‘หลงฮ่าวหลาน..เย่ชิงเฟิง.. โจวเหวินอี้ แล้วก็จ้าวซิงหวู่งั้นรึ!’
เวลานี้..หลิงหยุนซึ่งแอบอยู่บนเขาทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือลูกหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากอ่างเก็บน้ำมี่หยุนไปราวสามกิโลเมตร และกำลังหลบอยู่ด้านหลังหินก้อนใหญ่ข้างหนิงหลิงยู่ ได้แต่พึมพำเรียกชื่อของคนทั้งสี่อยู่ในใจ..
ในเวลานั้น..หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงพลังอมตะสีม่วงที่อัดแน่นอยู่เต็มร่าง และเริ่มรู้สึกว่าภายในร่างกายของตนนั้นกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง และดูเหมือนใกล้จะเข้าสู่ขั้นต่อไปอย่างมากแล้ว เพราะเวลานี้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนนอกจากจะกระจ่างชัดยิ่งกว่าเดิมแล้ว รัศมีของจิตหยั่งรู้ยังขยายออกไปไกลถึง 3,600 เมตรด้วย
และเวลานี้เขาก็กำลังสังเกตดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ.. หลิงหยุนรู้ตัวว่าไม่สามารถหนีไปได้ไกลกว่านั้นจึงรีบพาหนิงหลิงยู่เหาะลงไปบนเขาซึ่งอยู่ห่างจากยอดฝีมือทั้งสี่คนไปราวสามพันเมตร และเลือกที่จะใช้วิชาเคลื่อนย้ายธาตุปิดบังตนเองจากจิตหยั่งรู้ของปรมาจารย์ทั้งสี่คน
ในที่สุดการรับทัณฑ์สวรรค์ของหนิงหลิงยู่ก็ได้กระตุ้นความตื่นตัวของเหล่ายอดฝีมือระดับประเทศทั้งสี่คนได้..
อสุนีบาตที่เกิดขึ้นเต็มท้องฟ้าเมื่อครู่นั้นหากคนธรรมดาทั่วไปพบเห็นเข้า ก็คงเข้าใจว่าเป็นปรากฏการณ์ฟ้าร้องฟ้าผ่าตามธรรมชาติ แต่หากเป็นผู้ที่เคยผ่านการรับทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วมาแล้ว ย่อมต้องจดจดได้ทันทีที่เห็น เพราะสภาพอสุนีบาต และสภาพท้องฟ้าเช่นนี้คือการบ่งบอกว่ามีผู้กำลังรับทัณฑ์สวรรค์เกิดขึ้น..
และหากเป็นหลิงหยุนที่พบว่ามีอสุนีบาตผิดปกติเช่นนี้เกิดขึ้นเขาก็ย่อมรู้ได้เช่นกันว่ามีผู้กำลังรับทัณฑ์สวรรค์อยู่ ตัวเขาก็คงต้องรีบรุดออกมาดูให้เห็นเช่นกันว่าเป็นผู้ใด
เช่นเดียวกับยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ทั้งสี่แห่งปักกิ่งที่ต้องรีบรุดมาดูทีเกิดเหตุด้วยตัวเอง และเวลานี้ทั้งสี่คนก็อยู่ในขอบข่ายจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนแล้ว
‘จ้าวซิงหวู่แห่งหน่วยนภา..อย่างน้อยก็ต้องเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าขั้นใดแน่!’
“ผู้นำตระกูลเย่– เย่ชิงเฟิงงั้นรึ! หึ.. ตระกูลเย่ก็ยังคงเป็นตระกูลเย่ ตั้งแต่เริ่มจนจบเหตุการณ์ ก็ยังไม่เอ่ยคำพูดใดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตระกูลเย่เลยแม้แต่คำเดียว..”
‘โจวเหวินอี้นับว่าใช้ได้ทีเดียว!แม้ไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยตระกูลหลิงได้อย่างไร แต่คำพูดคำจาก็ไม่ไว้หน้าหลงฮ่าวหลานเช่นกัน ถึงกับยืนกรานว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตี๋ยั่วถังเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่ข้ายอมมอบแหวนพื้นที่ให้..’
‘หลงฮ่าวหลาน..เจ้าโอหังเกินไปแล้ว! ถึงกับกล้ายืมมืออาวุโสของหน่วยนภาลงมือกับตระกูลหลิงของข้าก่อน!’
ไม่รู้ว่าโจวเหวินอี้จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่ ที่ได้เปิดเผยว่าเวลานี้หลี่เจิ้งเฟิงกับเฉียวเปียว กำลังพาคนบุกไปที่บ้านตระกูลหลิง!
แต่ถึงแม้จะรู้เรื่องแล้ว..หลิงหยุนก็ยังไม่รีบร้อนที่จะกลับไปตระกูลหลิงในเวลานี้ เพราะหากเขาเคลื่อนไหว จิตหยั่งรู้ของเหล่ายอดฝีมือทั้งสามย่อมต้องพบเห็นเข้า และคงยากที่หลิงหยุนจะหลีกเลี่ยงการประมือกับหลงฮ่าวหลานได้เป็นแน่..
แต่หลิงหยุนก็ไม่ได้รู้สึกกระวนกระวายใจหรือว่าร้อนใจมากไปนัก เพราะเวลานี้ในตระกูลหลิงมีทั้งหลิงลี่ หลิงเสี่ยว และจินเหยียวซึ่งอยู่ในขั้นพลังเหนือธรรมชาติถึงสามคน อีกทั้งภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงยังมีค่ายกลสังหาร ต่อให้หลี่เจิ้งเฟิงกับเฉียวเปียวพาคนบุกไป ก็คงต้องใช้เวลาในการทำลายค่ายกลระยะหนึ่ง..
อีกทั้งหลี่เจิ้งเฟิงกับเฉียวเปียวต่างก็เป็นอาวุโสในหน่วยนภาย่อมไม่ลงมือทันทีหากเจรจาไม่ถึงที่สุด!
ระหว่างที่หลิงหยุนกำลังครุ่นคิดอยู่เงียบๆนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของโจวเหวินอี้พูดขึ้นว่า “เอาล่ะท่านผู้นำตระกูลทั้งสอง.. ข้าคงต้องไปแล้ว เพราะคืนนี้ยังมีภารกิจที่ต้องทำอีกหลายอย่าง!”
“ข้าขอตัวก่อน!”
พูดจบ..โจวเหวินอี้ก็หันหลังกลับ และเหาะหนีไปอย่างรวดเร็วทันที!
ครั้งนี้หลงฮ่าวหลานไม่คิดที่จะห้ามไว้และหลังจากที่โจวเหวินอี้ไปแล้ว หลงฮ่าวหลานจึงหันไปทางเย่ชิงเฟิงที่เอาแต่นิ่งเงียบ พร้อมกับถามขึ้นว่า
“เย่ชิงเฟิง..เจ้านิ่งฟังมาตั้งนาน ไม่ทราบว่ามีความคิดเห็นในเรื่องนี้เช่นใด”
“เวลานี้ตระกูลหลิงไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว..ท่านเองก็ย่อมรู้ดี..”
หลังจากที่ตอบหลงฮ่าวหลานกลับไปหนึ่งประโยคเย่ซิงเฉินก็เหาะหนีหายไปทันทีเช่นกัน..
“หึ..เจ้าจิ้งจอกเฒ่า! ตระกูลหลิงต้องการที่จะผงาดขึ้นมาเช่นนี้ ถึงกับสร้างศัตรูไว้มากมาย ตระกูลเย่ของเจ้าคิดจะนิ่งเฉยไม่ยุ่งเกี่ยวเหมือนก่อน ก็คงจะเป็นไปได้ยากแล้ว!”
หลงฮ่าวหลานเห็นเย่ชิงเฟิงพูดเพียงสั้นๆแล้วหนีหายไปเช่นนั้น จึงได้แต่ร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน หลังจากหันไปสำรวจรอบตัวแล้ว จึงรีบเหาะหนีหายไปเช่นกัน..
……
“หลิงยู่..รีบกลับบ้านกันดีกว่า!”
หลังจากที่มั่นใจว่ายอดฝีมือทั้งสามคนกลับไปแน่แล้วหลิงหยุนที่ยืนนิ่งอยู่ก็รีบหันไปบอกหนิงหลิงยู่ที่ยืนอยู่ข้างๆทันทีเช่นกัน
เวลานี้หนิงหลิงยู่เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซื่อเฉิงชี่แล้วจิตหยั่งรู้ของนางจึงมีรัศมีครอบคลุมเกือบจะห้ากิโลเมตร แต่เพราะนางไม่มีวิชาเคลื่อนยายธาตุเหมือนเช่นหลิงหยุน หลิงหยุนจึงไม่ให้นางเปิดจิตหยั่งรู้ออกเพราะเกรงว่าจะถูกจับได้ นางจึงไม่ได้ยินบทสนทนาของยอดฝีมือเหล่านั้น
เวลานี้ทั้งสองพี่น้องต่างก็เหาะออกไปท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดเช่นนี้มีหรือที่ทั้งคู่จะเดินด้วยขาในเมื่อสามารถเหาะไปกลางอากาศได้ ทั้งสองคนเหาะไปกลางอากาศมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์ตระกูลหลิง ท่ามกลางเสียงลมพัดหวีดหวิว..
เวลานี้หลิงหยุนมั่นใจแล้วว่า..ทั้งตระกูลหลง ตระกูลเย่ หน่วยนภา และหน่วยมังกร ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือที่สูงส่ง เขาจึงต้องระมัดระวังตัวให้มาก..
“พี่ใหญ่..พี่ยังไม่ได้เล่าให้ข้าฟังเลยว่า หลังจากที่ข้ารับทัณฑ์สวรรค์เสร็จสิ้นแล้ว เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นกันแน่!”
ระหว่างที่เหาะอยู่กลางอากาศเหนือพื้นดินไปราวสิบกิโลเมตรหนิงหลิงยู่ซึ่งอยู่ข้างๆ ก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น.. “อ่อ..ก็แค่ขโมยรางวัลจากสวรรค์เล็กๆน้อยๆ ไม่มีอะไรมาก..”
ในขณะที่หลิงหยุนกำลังจะเอ่ยปากเล่าความจริงให้กับหนิงหลิงยู่ฟังนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอยู่กลางจุดซือไห่ของเขา..
“พ่อหนุ่ม..สิ่งที่พวกเราทั้งหมดทำลงไปเมื่อครู่ อย่าได้เล่าให้นางฟังโดยเด็ดขาด!”
“อาวุโส..เหตุใดข้าจึงเล่าให้นางฟังไม่ได้”
หลิงหยุนไม่เข้าใจเพราะหนิงหลิงยู่นั้นนับเป็นคนที่หลิงหยุนสามารถเชื่อใจได้อย่างที่สุด และเขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะปิดบังอะไรหนิงหลิงยู่เลย..
“กายอัปสรเป็นสิ่งพิเศษ..แต่ไหนแต่ไรมาตั้งแต่อดีตกาล ข้าก็ไม่เคยพบเห็นผู้ผ่านทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วคนใด จะได้รางวัลมากมายเช่นนี้มาก่อน!”
จากนั้นเสียงของดวงจิตในพู่กันจักรพรรดิแห่งมวลมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย“หากข้าเดาไม่ผิด บางสิ่งที่เคยถูกปิดผนึกไว้ในร่างของสาวน้อยผู้นี้ ได้ถูกทัณฑ์สวรรค์เปิดออกแล้ว..”
“บางสิ่งที่เคยถูกผนึกไว้งั้นรึ!”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับตกใจและรีบหันไปสำรวจหนิงหลิงยู่ที่อยู่ข้างๆอย่างละเอียดทันที และพบว่าเวลานี้หนิงหลิงยู่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนจริงๆ หลิงหยุนถึงกับตกตะลึงเมื่อพบว่าจิตหยั่งรู้ของตนไม่สามารถมองทะลุร่างของหนิงหลิงยู่ได้อีก..
“พี่ใหญ่..มีอะไรงั้นรึ!”
หนิงหลิงยู่สังเกตเห็นสีหน้าและแววตาที่เปลี่ยนไปของหลิงหยุน จึงได้ร้องถามออกไปด้วยความสงสัย
“เอ่อ..ไม่มีอะไรนี่!”
หลิงหยุนรีบถอนสายตากลับพร้อมกับฝืนยิ้มออกมาจากนั้นจึงถามหนิงหลิงยู่ไปว่า””
“หลิงยู่..ระหว่างที่เจ้ารับทัณฑ์สวรรค์ ข้าไม่เห็นเจ้ากลืนโอสถที่ข้าให้ และไม่แม้แต่จะใช้ยันต์เกราะป้องกันตัว”
“แต่เจ้ากลับสามารถผ่านคลื่นอสุนีบาตทั้งสี่ชุดมาได้อย่างปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งอสุนีบาตเส้นสุดท้าย แม้แต่ข้าหากถูกสายฟ้าเส้นนั้นฟาดเข้า ก็คงต้องได้รับบาดเจ็บเช่นกัน..”
“แต่เหตุใดเจ้าจึงไม่ได้รับอันตรายเลยแม้แต่น้อย!”
หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าของดวงจิตในพู่กันจักรพรรดิหลิงหยุนก็เริ่มนึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับหนิงหลิงยู่ในระหว่างที่รับทัณฑ์สวรรค์ และได้แต่นึกประหลาดใจที่คลื่นอสุนีบาตทั้งสี่ชุดนั้น แม้จะฟาดเข้าใส่ร่างของหนิงหลิงยู่อย่างรุนแรงทุกครั้ง แต่กลับไม่สามารถทำอันตรายหนิงหลิงยู่ได้เลยแม้แต่น้อย ตามร่างกายของนางนั้นไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจนเกินไป!
“พี่ใหญ่..ระหว่างที่ข้ากำลังรับคลื่นอสุนีบาตลูกที่สามนั้น ข้ารู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างในร่างกายคล้ายถูกเปิดออก..”
“หลังจากนั้น..ร่างกายของข้าก็มีพลังอมตะที่ทรงพลังอยู่เต็มไปหมด ด้วยเหตุนี้คลื่นอสุนีบาตลูกที่สี่จึงทำอันตรายข้าไม่ได้!”
หนิงหลิงยู่ตอบหลิงหยุนไปตามความจริงและแววตาที่เคยเย็นชาก็หายไป เหลือเพียงรอยยิ้มที่งดงาม..
“อ่อ..ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง!”
เมื่อได้ฟังหนิงหลิงยู่เล่า..หลิงหยุนจึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อครั้งที่เขาได้รับพลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิเป็นครั้งแรกนั้น เขาได้ถ่ายเพพลังอมตะจำนวนมากเข้าไปในร่างของหนิงหลิงยู่ ทำให้ร่างของนางเปลี่ยนเป็นกายอัปสร และได้ใช้พู่กันปิดผนึกพลังอมตะเหล่านั้นไว้..
พลังอมตะจำนวนมากมายนั้นเพียงพอที่จะให้หนิงหลิงยู่ฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-9) ได้เลยทีเดียว แต่สายฟ้าที่ฟาดลงใส่ร่าง ก็ได้ทำการเปิดผนึกที่หลิงหยุนได้ทำการปิดไว้ ซึ่งก็นับว่าไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรนัก..
ตอนนี้ภายในร่างกายของหนิงหลิงยู่อัดแน่นไปด้วยพลังอมตะสีม่วงและพลังอมตะสีทอง การบ่มเพาะพลังของนางนับจากนี้ จึงจะยิ่งก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าก่อนมาก..
ระหว่างที่เหาะไปกลางอากาศพร้อมกันนั้นหลิงหยุนก็หันไปพูดกับหนิงหลิงยู่ว่า “หลิงยู่.. พี่ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย ในเมื่อเวลานี้เจ้าเหาะได้แล้ว ข้าจะเรียกเจ้าว่านางฟ้าหลิงยู่! ฮ่า.. ฮ่า..”
สองพี่น้องเหาะไปด้วยคุยกันไปด้วยตลอดทองและทั้งคู่ก็ได้ชื่นชมทัศนียภาพในยามค่ำคืนของเมืองปักกิ่งไปด้วย..
และด้วยจิตหยั่งรู้ของสองพี่น้องเวลานี้ทั้งคู่ต่างก็เห็นเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องล่างได้อย่างชัดเจน!
จากนั้นหนิงหลิงยู่ก็กระซิบถามเสียงเบา“พี่ใหญ่.. พวกเราจะบินกลับไปที่บ้านตระกูลหลิงเลยงั้นรึ!”ตกใจอะไรนัก..
ตอนนี้ภายในร่างกายของหนิงหลิงยู่อัดแน่นไปด้วยพลังอมตะสีม่วงและพลังอมตะสีทอง การบ่มเพาะพลังของนางนับจากนี้ จึงจะยิ่งก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าก่อนมาก..
ระหว่างที่เหาะไปกลางอากาศพร้อมกันนั้นหลิงหยุนก็หันไปพูดกับหนิงหลิงยู่ว่า “หลิงยู่.. พี่ขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วย ในเมื่อเวลานี้เจ้าเหาะได้แล้ว ข้าจะเรียกเจ้าว่านางฟ้าหลิงยู่! ฮ่า.. ฮ่า..”
สองพี่น้องเหาะไปด้วยคุยกันไปด้วยตลอดทองและทั้งคู่ก็ได้ชื่นชมทัศนียภาพในยามค่ำคืนของเมืองปักกิ่งไปด้วย..
และด้วยจิตหยั่งรู้ของสองพี่น้องเวลานี้ทั้งคู่ต่างก็เห็นเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องล่างได้อย่างชัดเจน!
จากนั้นหนิงหลิงยู่ก็กระซิบถามเสียงเบา“พี่ใหญ่.. พวกเราจะบินกลับไปที่บ้านตระกูลหลิงเลยงั้นรึ!” “ถูกต้อง!เวลานี้คนจากหน่วยนภากำลังบุกไปหาเรื่องตระกูลหลิงถึงที่บ้าน ข้าต้องรีบกลับไปสั่งสอนพวกมัน”
“เอาล่ะ..พวกเรานักรบสวรรค์ รีบลงไปจัดการกับเหล่าศัตรูให้สิ้นซากกันดีกว่า!”
ทันทีที่พูดจบ..หลิงหยุนก็บังคับกระบี่เหินเงาธนูให้พุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลิงอย่างรวดเร็ว!
และด้วยความรวดเร็วของกระบี่เหินเงาธนูระยะทางสิบกิโลเมตรจึงใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีในการเหาะไป..
ในที่สุดหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ก็เหาะมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิงและพบว่าภายในสวนชั้นที่แปดนั้น ทั้งสองฝ่ายกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ คนของหน่วยนภามีอยู่ราวสิบกว่าคน ต่างฝ่ายต่างก็พร้อมที่จะประมือกันได้ในทันที..
ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายนั้นมีร่างของคนสองคนยืนขวางอยู่อย่างไม่เกรงกลัว.. “เสี่ยวอู๋นี่!”
หลิงหยุนพบว่าหนึ่งในนั้นก็คือตี้เสี่ยวอู๋ที่ยืนถืออาวุธไว้ในมือ..
“มดปลวกที่ไหนกัน..บังอาจบุกมาหาเรื่องตระกูลหลิงถึงที่บ้าน ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วสินะ!
ทันทีที่เสียงคำรามของหลิงหยุนดังก้องขึ้นร่างของนักรบสวรรค์หลิงหยุน และหนิงหลิงยู่ก็ค่อยๆ เหาะลงมาทันที!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร