“พี่ใหญ่..เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ!”
หนิงหลิงยู่ยังคงยืนเอามือไขว้หลังเช่นเดิมและกำลังจ้องมองกลุ่มหมอกสีม่วง และสีทองที่จู่ๆ ก็หายวับไป จึงอดที่จะร้องถามหลิงหยุนที่เพิ่งเหาะเข้ามาหาไม่ได้..
หลิงหยุนนึกประหลาดใจไม่น้อยเมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่พู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ และสมุดจักรพรรดิแห่งผืนพิภพร่วมมือกันฉกฉวยทรัพยากรของสวรรค์ไปเมื่อครู่นั้น แม้แต่จิตหยั่งรู้ของหนิงหลิงยู่ก็ยังไม่อาจตรวจพบได้ จึงได้แต่พึมพำอยู่ในใจ
‘นี่แม้แต่จิตหยั่งรู้ของหนิงหลิงยู่ก็ถูกบดบังไว้ได้อย่างนั้นรึ!’
แต่หลิงหยุนกลับไม่ตอบคำถามของหนิงหลิงยู่และรีบร้องบอกไปว่า “หลิงยู่.. ทัณฑ์สวรรค์เมื่อครู่นี้ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนขึ้นไม่น้อยทีเดียว น่าจะมีผู้คนได้ยินบ้างแล้วเป็นแน่ ข้าว่าไม่เหมาะที่เราจะอยู่ตรงนี้ต่อไปนานนักพวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า..”
จากนั้นหลิงหยุนก็ได้บินนำหนิงหลิงยู่ออกไปทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือทางด้านหนิงหลิงยู่เห็นเช่นนั้นก็รีบเหาะตามหลิงหยุนออกไปทันทีเช่นกัน และความเร็วของนางนั้นก็ไม่ได้ช้าไปกว่าหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย..
…..
และก็เป็นดังเช่นหลิงหยุนคาดคิดจริงๆทันทีที่สองพี่น้องเหาะออกจากอ่างเก็บน้ำมี่หยุนไป ก็มียอดฝีมือออกจากตัวเมืองปักกิ่งมุ่งหน้ามาที่นี่ทันที..
พรึบ..พรึบ.. พรึบ.. พรึบ..
ยอดฝีมือทั้งสี่คนเหาะมาถึงสถานที่ซึ่งหนิงหลิงยู่รับทัณฑ์สวรรค์เกือบจะพร้อมกันและเมื่อมาถึงก็ไม่ได้เหาะลงไปด้านล่าง แต่ยังคงลอยตัวอยู่กลางอากาศเช่นนั้น ต่างคนต่างก็จ้องมองไปยังพื้นดินเบื้องล่างด้วยความนิ่งเงียบ.. เย่ชิงเฟิงที่ยืนเอามือไขว้หลังอยู่กลางอากาศอย่างสงบนิ่งนั้นหลังจากที่สำรวจดูเหตุการณ์เบื้องล่างอย่างละเอียดแล้ว ในที่สุดก็เอ่ยปากถามคนผู้หนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไป..
“ไม่ทราบว่าท่านผู้นำตระกูลหลงคิดเห็นเช่นใดรึ!”
ทันทีที่หลงฮ่าวหลานผู้นำตระกูลหลงรู้ว่าทัณฑ์สวรรค์ได้ปรากฏขึ้นเขาก็รีบรุดมายังที่เกิดเหตุทันที แต่คิดไม่ถึงว่าตนเองจะมาช้าไปหนึ่งก้าว จึงได้แต่หงุดหงิดใจ และตอบเย่ชิงเฟิงไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
“หึ!เย่ชิงเฟิง.. ท่านเองก็เห็นเช่นเดียวกับที่ข้าเห็นไม่ใช่รึ! เหตุใดยังต้องถามความคิดเห็นจากข้าด้วยเล่า?”
ใครบางหัวเราะออกมาพร้อมกับรำพึงรำพันอย่างนึกเสียดายและยอดฝีมือผู้นี้ก็คือหัวหน้าอาวุโสแห่งหน่วยนภา – โจวเหวินอี้นั่นเอง!
“ฮ่า..ฮ่า.. ที่แท้ก็มีใครบางคนรับทัณฑ์สวรรค์หรอกรึ ดูเหมือนครั้งนี้จะทำให้พวกเราทั้งสี่คนตื่นตัวไม่น้อยทีเดียว แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเราต่างก็มาช้าไปหนึ่งก้าว..”
ยอดฝีมือคนสุดท้ายร้องคำรามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังก้องราวกับระฆังและบ่งบอกว่าตนนั้นหงุดหงิด และไม่พอใจกับการกระทำของคนผู้นี้มาก..
“คนผู้นี้เป็นใครกันนะ!เหตุใดจึงกล้ารับทัณฑ์สวรรค์ในบริเวณที่ใกล้กับตัวเมืองปักกิ่งเช่นนี้? ไม่เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นบ้างหรืออย่างไร? ช่างบังอาจนัก..”
โจวเหวินอี้ได้ยินเช่นนั้นจึงพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี..
“ท่านจ้าว..ท่านอย่าได้โมโหโทโสไปนัก มีคนสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จอีกหนึ่งคน ย่อมหมายความว่ามีผู้ผ่านเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่เพิ่มอีกหนึ่งคนแล้ว เท่ากับว่าประเทศของเราจะมียอดฝีมือที่มาช่วยงานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน นี่ควรเป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่รึ”
“เป็นเรื่องที่น่ายินดีงั้นรึ!” จู่ๆหลงฮ่าวหลานก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ เขาเหลือบมองโจวเหวินอี้และคนอื่นๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา..
“ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น!”
เวลานี้หลงฮ่าวหลานได้รู้เรื่องที่โจวเหวินอี้ไปบ้านตระกูลหลิงและกลับมามือเปล่าแล้ว เขารู้ว่าโจวเหวินอี้ไม่เพียงไม่ได้ลงมือจัดการกับตระกูลหลิงอย่างที่เขาต้องการ แต่ดูเหมือนไม่คิดที่จะจัดการอะไรกับตระกูลหลิงด้วยซ้ำไป..
สีหน้าของหลงฮ่าวหลานบ่งบอกชัดเจนว่าเขากำลังไม่พอใจ และไม่สบายใจกับการกระทำของโจวเหวินอี้อย่างมาก แต่โจวเหวินอี้กลับเอาแต่ยิ้มไม่ตอบโต้ และแสร้งทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร..
“หรือจะเป็นเจ้าเด็กนั่น!แต่ก็ไม่น่าจะก้าวหน้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้?”
เย่ชิงเฟิงพูดลอยๆขึ้นมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการให้ทุกคนพากันเบี่ยงประเด็น จึงรีบเปรยขึ้นเพื่อให้ทั้งสามคนกลับมาช่วยกันคิดเรื่องผู้รับทัณฑ์สวรรค์ต่อ..
ยอดฝีมือทั้งสามคนได้ฟังต่างก็นิ่งเงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว..
มีเพียงหลงฮ่าวหลานเท่านั้นที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดและทำเสียงฮึดฮัดออกมาด้วยความไม่พอใจ เพราะเขาย่อมรู้ดีว่า ‘เด็กนั่น’ ที่เย่ชิงเฟิงพูดถึงนั้นจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากหลิงหยุน และหลิงหยุนเองก็เพิ่งจะดูดซับเอาปราณมังกรภายในพระราชวังต้องห้ามเข้าไปจนหมดเมื่อวันก่อน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จู่ๆ หลิงหยุนจะสามารถเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้!
โจวเหวินอี้ยังคงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาแม้เมื่อตอนกลางวันที่ได้เผชิญหน้ากันนั้น เขาจะไม่ได้เห็นขั้นกำลังภายในของหลิงหยุนก็ตาม แต่เท่าที่เขาสังเกตเห็นนั้น หลิงหยุนยังไม่น่าจะเข้าสู่การรับทัณฑ์สวรรค์ได้ เขาจึงมั่นใจว่าต้องไม่ใช่หลิงหยุนอย่างแน่นอน!
‘หากไม่ใช่หลิงหยุนแล้ว..จะเป็นผู้ใดกันนะ! หรือว่า..’ โจวเหวินอี้ครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆและจู่ๆ เมื่อนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้ ดวงตาของเขาเป็นประกายวูบวาบขึ้นมาทันที แต่ก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดออกไป..
“เอาล่ะ..ข้าไม่สนใจว่าจะเป็นผู้ใด!”
จ้าวซิงหวู่พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังและมั่นใจว่ายอดฝีมือที่เหลือทั้งสามคนจะได้ยินอย่างชัดเจน แล้วจึงพูดต่อว่า
“ในวันข้างหน้า..หากมีผู้เข้ารับทัณฑ์สวรรค์เกิดขึ้น หวังว่าพวกท่านทั้งสามจะระมัดระวังไม่ให้เกิดในบริเวณใกล้เมืองปักกิ่งเช่นนี้อีก!”
“ข้าไปก่อนล่ะ!”
สิ้นน้ำเสียงที่เย็นชาของจ้าวซิงหวู่..ร่างของเขาก็หันหลังกลับ และเพียงแค่พริบตาเดียวก็เหาะออกไปได้ในระยะทางที่ไกลมาก จนเห็นร่างของเขาเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด ก่อนจะหายลับตาไปในที่สุด “คิดไม่ถึงว่าหลายปีไม่ได้พบเจอท่านจ้าวแห่งหน่วยมังกรแต่ดูเหมือนจะยังเจ้าอารมณ์เหมือนเช่นเคย..”
เย่ชิงเฟิงเห็นจ้าวซิงหวู่หุนหันออกไปเช่นนั้นจึงได้แต่เปรยขึ้นมาเบาๆ
“ฮ่า..ฮ่า.. คนใหญ่คนโตของหน่วยมังกรก็มักจะเป็นเช่นนี้ไม่ใช่รึ!”
โจวเหวินอี้หัวเราะออกมาจากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. ในเมื่อไม่มีอะไรร้ายแรง พวกท่านผู้นำของสองตระกูลก็สนทนากันต่อไปเถิด ส่วนข้าต้องขอตัวกลับเช่นกัน!”
หลังจากที่พูดออกไปแล้วโจวเหวินอี้ก็หันหลัง และเตรียมตัวที่จะเหาะกลับไปเช่นกัน แต่จู่ๆ หลงฮ่าวหลานก็เหาะไปขวางหน้าโจวเหวินอี้ไว้ พร้อมกับพูดขึ้่นว่า
“ท่านโจว..จะรีบกลับไปไหนกัน อยู่ต่ออีกหน่อยสิ ข้ายังมีเรื่องต้องคุยกับท่าน!
โจวเหวินอี้ได้แต่แอบถอนหายใจแต่สีหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา โจวหวินอี้ยิ้มให้กับหลงฮ่าวหลานแล้วจึงถามขึ้นว่า..
“อ่อ..ไม่ทราบท่านผู้นำตระกูลหลงมีเรื่องใดอยากจะพูดกับข้างั้นรึ!”
หลงฮ่าวหลานเหาะไปขวางหน้าโจวเหวินอี้ไว้เพื่อต้องการเจรจาด้วยแต่ภายใต้จิตหยั่งรู้ของเขานั้นกลับพบว่าเย่ชิงเฟิงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน และกำลังแสร้งมองสำรวจไปรอบๆ ดูเหมือนจะยังไม่ยอมหลีกหนีไปแน่..
หลงฮ่าวหลานเห็นท่าทีเช่นนั้นของเย่ชิงเฟิงก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจ และคิดที่จะเชิญโจวเหวินอี้ไปพูดคุยกันที่อื่น แต่เมื่อคิดได้ว่าตระกูลเย่เองก็มีคนทำงานในหน่วยนภาเช่นกัน เรื่องนี้คงยากที่จะรอดพ้นหูตาของตระกูลเย่ไปได้ จึงหันไปยิ้มให้กับโจวเหวินอี้ ก่อนจะถามออกไปว่า
“ท่านโจว..ข้าได้ยินมาว่าท่านไปเยี่ยมเยียนตระกูลหลิงมาด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าผลเป็นเช่นใดงั้นรึ!” เย่ชิงเฟิงที่ยืนอยู่ไกลออกไปนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของหลงฮ่าวหลานก็ถึงกับหูผึ่งขึ้นมาทันที..
“โอ้..คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่ข้าไปเยี่ยมเยียนตระกูลหลิงจะเป็นเรื่องใหญ่โต ทำให้ท่านผู้นำตระกูลหลงต้องสนใจ และเป็นห่วงเป็นใยถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
โจวเหวินอี้ถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังและพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร “ในการประลองระหว่างตระกูลหลิง กับตระกูลซัน และตระกูลเฉินนั้น มียอดฝีมือจากหน่วยนภาไปช่วยตระกูลซันกับตระกูลเฉินทั้งหมดห้าคน ผลปรากฏว่ายอดฝีมือสี่คนเสียชีวิต ส่วนอีกหนึ่งคนได้รับบาดเจ็บ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บก็คือตี๋ยั่วถังแห่งสำนักกระบี่เทียนซาน และเวลานี้เขาก็ถูกจับตัวไว้ที่ตระกูลหลิง!”
โจวเหวินอี้ไม่คิดที่จะปิดบังและได้บอกเล่าความจริงทั้งหมดให้กับหลงฮ่าวหลานฟัง ก่อนจะพูดต่อว่า..
“ทันทีที่หน่วยนภาได้รับรายงานเรื่องนี้ข้าในฐานะหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา จึงต้องเดินทางไปตระกูลหลิงด้วยตัวเอง แต่หลังจากที่ไปสอบถามความจริงแล้ว คนตระกูลหลิงกลับตอบข้ามาว่า.. เรื่องของตี๋ยั่วถังนั้นตระกูลหลิงย่อมมีวิธีจัดการในแบบของตน!”
“หลังจากที่พิจารณาดูแล้วข้าเห็นว่าเรื่องนี้ใช่ว่าจะสามารถยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ง่ายๆ ข้าจึงได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจ..”
โจวเหวินอี้ชิงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลงฮ่าวหลานฟังก่อนและสรุปการตัดสินใจของตนให้ฟังด้วย..
“อะไรนะ!”
หลงฮ่าวหลานถึงกับร้องอุทานออกมาเสียงดังหลังจากที่ได้ฟังคำพูดตรงไปตรงมาของโจวเหวินอี้จากนั้นจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ท่านโจว..นี่ท่านไม่คิดที่จะจัดการกับเรื่องนี้จริงๆงั้นรึ! คนของหน่วยนภาตายไปถึงสี่คน ได้รับบาดเจ็บอีกหนึ่งคน ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้กับหน่วยนภามาก่อนเลย นี่ท่านจะปล่อยเรื่องนี้ไปโดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นรึ?!”
“นี่เป็นเรื่องภายในหน่วยนภาของข้า..หน่วยนภาจะคิดอ่านเช่นใด หรือตัดสินใจเช่นใด ข้าเชื่อว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ตระกูลหลงจะต้องเป็นกังวลถึงเพียงนี้ไม่ใช่รึ”
หลงฮ่าวหลานถึงกับกระวนกระวายใจขึ้นมาทันทีเมื่อถูกโจวเหวินอี้จับได้ จึงได้แต่พูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เอาล่ะ..ในเมื่อผู้นำตระกูลเย่ก็อยู่ที่นี่ด้วยแล้ว และพวกเราสามคนก็ได้มาพบกันโดยบังเอิญเช่นนี้ พวกเราควรมาเจรจาเรื่องของปักกิ่งว่าควรจะเป็นเช่นใดต่อจากนี้จะดีกว่า..”
“นับว่าไม่เป็นการยุติธรรมกับตระกูลซันและตระกูลเฉินที่ถูกทำลายเช่นนี้ตระกูลหลิงกำลังฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ และกำลังผาดขึ้นมาเทียบเคียง จนเวลานี้ในปักกิ่งได้มีสามตระกูลใหญ่ขึ้นมาคานอำนาจกันเช่นนี้ คิดว่าผู้นำตระกูลเย่ก็คงเห็นชัดแล้วเช่นกัน”
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลงฮ่าวหลานเย่ชิงเฟิงก็เพียงแค่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร..
“หน่วยนภามีหน้าที่ปกป้องความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศเท่านั้น ทั้งท่านแล้วก็ข้าต่างก็รู้กันดีว่าเมื่อมีภารกิจของประเทศ แต่ละคนต่างก็ทำหน้าที่ของตน ส่วนเรื่องราวความบาดหมาง หรือความแค้นของแต่ละคนนั้น หน่วยนภาไม่เคยยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ท่านเองก็รู้ดีไม่ใช่รึ”
“ท่านหลิงเองก็ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการสกัดกั้นข้าไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว..”
“ท่านหลง..ท่านตอบข้าทีว่าหากท่านเป็นข้า ท่านจะทำเช่นใด!”
“หรือตระกูลหลงต้องการเห็นหน่วยนภากับตระกูลหลิงเข่นฆ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตายเพียงเพื่อตี๋ยั่วถังแห่งสำนักกระบี่เทียนซานเพียงผู้เดียว ท่านคิดว่าการกระทำเช่นนี้เหมาะสมแล้วรึ” โจวเหวินอี้อธิบายให้หลงฮ่าวหลานฟังพร้อมกับจ้องมองเขาไม่วางตา.. ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของโจวเหวินอี้นั้นจริงจังยิ่งนัก
แม้ตระกูลหลงจะแข็งแกร่งและหยั่งรากลึกมานาน แต่โจวเหวินอี้ซึ่งเป็นถึงหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา ก็ไม่ได้มีฐานะด้อยไปกว่าหลงฮ่าวหลานเลย!
“เอ่อ..ท่านโจวพูดเช่นนี้..”
หลงฮ่าวหลานถึงกับนิ่งอึ้งและพูดอะไรไม่ถูกหลังจากที่ได้ฟังคำพูดตรงไปตรงมาของโจวเหวินอี้เช่นนี้ จึงได้แต่ตอบไปว่า
“แต่..พวกเราไม่ควรปล่อยให้หลิงหยุนซึ่งเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งกระทำเรื่องเช่นนี้ได้! หากไม่จัดการกับเขาตอนนี้ และปล่อยให้เขาทำเช่นนี้ต่อไป ในวันข้างหน้าประเทศจีนจะต้องมีแต่การนองเลือด..”
“ท่านหลง..คำพูดเหล่านี้ไม่ควรจะพูดออกมา ท่านฟังข้าก่อน..”
โจวเหวินอี้รีบยกมือขึ้นโบกไปมาเพื่อเป็นการห้ามปรามหลงฮ่าวหลานและพูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“หน่วยนภาของเราก่อตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อปกป้องประเทศหรือปฏิบัติภารกิจสำคัญๆของประเทศเท่านั้น..”
“เรื่องราวบาดหมางของชาวยุทธภพตระกูลต่างๆ หรือแม้แต่บรรดาผู้บ่มเพาะตนนั้น ตั้งแต่อดีตกาลมาก็ล้วนแล้วแต่มีสาเหตุมาจากการแก่งแย่งอำนาจ ต้องขอภัยที่ข้าไม่สามารถดึงหน่วยนภาให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้จริงๆ..”
โจวเหวินอี้ได้ของกำนัลอย่างแหวนพื้นที่มาจากหลิงหยุนเช่นนี้แน่นอนว่าจิตใจของเขาย่อมเอนเอียงเข้าข้างตระกูลหลิงเป็นธรรมดา..
“สิ่งที่ข้าพูดมาทั้งหมดนั้นผู้นำตระกูลหลง.. ท่านลองใคร่ครวญดูว่าถูกต้องหรือไม่”
หลังจากที่อธิบายเหตุผลทั้งหมดให้หลงฮ่าวหลานฟังโจวเหวินอี้จึงได้เอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม.. “เรื่องนั้น..”
“นี่หมายความว่า..ในวันข้างหน้าหากจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น หน่วยนภาก็จะไม่สนใจอย่าางนั้นรึ”
โจวเหวินอี้ส่ายหน้า“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!”
“ตราบใดที่เรื่องนั้นสั่นคลอนถึงความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศ หน่วยนภาย่อมต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่ เพราะนี่คือวัตถุประสงค์ของหน่วยนภา!”
“แต่อย่างไรก็ตาม..หน่วยนภาไม่ใช่ของข้าโจวเหวินอี้แต่เพียงผู้เดียว และหลังจากที่กลับตระกูลหลิง ข้าก็ได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้อาวุโสอีกสองท่านอย่างหลี่เจิ้งเฟิงและเฉียวเปียวฟังเช่นกัน”
“หลังจากฟังข้าเล่าจนจบ..อาวุโสทั้งสองก็ได้บอกว่า.. หากข้าไม่คิดที่จะจัดการ พวกเขาทั้งคู่จะเป็นคนไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทั้งสองคนบอกไว้ว่า.. อย่างน้องพวกเขาก็ต้องให้บทเรียนกับตระกูลหลิงเพื่อกู้หน้าของหน่วยนภา..”
“เฮ้อ..ไม่ว่าข้าจะห้ามปรามอย่างไร พวกเขาก็ไม่ฟัง และดูเหมือนทั้งคู่ก็ได้พาคนเดินทางไปบ้านตระกูลหลิงแล้ว!”
โจวเหวินอี้รู้ดีว่าทั้งหลี่เจิ้งเฟิงและเฉียวเปียว ต่างก็ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหลง พวกเขาจึงยินดีที่จะทำเพื่อตระกูลหลงเช่นนี้!
“อย่างนั้นรึ!หากเป็นเช่นนี้ คาดว่าตระกูลหลิงคงจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแล้วสินะ!”
ในที่สุดหลงฮ่าวหลานก็ยิ้มออกมาได้และได้แต่คิดในใจว่า ‘หึ.. จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์.. คิดว่าเจ้าไม่ลงมือจัดการกับตระกูลหลิง แล้วตระกูลหลงของข้าจะไม่มีวิธีจัดการงั้นรึ’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร