เวลานี้โม่วู๋เตานั่งอยู่บนกองทองแท่งและกำลังคว้าก้อนทองคำแท่งเข้ามาไว้ในวงแขนของตนเองมากมาย ในขณะที่ปากก็พร่ำพรรณาไม่หยุด..
“ทองคำแท่ง..ทองคำแท่ง.. ทั้งหมดเป็นของข้า!”
ในขณะที่หลิงหยุนก็หันไปทางเจสเตอร์พร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดังเขายกเท้าขึ้นถีบก้นของโม่วู๋เตาจนหัวคะมำทิ่มลงไปบนกองทองคำแท่งทันที
โม่วู๋เตาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้วหันไปตะโกนใส่หลิงหยุนด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้าถีบข้าทำไมกัน เจ้าเป็นคนพูดเองว่าข้าขนไปได้เท่าไหร่ก็เป็นของข้าไม่ใช่รึ?”
หลิงหยุนยกมือชี้ไปที่กองทองคำแท่งพร้อมกับพูดจาเย้ยหยันโม่วู๋เตา“ใช่.. ข้าพูดเช่นนั้นจริง! แต่เจ้ามีปัญญาขนไปหมดงั้นรึ” โม่วู๋เตาถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่งและในที่สุดก็หันไปพูดกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่ชาย.. ท่านช่วยข้าขนกลับไปจะได้หรือไม่”
โม่วู๋เตารีบเปลี่ยนสีหน้าจากโกรธเกรี้ยวมาเป็นออดอ้อนและเรียกแทนหลิงหยุนว่า ‘พี่ชาย’ ทันที..
แต่หลิงหยุนกลับส่ายหน้าปฏิเสธและบอกโม่วู๋เตาไปว่าให้ต่างคนต่างขนไปเอง..
โม่วู๋เตาทำท่าฮึดฮัดไม่พอใจและจัดการถอดเสื้อคลุมของตนออก แล้วนำมาห่อทองของตนเพื่อแบกกลับทันที แต่น้ำหนักของมันก็มากเกินกว่าที่โม่วู๋เตาจะสามารถยกขึ้นได้
ในที่สุดหลิงหยุนก็อดรนทนไม่ได้จึงแนะนำโม่วู๋เตาไปว่า “นี่นักพรตน้อย.. ข้าว่าเจ้าอย่าโลภมากนักเลย เจ้าหยิบไปก้อนสองก้อนเท่าที่ตนเองขนไปได้ก็พอ ทองแท่งขนาดนี้ก้อนหนึ่งก็มีมูลค่าหลายล้านแล้ว!” ไอลีนโนเวล
เวลานี้โม่วู๋เตาเริ่มเข้าใจแล้วว่าหากตนเองหมั่นฝึกฝนจนแข็งแกร่งเช่นเดียวกับหลิงหยุน คงจะสามารถแบกทองแท่งในเสื้อคลุมทั้งหมดนี้กลับไปได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงกระนั้นปากก็ตอบหลิงหยุนไปว่า
“สำนักเหมาซานของข้าสอนว่า..เงินทองล้วนเป็นของนอกาย!”
หลิงหยุนได้ฟังคำตอบของโม่วู๋เตาก็ได้แต่หัวเราะและบอกไปว่า “นักพรตน้อย.. หากเจ้าฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-4 ได้เมื่อใด ข้าจะให้ทองคำเจ้าอีกหนึ่งแท่ง?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นโม่วู๋เตาก็รีบร้องตะโกนบอกออกไปทันที “ห๊ะ.. เจ้าพูดจริงงั้นรึ! ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รีบๆกลับเร็วเข้า ข้าจะได้กลับไปฝึกวิชาต่อ!”
หลิงหยุนคร้านที่จะสนใจโม่วู๋เตาอีกจึงหันไปถามมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ด “ประคำโลหิตใช้ได้ผลดีหรือไม่”
มาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดตอบกลับมาด้วยความตื่นเต้น“เจ้านายที่เคารพ.. ประคำวิเศษนี่ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! ข้ารู้สึกว่ามันช่วยให้ข้าสามารถฝึกฝนการใช้เวทย์มนต์แวมไพร์ได้ก้าวหน้ารวดเร็วขึ้นมาก หนำซ้ำอำนาจของเวทย์มนต์ยังแกร่งกว่าเดิมมากด้วย!”
“เจ้านายที่เคารพ..ข้าคงจะสามารถข้ามขั้นได้ในเร็วๆนี้!”
และหากมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดสามารถข้ามขั้นได้มันก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นดยุคได้ในทันที..
หลิงหยุนยิ้มออกมาและได้แต่คิดว่าประคำโลหิตช่างเหมาะกับเผ่าพันธุ์แวมไพร์ยิ่งนัก!
ตระกูลเฉินส่งเฉินเจี้ยนกุ่ยไปเข้าสำนักโลหิตมารก่อนจากนั้นจึงส่งเขาไปแถบตะวันตกเพื่อให้กลายเป็นแวมไพร์ และกลับมาช่วยตระกูลเฉินอีกที แต่นับว่าโชคร้ายที่เฉินเจี้ยนกุ่ยมาพบเจอกับหลิงหยุนเสียก่อน แผนการทุกอย่างที่ตระกูลเฉินวางไว้จึงต้องล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า..
“เอาล่ะ..ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็อยู่เฝ้าที่นี่ให้ข้าอีกสักสองสามวัน ระหว่างนี้ก็ฝึกฝนไปด้วยก็แล้วกัน!” หลังจากสั่งมาร์ควิสเอ็ดเวิร์ดแล้วหลิงหยุนก็หันไปทางเจสเตอร์ “เจสเตอร์.. พวกเราไปกันได้แล้ว!”
เจสเตอร์กลายร่างเป็นนกยักษ์บินพาหลิงหยุนกับโม่วู๋เตาขึ้นไปบนท้องฟ้าทันทีและระหว่างที่บินอยู่บนท้องฟ้านั้น หลิงหยุนก็ได้ร้องตะโกนบอกกับโม่วู๋เตาว่า
“นักพรตน้อย.เจ้าเลิกกอดเอวข้า แล้วเปลี่ยนมาจับที่ไหล่ของข้าแทนจะได้หรือไม่”
หากเป็นเย่ซิงเฉินหรือว่าเกาเฉินเฉินโอบกอดเอวเช่นนี้ หลิงหยุนคงจะไม่พูดอะไร แต่เขารู้สึกแปลกๆ เมื่อเป็นโม่วู๋เตา..
โม่วู๋เตาจำใจเปลี่ยนมาจับไหล่หลิงหยุนไว้แทนและทั้งหมดก็กำลังบินมุ่งหน้าไปแถบชานเมืองตะวันออกของปักกิ่ง เพื่อไปพบกับเย่ซิงเฉิน!
……
ในระหว่างที่หลิงหยุนกำลังยืนชื่นชมทัศนียภาพที่งดงามในยามค่ำคืนแต่โม่วู๋เตากลับหลับตาปี๋ และขาทั้งสองข้างก็สั่นสะท้านไปหมด มือที่จับไหล่ไว้เปลี่ยนมาเป็นกอดคอหลิงหยุนไว้แน่นแทน และติดหนึบแนบแน่นอยู่กับร่างของหลิงหยุน..
แต่ถึงว่าจะหวาดกลัวมากเพียงใดมืออีกข้างของนักพรตน้อยก็ยังคงกำทองคำหนึ่งแท่งในมือไว้แน่น!
ในระหว่างที่ยืนอยู่บนแผ่นหลังเจสเตอร์เช่นนั้นหลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะฝึกวิชาดาราคุ้มกายไปด้วย นั่นเพราะเวลานี้เกิดปรากฏการณ์ทางช้างเผือกขึ้น ดาวนับล้านๆดวงมารวมตัวกันมากมาย และกำลังทอประกายระยิบระยับสวยงาม ในขณะที่แสงจันทราก็กำลังส่องสว่างไสวไปทั่วท้องนภาเช่นกัน..
เวลานี้..แสงจันทราที่สาดส่องลงมานั้นดูเสมือนสายน้ำ ในขณะที่แสดงดาราเป็นดั่งพรายน้ำที่กำลังทอประกายระยิบระยับท่ามกลางสายนที..
หลิงหยุนโคจาดาราคุ้มกายและกำลังดูดเอาพลังจันทรา และพลังดวงดาวจากดวงดารานับล้านดวงเข้าไปในร่างกายตนเอง
เวลานี้พลังจันทราก็ได้ทอดลงไปยังร่างของหลิงหยุนและปกคลุมร่างของเขาไว้ ในขณะที่พลังดวงดาวก็ได้พุ่งเข้าสู่ร่างของหลิงหยุนเช่นกัน และกำลังชำระล้างร่างกายให้กับเขา..
เจสเตอร์ค่อยๆบินสูงขึ้นเรื่อยๆและเร็วขึ้นเรื่อยๆ แต่แสงจันทร์และแสงดาวที่สาดส่องลงมาปกคลุมร่างของหลิงหยุนนั้น ยังคงติดตามไปจนกลายเป็นทางสว่างไปตลอดสาย..
แต่ในระหว่างนั้น..หลิงหยุนก็สัมผัสได้ถึงแรงเกี่ยวที่ลำคอซึ่งรุนแรงและแน่นขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงร้องตะโกนบอกโม่วู๋เตาว่า
“โม่วู๋เตา..เจ้าปล่อยมือออกจากลำคอของข้าเดี๋ยวนี้!”
โม่วู๋เตาที่ยังคงหลับตาปี๋ร้องตะโกนตอบกลับมาทันที“ไม่ปล่อย! ถ้าจะตายก็ต้องตายพร้อมกัน!” โม่วู๋เตาคิดไม่ถึงว่าเจสเตอร์จะบินขึ้นมาสูงเช่นนี้หลิงหยุนได้ฟังก็ถึงกับหัวเราะออกมา และบอกกับโม่วู๋เตาว่า
“นักพรตน้อย..ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะแก่การฝึกดาราคุ้มกายยิ่งนัก! เหตุใดเจ้าจึงไม่ฝึกเล่า”
หลิงหยุนไม่ได้หลอกโม่วู๋เตาเพราะบนท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆหมอกขวางกั้นแสงจันทร์ และแสงดาวเช่นนี้ พลังจันทรา และพลังดวงดาวจึงแข็งแกร่งยิ่งนัก!
แต่โม่วู๋เตากลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเพราะระหว่างฝึกวิชากับชีวิต โม่วู๋เตาขอเลือกชีวิตมากกว่า!
แต่เจสเตอร์กลับดีใจทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้หลิงหยุนในยามที่เขาฝึกวิชาเพราะไม่ว่าหลิงหยุนจะฝีกปราณเสวียนหวง หรือดาราคุ้มกาย เจสเตอร์ก็ได้รับประโยชน์ไปด้วยทั้งสิ้น
นั่นเพราะแวมไพร์นั้นสามารถออกไปข้างนอกได้เฉพาะเวลากลางคืนจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับแสงจันทร์ และในเมื่อเวลานี้แสงจันทร์และแสงดาวครอบคลุมทั่วทั้งร่างของหลิงหยุน มีหรือที่มันจะไม่ได้ประโยชน์ไปด้วย..
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงถามเจสเตอร์ว่า“เจสเตอร์.. นี่เจ้าใกล้จะเข้าสู่ขั้นต่อไปแล้วหรือยัง”
“ใกล้แล้วเจ้านายที่เคารพ..ข้าใกล้จะเข้าสู่ขั้นมาร์ควิสแล้ว!”
……
สี่ถึงห้านาทีต่อมา..ทั้งสามก็มาถึงชานเมืองด้านตะวันออกของปักกิ่ง หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดู จึงได้พบบ้านเล็กๆหลังหนึ่งอยู่ด้านล่าง
หลิงหยุนหยุดโคจรดาราคุ้มกาย..แสงจันทร์และแสงดาวที่ทอดลงสู่ร่างหลิงหยุนเป็นทางนั้น ก็ได้อันตธานหายไปทันทีเช่นกัน จากนั้นหลิงหยุนจึงชี้ไปที่บ้านหลังเล็กพร้อมกับร้องบอกเจสเตอร์ให้ร่อนลงตรงสวนภายในบ้าน..
……… ชานเมืองด้านตะวันออกของปักกิ่ง..
ห่างจากเขื่อนมี่หยิวนไปทางใต้ราวหกสิบกิโลเมตรมีบ้านเล็กหลังหนึ่งอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่มีป่าสีเขียวชะอุ่มปกคลุม และมีแม่น้ำไหลผ่านตีนเขา ช่างเป็นทัศนียภาพที่งดงามยิ่งนัก..
และบ้านหลังเล็กแห่งนี้ก็คือที่พักชั่วคราวในปักกิ่งของธิดาพรรคมารเย่ซิงเฉินนั่นเอง..
สถานที่แห่งนี้ห่างไกลจากตัวเมืองที่วุ่นวายและห่างจากถนนวงแหวนที่หกถึงสามสิบกิโลเมตร และบ้านเล็กๆ หลังนี้ก็อยู่ห่างจากถนนที่ใกล้ที่สุดถึงห้ากิโลเมตร รอบๆ ล้วนมีเพียงป่าขาเท่านั้น สถานที่แห่งนี้จึงสงบสวยงามไม่ต่างจากวิมาน..
และด้วยความสามารถของเย่ซิงเฉินสถานที่แห่งนี้จึงนับว่าเหมาะสมกับนางยิ่งนัก นั่นเพราะยากนักที่จะมีผู้ใดพบเห็นสถานที่ลึกลับแห่งนี้ได้ง่ายๆ และด้วยความสามารถของเย่ซิงเฉิน หากนางต้องการจะเข้าไปในเมือง ก็ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง และสามารถออกไปได้ตลอดเวลา..
บ้านเล็กๆหลังนี้ทำจากไม้ไผ่ ดูเรียบง่าย แต่ก็ให้ความรู้สึกสดชื่น และเวลานี้เย่ซิงเฉินก็กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่รอหลิงหยุนอยู่ภายในบ้าน นางนั่งเหม่อมองแสงจันทร์ในยามค่ำคืนอย่างมีความสุข
ดูเหมือนช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่เย่ซิงเฉินรู้สึกผ่อนคลายและสบายใจมากที่สุด เพราะเมื่อครั้งที่นางแอบตามจินเหยียวไปนั้น จึงได้บังเอิญพบกับหลิงหยุนที่ไปช่วยพ่อพอดี ทำให้ได้ล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของหลิงหยุน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเย่ซิงเฉินมาก เพราะนางหวั่นเกรงมาตลอดว่าหลิงหยุนจะไม่ใช่ทายาทตระกูลหลิง..
หนำซ้ำเวลานี้หลิงหยุนเองก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าที่นางคิดไว้มากและในวันข้างหน้านางก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงตระกูลหลิงอีก..
หลิงหยุนช่วยหลิงเสี่ยวออกมาได้สำเร็จจินเหยียวก็กลับเป็นปกติ และซือกงถูก็ถูกจับตัวไปแล้ว สำหรับเย่ซิงเฉินแล้ว.. ทั้งหมดนี้เป็นรางวัลที่ดียิ่งกว่ารางวัลใดๆ
หลังจากที่แยกจากหลิงหยุนในครั้งนั้นสิ่งแรกที่เย่ซิงเฉินทำก็คือ แอบส่งข่าวนี้ไปให้หยินชิงเฉวียนรู้ และหลังจากที่รู้ข่าว หยินชิงเฉวียนก็ดื่มถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน..
เย่ซิงเฉินได้รับข่าวจากชิงหยวนว่าหยินชิงเฉวียนสั่งให้นางคอยให้ความช่วยเหลือกับตระกูลหลิง และหลิงหยุนอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องใจใครหน้าใหนทั้งสิ้น!
หากหลิงหยุนต้องการเงิน..ก็ให้เงิน!
หากหลิงหยุนต้องการกำลังพล..ก็ให้จัดหาให้!
“ข้ามาแล้ว..”
ระหว่างที่เย่ซิงเฉินกำลังบ่นพึมพำว่าเหตุใดหลิงหยุนจึงยังไม่มาเสียงของหลิงหยุนก็ดังขึ้นมาทันที และเมื่อเท้าสัมผัสพื้น หลิงหยุนก็พุ่งเข้าไปภายในบ้านของเย่ซิงเฉินทันที พร้อมกับถามนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม..
“เจ้าหงุดหงิดถึงเพียงนี้อย่าบอกนะว่ากำลังคิดถึงข้าอยู่!”
เย่ซิงเฉินสวนกลับไปทันทีเช่นกัน“หึ.. ข้าหงุดหงิดที่ต้องนั่งคอยเจ้าต่างหากเล่า”
หลิงหยุนตรงเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่เย่ซิงเฉินเพิ่งลุกขึ้นและไออุ่นกับกลิ่นตัวหอมหวลของนางยังคงอบอวลอยู่ หลิงหยุนเห็นกล่องหยก และรูปสลักที่วางอยู่บนโต๊ะ จึงพูดขึ้นว่า
“เจ้าบอกว่าไม่คิดถึงข้าแต่กลับนั่งมองของพวกนี้งั้นรึ”
เย่ซิงเฉินตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ“เจ้าอย่าได้คิดเข้าข้างตัวเองนัก ตั้งแต่กลับมาข้าก็วางของที่เจ้าให้ไว้บนโต๊ะตลอด.. ก็แค่นั้น!”
ส่วนโม่วู่เตาที่กำลังยืนขาสั่นอยู่ด้านนอกนั้นก็ได้แต่ร้องตะโกนโวยวายออกมาเสียงดัง “หลิงหยุน.. เจ้าเกือบจะฆ่าข้าตาย!”
เย่ซิงเฉินได้ยินเช่นนั้นจึงร้องถามหลิงหยุนไปว่า“นักพรตน้อยผู้นี้คงจะเป็นผู้ทำนายที่ซ่อนของท่านลุงหลิงเมื่อคราวก่อนสินะ เขาคือโม่วู๋เตาใช่หรือไม่?”
แต่กลับไม่มีเสียงตอบใดๆจากหลิงหยุนที่กำลังนั่งเอนกายพิงเก้าอี้อย่างขี้เกียจเย่ซิงเฉินจึงร้องตะโกนถามออกไป
“นี่..ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ!”
หลิงหยุนหันหน้าไปทางเย่ซิงเฉินพร้อมตอบกลับไปว่า“หลายวันมานี้ข้ายุ่งมากจริงๆ และตอนนี้ข้าก็เหนื่อยมากด้วย ขอข้าพักสักครู่ก่อนไม่ได้รึ”
หลิงหยุนได้ได้โกหก..เพราะตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาแยกกับเย่ซิงเฉินในคืนนั้น เขาก็ทำงานไม่ได้หยุดหย่อน และไม่ได้พักผ่อนเต็มอิ่มเลย อีกทั้งก่อนที่จะมาพบเย่ซิงเฉินนั้น เขาก็เพิ่งทำแหวนจักรวาลจากศิลากลั่นวิญญาณเสร็จ และใช้หยดเสินหยวนกลางหน้าผากไปมากกว่าสองร้อยหยด..
เย่ซิงเฉินสังเกตเห็นสีหน้าของหลิงหยุนซีดเซียวและดูเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด จึงร้องบอกด้วยความสงสารเห็นใจ “หลังจากที่เจ้าประลองกับตระกูลเฉินเสร็จสิ้นแล้วเจ้าควรหาเวลาพักผ่อนบ้าง!”
เย่ซิงเฉินให้หลิงหยุนไปนอนพักผ่อนบนเตียงและเมื่อเขาหลับไป นางก็จัดหาผ้าห่มบางๆ มาห่มให้ และคอยยืนอยู่ข้างเตียงปัดยุงให้กับเขาด้วย..
………..
หลิงหยุนหลับไปนานถึงห้าชั่วโมงและเมื่อตื่นมาอีกทีตอนตีห้าก็พบว่าเย่ซิงเฉินยังคงยืนอยู่ข้างเตียง..
“นี่ข้าหลับจนถึงเช้าเลยรึไว้คราวหน้าข้าจะยืนเฝ้าตอนเจ้าหลับบ้าง!”
เย่ซิงเฉินหน้าแดง..“เจ้าอย่าได้ฝันไป.. ใครจะให้เจ้ายืนเฝ้ากัน!”
หลังจากได้พักผ่อนเต็มอิ่มนานถึงห้าชั่วโมงหลิงหยุนจึงรู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างมาก เขาหันไปมองกองชุดผ้าแพรไหมดำพร้อมกับถามขึ้นว่า
“นี่คือชุดผ้าแพรไหมดำทั้งยี่สิบชุดที่เจ้าบอกข้าใช่หรือไม่”
“แต่ดูเหมือนชุดนี้เนื้อผ้าจะแตกต่างจากชุดอื่นๆมาก”
เย่ซิงเฉินมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“สายตาของเจ้าแหลมคมไม่เบาทีเดียว นี่เป็นชุดที่ทำจากราชาแพรไหมดำ ความแข็งแกร่งของผ้าจึงเหนือกว่าผ้าแพรไหมดำมากนัก เจ้าลองสวมดูว่าพอดีตัวหรือไม่”
หลังจากที่เห็นชุดของหลิงหยุนขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีจากการต่อสู้กับซือกงถูในครั้งนั้นเย่ซิงเฉินจึงกลับมาตัดเย็บชุดใหม่ให้กับเขาใหม่โดยไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน และผ้าที่ใช้ตัดเย็บก็เป็นราชาแพรไหมดำที่หาได้ยากยิ่ง..
หลิงหยุนคว้าเสื้อผ้าแพรไหมดำมาลองสวมและพบว่าสวมได้อย่างพอดิบพอดี..
นอกเหนือจากชุดของเขาแล้ว..หลิงหยุนก็ได้ขอให้เย่ซิงเฉินตัดเย็บชุดจากผ้าแพรไหมดำให้กับเหล่าแวมไพร์ทั้งห้าของตนด้วย เพราะหากสวมใส่ชุดที่ทำจากผ้าแพรไหมดำ จะได้ไม่เกิดปัญหาเสื้อผ้าฉีกขาดหลังจากกลายร่าง หนำซ้ำยังช่วยป้องกันอันตรายให้กับพวกมันได้ในระดับหนึ่ง
เย่ซิงเฉินยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยชื่นชม“เจ้าเป็นเจ้านายที่รู้จักคิดถึงลูกน้องมากทีเดียว..”
หลิงหยุนจึงตอบกลับไปว่า“ในเมื่อข้าเป็นเจ้านายของเหล่าแวมไพร์ ย่อมต้องคิดถึงความปลอดภัยของพวกเขาเป็นธรรมดา!”
เย่ซิงเฉินยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“แต่ผ้าแพรไหมดำของข้าเหลือไม่พอ คงต้องหาโอกาสไปห้องประมูลชาวยุทธเพื่อซื้อเพิ่มอีกสักแปด หรือสิบพับ!”
หลิงหยุนได้ยินถึงกับตกใจและรีบถามขึ้นทันที “ห้องประมูลชาวยุทธงั้นรึ นี่มีห้องประมูลเช่นนี้จริงๆงั้นรึ? ข้าคิดว่าผ้าแพรไหมดำนี่มีเฉพาะในพรรคมารเสียอีก!”
เย่ซิงเฉินกรอกตามองหลิงหยุนอย่างไม่อยากจะเชื่อพร้อมกับตอบไปว่า “ไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าเจ้าไม่รู้จักห้องประมูลชาวยุทธ!” “ผ้าแพรไหมดำนี่ไม่ได้มีเฉพาะในพรรคมารเท่านั้นชาวยุทธที่มีก็มักจะนำไปแลกกลับสิ่งอื่นๆที่จำเป็นซึ่งตนเองยังไม่มี..”
“ห้องประมูลชาวยุทธในสมัยโบราณกับยุคนี้แตกต่างกันมากในยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้อมูลข่าวสาร หรือว่าการขนส่ง ก็ล้วนแล้วแต่สะดวกสบายกว่าสมัยโบราณมาก ผู้คนที่มาห้องประมูลชาวยุทธก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ฝึกวรยุทธทั้งสิ้น..”
หลิงหยุนรีบถามออกมาด้วยความตื่นเต้น“แล้วห้องประมูลชาวยุทธนี่ซ่อนอยู่ที่ใดงั้นรึ”
เย่ซิงเฉินยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“มีอยู่เยอะแยะมากมาย! บางครั้งก็จัดขึ้นที่สำนักต่างๆบ้าง ที่ตระกูลเก่าแก่บ้าง หากผู้จัดการประมูลค่อนข้างเชี่ยวชาญ การประมูลก็จะใหญ่โต..”
“แต่ต่อให้ห้องประมูลชาวยุทธจะเล็กเพียงใดคนธรรมดาก็ไม่มีทางที่จะเข้าถึงได้! อย่างเช่นเจ้าเป็นต้น!” หลิงหยุนแสร้งทำเป็นไม่สนใจคำพูดประชดประชันของเย่ซิงเฉินและรีบถามต่อทันที “ที่ัปักกิ่งมีห้องประมูลชาวยุทธหรือไม่”
“ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงเป็นดินแดนแห่งจักรพรรดิ ย่อมต้องมีห้องประมูลชาวยุทธอยู่แล้ว..”
หลิงหยุนพยักหน้าและรีบถามต่อ“แล้วใครเป็นผู้จัดงั้นรึ”
เย่ซิงเฉินมองหลิงหยุนด้วยแววตาชื่นชมเพราะคำถามของเขานั้นแสดงถึงความเฉลียวฉลาดทีเดียว
“หน่วยนภาตระกูลหลง และตระกูลเย่..”
“แต่ห้องประมูลชาวยุทธของตระกูลเย่นับว่าลึกลับที่สุดและใหญ่ที่สุด ดูเหมือนจะเหนือกว่าห้องประมูลของตระกูลหลงด้วยซ้ำไป!”
หลิงหยุนนั่งฟังด้วยความตื่นเต้นเพราะในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้นก็มีห้องประมูลในลักษณะนี้เช่นกัน เขาจึงเข้าใจได้ดีว่า.. ผู้ที่มีความสามารถในการเปิดห้องประมูลเช่นนี้ได้ ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจอิทธิพลสูงมากทีเดียว!
นั่นเพราะในการจัดประมูลขึ้นนั้น..ผู้ดำเนินการจะต้องดูแลทั้งผู้เสนอซื้อ และผู้เสนอขาย ให้ผู้ซื้อชำระเงิน และให้ผู้ขายส่งมอบของ อีกทั้งยังต้องเก็บข้อมูลของทั้งสองฝ่ายไว้เป็นความลับ นอกจากนั้นยังต้องรับผิดชอบดูแลความปลอดภัยของผู้ซื้อ ผู้ขาย และความปลอดภัยในการขนส่งสินค้าอีกด้วย
ผู้ที่จะจัดการประมูลชาวยุทธได้จะต้องมั่นใจว่าตนเองจะสามารถรับผิดชอบดูแลในสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นได้ ไม่เช่นนั้นแล้วหากเกิดปัญหาขึ้น ก็คงจะไม่สามารถจัดได้อีกอย่างแน่นอน!
‘ห้องประมูลของตระกูลเย่นับว่าลึกลับที่สุดและใหญ่ที่สุด – หมายความเช่นใดกันนะ’
‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้..ตระกูลเย่จะต้องกุมข้อมูลความลับต่างๆไว้อย่างมากมายทีเดียว!’ ระหว่างที่หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่นั้นจู่ๆ เย่ซิงเฉินก็พูดขึ้นมาว่า..
“หากข้าเดาไม่ผิด..ห้องประมูลตระกูลเย่จะต้องมีสิ่งที่ผู้ฝึกบ่มเพาะตนเช่นเจ้าต้องการได้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร