสือชีที่มองโม่วู๋เตานั้นเปลี่ยนเป็นซาบซึ้ง และเคารพขึ้นมาทันที พร้อมกับเอ่ยขอโทษโม่วู๋เตา
“หลิงสือชีขออภัยท่านนักพรตที่เสียมารยาทข้าเพียงแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย!”
โม่วู๋เตาโบกมือไปมาพร้อมตอบกลับไปทันที“ไม่เป็นไรๆ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด!” จากนั้นโม่วู๋เตาก็หันไปมองอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆรอบตัวด้วยสีหน้าตื่นเต้นหลิงหยุนจึงกระซิบบอกกับหลิงสือชีว่า
“น้องชายของข้าเพิ่งลงจากเขามาจึงไม่เคยพบเห็นอะไรเช่นนี้!”
หลิงสือชีเพียงแค่ยิ้มมุมปากและพูดกับหลิงหยุนว่า “ผู้นำตระกูล.. ข้าได้เตรียมของทั้งหมดที่ท่านสั่งไว้ให้แล้ว!”
และก่อนหน้าจะเดินทางมาที่นี่นั้นหลิงหยุนก็ได้โทรหาหลิงสือชี สั่งให้เขาเตรียมเตาหลอมชนิดพิเศษที่มีอุณหภูมิสูงถึงหนึ่งหมื่นองศาไว้ให้!
หลิงหยุนต้องการทำแหวนพื้นที่จากศิลากลั่นวิญญาณให้กับตนเองแต่การจะหลอมศิลากลั่นวิญญาณนั้นจำเป็นต้องใช้เตาหลอมที่มีความร้อนสูงมาเป็นพิเศษ
ในการสร้างแหวนพื้นที่จากศิลากลั่นวิญญาณนั้นจะต้องนำศิลานี้ไปหลอมให้กลายเป็นของเหลวเสียก่อน แล้วจึงค่อยหล่อให้เป็นรูปแหวน และขั้นตอนสุดท้ายคือสลักค่ายกลงพื้นที่ลงไป..
แต่เวลานี้ศิลากลั่นวิญญาณยังคงอยู่ในท้องของหลิงหยุนไม่นานพอเขาจึงต้องการรอให้ถึงวันเย็นวันพรุ่งนี้เสียก่อน แล้วจึงค่อยนำออกมาหลอม ระหว่างนี้เขากับโม่วู๋เตาจึงได้นั่งฝึกวิชาภายในคลังอาวุธแห่งนี้ไปพรางๆ
ระหว่างที่ฝึกนั้น..หลิงหยุนก็ได้กำศิลากลั่นวิญญาณไว้ในมือแน่น เพื่อให้จิตหยั่งรู้ของตนสมบูรณ์สูงสุด และเวลานี้หว่างคิ้วของเขาก็มีเสินหยวนอยู่มากกว่าสองร้อยหยด..
………
และในตอนเย็นของวันถัดมาหลิงหยุนจึงได้ลืมตาขึ้นพร้อมกับคายศิลากลั่นวิญญาณในท้องออกมา เขาสั่งให้หลิงสือชีเปิดเตาหลอม และราวครึ่งชั่วโมงเตาหลอมก็มีอุณหภูมิสูงอย่างที่หลิงหยุนต้องการ
ความร้อนที่สูงถึงเพียงนี้แม้แต่หลิงสือชีเองยังไม่กล้าเข้าใกล้และได้แต่ยืนมองหลิงหยุนที่กำลังหลอมหินก้อนเล็กๆอยู่ห่างๆ ผ่านไปครู่ใหญ่..หินสีเทาก็ค่อยๆอ่อนตัว และกลายเป็นของเหลวสีเทาที่กำลังเดือดปุดๆในที่สุด หลังจากที่เดือดอยู่ครู่ใหญ่ ก็ตามมาด้วยเสียงดังปังคล้ายระเบิดขึ้น..
หลิงหยุนรีบนำเสินหยวนที่กลั่นไว้สิบแปดหยดเข้าไปหลอมร่วมด้วยกับศิลากลั่นวิญญาณทันทีและรีบปลดปล่อยพลังหยิน และหยางออกไปห่อหุ้มศิลากลั่นวิญญาณไว้ เพื่อไม่ให้เกิดการระเบิดและไหลทิ้งไป
ระหว่างที่หลอมศิลากลั่นวิญญาณไปเรื่อยๆนั้นก็ยังคงมีเสียงดังปังขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน แต่เพราะหลิงหยุนใช้พลังหยิน–หยางห่อหุ้มไว้แล้ว มันจึงไม่มีการระเหยออกไป เพราะในที่สุดหลังจากที่หลอมไประยะหนึ่ง จากของเหลวสีเทา ก็ได้เปลี่ยนเป็นไอสีเทาแทน..
ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ได้ใช้พลังหยินที่เย็นยะเยือกของตนเองทำการเปลี่ยนให้ไอสีเทาเหล่านั้นกลับกลายเป็นของเหลวเช่นเคย พร้อมกับเปลี่ยนหยดเสินหยวนจากหว่างคิ้วให้เป็นพลังวิเศษ สามารถใช้จิตใจควบคุมของเหลวที่ร้อนระอุนั้นให้กลายเป็นแหวนตามที่ใจต้องการ..
และเมื่อศิลากลั่นวิญญาณค่อยๆกลายเป็นรูปแหวนและเริ่มแข็งตัวขึ้นแล้ว หลิงหยุนก็จัดการใช้กระบี่เหินเงาธนูจัดการสลักค่ายกลไว้บนตัวแหวนถึงเก้าชั้นใหญ่ ซึ่งนับว่าสูงสุดเท่าที่หลิงหยุนจะทำได้ในเวลานี้แล้ว
จากนั้นจึงค่อยทำให้แหวนเย็นลงและเมื่อเย็นลงจนสามารถจับได้แล้ว หลิงหยุนจึงได้กัดนิ้วตัวเองพร้อมกับหยดเลือดลงไปบนตัวแหวนทันที แล้วทำการสวมลงไปที่นิ้วชี้ข้างขวาของตนเองทันที
จากนั้นหลิงหยุนก็เริ่มลงมือทำแหวนพื้นที่จากศิลากลั่นวิญญาณอีกสองวันด้วยขั้นตอนเดียวกันสำหรับหนิงหลิงยู่หนึ่งวง และเย่ซิงเฉินอีกหนึ่งวง””
หลิงหยุนใช้เวลาในการทำแหวนพื้นที่จากศิลากลั่นวิญญาณไปร่วมสองชั่วโมงและใช้หยดเสินหยวนไปมากกว่าสองร้อยหยด และเวลานี้เขาก็เหนื่อยล้า และมีเหงื่อท่วมตัวไปหมด..
หลังจากมีเวลา..หลิงหยุนจึงเริ่มใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูด้านในของแหวนพื้นที่ และเมื่อได้เห็นก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ใหญ่โตถึงเพียงนี้เชียวรึใหญ่โตกว่าที่ข้าคิดไว้มากทีเดียว!”
“นี่ควรจะเรียกว่าแหวนจักรวาลจึงจะถูก!”
……
หลังจากนั้นหลิงหยุนจึงเรียกหลิงสือชีให้มาจัดการปิดเตาหลอมส่วนตัวเขานั้นเดินตรงไปที่กองอาวุธที่เก็บมาจากเหล่ามือสังหารขององค์กรนักฆ่าเมื่อคราวก่อน แล้วเรียกทั้งหมดเข้าไปเก็บในแหวนพื้นที่วงใหม่ทันที..
เวลานี้อย่าว่าแต่กองอาวุธเพียงเท่านี้เลยแม้แต่กองทองแท่งที่ศูนย์บัญชาการขององค์กรนักฆ่าสาขาปักกิ่ง หลิงหยุนก็สามารถเรียกเข้าไปเก็บได้อย่างสบายๆ
หลังจากสั่งงานหลิงสือชีอีกสองสามคำหลิงหยุนก็จัดการนำลูกธนูเข้าไปอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อสำหรับใช้ในยามจำเป็น จากนั้นหลิงหยุนกับโม่วู๋เตาก็ขับรถออกจากคลังอาวุธตระกูลหลิงราวสามทุ่มตรงพอดี..
โม่วู๋เตาร้องถามออกมาด้วยความแปลกใจ..“หลิงหยุน.. นี่เจ้าจะไปใหน ข้าจำได้ว่านี่ไม่ใช่ทางเข้าเมืองนี่นา?”
“ข้าจะไปที่ที่ท่านพ่อเคยถูกจับไปขังไว้..”
และที่นี่ก็คือสถานที่ที่หลิงหยุนได้เลือกไว้ให้เป็นสนามประลองยุทธระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลเฉินนั่นเอง!
แต่ก่อนอื่นหลิงหยุนต้องไปจัดการย้ายทองแท่งมูลค่ามหาศาลออกมาจากที่นั่นก่อน..
หลิงหยุนขับรถไปจอดไว้ตีนเขาจากนั้นจึงสั่งให้โม่วู่เตาลงจากรถ และจัดการเรียกรถเข้าไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาลทันที โม่วู๋เตาถึงกับตกใจจนถึงกับทรุดลงก้นกระแทกพื้น
“บ้าไปแล้ว..นี่มันอะไรกัน ข้างในใหญ่โตถึงขนาดเก็บรถได้ทั้งคันเชียวรึ?”
ภายในผนังของของแหวนจักรวาลนี้มีลักษณะคล้ายรวงผึ้งทำให้มีช่องเก็บของได้อีกมากมาย หนำซ้ำยังเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย..
หลังจากนั้นทั้งหลิงหยุนและโม่วู๋เตาต่างก็ใช้วิชาตัวเบาลัดเลาะไปตามภูเขาสามสี่ลูก จนกระทั่งไปถึงคฤหาสน์ใหญ่โตบนเขาลูกหนึ่ง
“เอ็ดเวิร์ด..เจสเตอร์.. พวกเจ้าสองคนออกมาได้แล้ว!”
สิ้นเสียงร้องสั่งของหลิงหยุนแวมไพร์สองตนที่อยู่ในห้องลับใต้พื้นดิน ก็เปิดประตูออกมาทันที!
“เจ้านายที่เคารพ!”
หลิงหยุนพยักหน้าให้กับแวมไพร์ทั้งสองตนแล้วจึงหันไปถามโม่วู๋เตาว่า “ข้างล่างมีของที่น่าสนใจมากทีเดียว เจ้าอยากจะลงไปดูหรือไม่” โม่วู๋เตาไม่ตอบแต่วิ่งตรงเข้าไปที่ห้องลับใต้ดินทันทีและเมื่อไปถึงเขาก็ร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น..
“นี่..นี่มันทองทั้งนั้นเลยนี่!”
แสงสีทองระยิบระยับของทองคำแท่งกองมโหฬารทำให้โม่วู๋เตาถึงกับตาลาย และร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นตกใจ จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ โม่วู๋เตาจึงหายจากอาการตกตะลึง และพุ่งเข้าไปหยิบทองคำแท่งขึ้นมาดูพร้อมกับพึมพำออกมา
“หลิงหยุน..”
“ไม่สิ..พี่หลิงหยุน! ทองมากมายขนาดนี้ ท่านแบ่งให้ข้าบ้างเล็กๆน้อยๆจะได้หรือไม่”
หลิงหยุนถามออกไปอย่างนึกขัน“เจ้าหยิบไปได้เลย.. เจ้าหยิบไปได้เท่าไหร่ก็เป็นของเจ้าเท่านั้น!”
จากนั้น..หลิงหยุนก็ไม่สนใจโม่วู๋เตาอีก และจัดการเรียกทองคำแท่งเข้าไปไว้ในแหวนพื้นที่ ทองคำแท่งกองมหึมาค่อยๆหายเข้าไปในแหวนของหลิงหยุนเรื่อยๆ จนหลิงหยุนถึงกับร้องอุทานออกมา
“ว้าว!ข้าเองก็ไม่เคยได้สนุกเช่นนี้มานานมากแล้วเช่นกัน!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร