Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1463

บทที่ 1463 : สนทนาประสาแม่ลูก
  “แย่แล้ว..นี่เจ้าชวนข้าคุยลืมเวลาไปเลย! รีบไปหาแม่เจ้ากันดีกว่า ป่านนี้นางคงรอคอยเจ้าอยู่นานแล้ว!”
  ฉิงตงเฉวี่ยเหาะออกไปด้วยกระบี่เหินทันทีและหลิงหยุนก็เหาะตามไปทันทีเช่นกัน..
  ความจริงแล้วภายในหมู่บ้านตระกูลฉินนั้นก็หาได้ใหญ่โตอะไรมากมายนักหากนับรวมป่าโดยรอบ ทุ่งหญ้า และสระน้ำภายในหมู่บ้าน จากเหนือจรดใต้ก็ราวแปดร้อยเมตรเท่านั้น
  ภายในมีบ้านแยกกันอยู่อย่างอิสระอีกราวสิบกว่าหลังแต่เพราะเหตุการณ์เมื่อสิบแปดปีก่อน ทำให้มีสมาชิกเหลืออยู่ไม่มากนัก
  ฉินจิวยื่อกลับมาตระกูลฉินครั้งนี้นับเป็นการกลับมาหลังจากหายไปนานกว่าสิบเก้าปี จึงมิได้คุ้นเคยกับหมู่บ้านตระกูลฉินเหมือนดังก่อน ลูกหลานตระกูลฉินที่เกิดหลังจากนั้น นางจึงไม่เพียงไม่เคยเห็นหน้า แต่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ..
  ในวันที่ฉินจิวยื่อออกจากตระกูลฉินไปนั้นแม้กระทั่งฉินเหว่ยซึ่งเป็นหลานชายคนโตของตระกูล และเป็นบุตรชายของฉินชุนเฟิงในเวลานั้น ยังมีอายุเพียงแค่หกเดือนเท่านั้น แต่เวลานี้เขากลับโตเป็นหนุ่มน้อยในวัยยี่สิบปีแล้ว
  ด้วยเหตุนี้เมื่อฉินจิวยื่อกลับมาตระกูลฉิน หลังจากที่ได้พบปะสมาชิกภายในตระกูลแล้ว นางจึงไม่ขออยู่ที่บ้านบรรพชนตระกูลฉิน แต่ขอแยกไปอยู่ที่บ้านซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านในที่เงียบสงบ
  เวลานี้..ฉินฉางชิงทำตามคำขอของฉินจิวยื่อทุกอย่าง ไม่ว่านางต้องการสิ่งใด หากมิเหลือบ่าไปกว่าแรงเขาก็ยินดีจัดหาให้
  ฉินฉางชิงทำเช่นนั้นก็ด้วยเหตุผลสามประการ..
  ประการแรก..เขายังคงเป็นห่วงเป็นใยลูกสาวคนโต และรู้สึกผิดอยู่ในใจตลอดเวลา  ประการที่สอง..สิ่งฉินจิวยื่อแบกรับมาตลอดสิบแปดปี และอีกหกเดือนก่อนหน้านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสยิ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นกับนางหากจะเรียกว่าโชคร้ายยังนับว่าน้อยไป หลังจากที่ผ่านเรื่องราวร้ายๆมาได้แล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจของนางจึงต้องได้รับการเยี่ยวยาฟื้นฟู..
  และประการสุดท้ายนับว่าสำคัญยิ่งนั่นเพราะฉินจิวยื่อล้วนมีบุตรชายและบุตรสาวที่ล้ำค่าอย่างหลิงหยุน และหนิงหลิงยู่!
  ทั้งสองคนล้วนแล้วแต่ท้าทายสวรรค์ยิ่งโดยเฉพาะหลิงหยุน!
  คงจะไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนักหากจะพูดว่าตระกูลฉินกลับมายืนหยัดได้อย่างภาคภูมิใจในวันนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะหลิงหยุนทั้งสิ้น..
  ไม่ว่ายุคใดสมัยใดไม่ว่ายากดีมีจน และไม่ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์หรือคนธรรมดา หากมีบุตรที่ดี มารดาย่อมได้รับการยกย่องตามไปด้วย!   ไม่นานนักทั้งฉินตงเฉวี่ยและหลิงหยุน ต่างก็มาถึงลานสงบเงียบแห่งหนึ่งภายในหมู่บ้านตระกูลฉิน
  “ที่นี่ล่ะ..พี่สาวของข้าต้องการที่จะอยู่เงียบๆตามลำพัง และไม่ต้องการให้ผู้ใดรบกวนสักระยะ” ฉินตงเฉวี่ยเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางประตูที่อยู่ตรงหน้า
  “อืมม..”
  หลิงหยุนเหลือบมองไปรอบๆและพบว่าบริเวณลานหน้าบ้านนั้นมีต้นไม้เขียวชะอุ่มปกคลุมอยู่ สนามหญ้าด้านหน้าถูกตัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อยสวยงาม ใกล้ๆมีลำธารเล็กๆไหลผ่าน
  บ้านหลังนี้ค่อนข้างใหญ่โตตัวบ้านเป็นเรือนเก่าแก่โบราณ ภายในสวนตกแต่งด้วยหิน ต้นไม้เขียวชะอุ่ม และมวลพฤกษชาติ อีกทั้งยังมีป่าไผ่และทะเลสาบเล็กๆอยู่ภายใน ที่ทะเลสาบมีสะพานซึ่งสร้างขึ้นเองพาดผ่านสู่ศาลาเล็กๆ ซึ่งใช้เป็นที่นั่งชมทิวทัศน์
  แสงไฟสลัวที่ส่องกระทบกับผืนน้ำทำให้เกิดประกายระยิบระยับงดงาม..
  ในเวลานี้ฉินจิวยื่อกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ซึ่งตั้งอยู่ในศาลากลางน้ำในทะเลสาบ บนโต๊ะตรงหน้ามีชุดน้ำชาตั้งวางอยู่
  เวลานี้ก็เป็นวันที่แปดนับจากที่หลิงหยุนได้ช่วยนางออกมาสภาพร่างกายของฉินจิวยื่อจึงฟื้นฟูขึ้นกว่าเดิมมาก แม้นางจะยังดูผ่ายผอมอยู่บ้าง แต่ก็มีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นมาก ผิวพรรณก็ผ่องใสขึ้นกว่าเดิม ใบหน้ามีสีเลือดเพิ่มมากขึ้น ผมที่ปล่อยยาวสยายนั้นดกดำนุ่มนวล ดวงตาทั้งสองข้างอ่อนโยนและสงบนิ่ง
  นางนั่งดื่มชาท่ามกลางความเงียบสงัดสายตาเหม่อมองออกไปราวกับกำลังดื่มด่ำอยู่กับทัศนียภาพตรงหน้า
  “ที่นี่ช่างงดงามยิ่งนัก!”
  หลิงหยุนเอ่ยปากชมออกมาเพื่อต้องการบอกกับฉินจิวยื่อว่าเขามาถึงแล้ว..
  “หลิงหยุนเจ้ามาแล้วรึ”
  ทันทีที่ฉินจิวยื่อได้ยินเสียงของหลงหยุนดังขึ้นนางจึงค่อยๆผินหน้าไปทางประตู พร้อมกับร้องบอกหลิงหยุนว่า
  “ประตูมิได้ลงกลอนเจ้าเข้ามาก่อนสิ!”
  หลิงหยุนผลักประตูบ้านเข้าไปทันที..
  “ตงเฉวี่ยคืนนี้ข้าต้องการสนทนากับหลิงหยุนตามลำพัง เจ้ากลับไปก่อนแล้วก็ห้ามแอบฟังด้วยล่ะ!”
  ฉินตงเฉวี่ยกำลังจะเดินตามหลิงหยุนเข้าไปในบ้านแต่เมื่อได้ยินฉินจิวยื่อเอ่ยออกมาเช่นนั้น นางถึงกับหน้าเสียทันที
  นางรู้ว่าที่ฉินจิวยื่อไม่ไปร่วมงานเลี้ยงที่บ้านของฉินชุนเฟิงเมื่อตอนเย็นนั้นก็เพราะมีเรื่องต้องการที่จะพูดกับหลิงหยุนนั่นเอง นางจึงตั้งใจว่าเมื่อพาหลิงหยุนมาแล้ว ก็จะอยู่นั่งฟังด้วย แต่ยังไม่ทันที่นางจะก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน พี่สาวของนางกลับห้ามปรามไว้เสียก่อน
  “เอ่อ..”
  ฉินตงเฉวี่ยเองก็ไม่กล้าขัดใจจึงได้แต่เอ่ยขึ้นว่า “พี่ใหญ่.. งั้นข้ากลับก่อน!”   หลงหยุนจงใจยืนอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่งเพื่อรอให้ฉินตงเฉวี่ยกลับออกไปเสียก่อน จากนั้นเขาจึงได้เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับปิดประตูไว้ตามเดิม และเดินตรงไปหาฉินจิวยื่อที่ศาลากลางน้ำ
  เมื่อไปถึงทะเลสาบหลิงหยุนก็ได้เรียกหลิวเทวะวิญญาณออกมา และนำไปปักไว้บนดิน หลิวเทวะวิญญาณปลดปล่อยพลังชีวิตธาตุไม้ที่สดชื่นและมีชีวิตชีวา กระจายออกไปทั่วทั้งบริเวณจนปกคลุมศาลากลางน้ำไว้ด้วย
  เวลานี้หลิงหยุนสามารถสื่อสารกับหลิวเทวะวิญญาณได้แล้ว หากหลิงหยุนไม่ต้องการพลังชีวิต มันก็จะไม่ปลดปล่อยออกมา หรืออาจปลดปล่อยออกมาเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
  แต่การที่หลิงหยุนทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ร่างกายของฉินจิวยื่อฟื้นฟูได้รวดเร็วมากขึ้นนั่นเอง..
  จากนั้นหลิงหยุนก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าฉินจิวยื่อพร้อมกับเอ่ยออกไปว่า  “ท่านแม่..”
  หลิงหยุนทำการคาราวะฉินจิวยื่อด้วยการคุกเข่าลงตรงหน้านาง..
  แม้หลิงหยุนจะช่วยฉินจิวยื่อออกมาได้นานถึงแปดวันแล้วแต่ตอนนี้กลับเป็นช่วงเวลาที่ทั้งคู่ได้อยู่กันตามลำพังอย่างแท้จริง
  ฉินจิวยื่อยิ้มออกมาหลังจากรับการคาราวะจากหลิงหยุนแล้ว นางจึงเอื้อมมือออกไปพยุงให้หลิงหยุนลุกขึ้น
  “หลิงหยุนเจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด”
  ภายใต้แสงไฟสลัวมือทั้งสองข้างของฉินจิวยื่อจับอยู่ที่บ่าทั้งสองข้างของหลิงหยุน นางพินิจมองใบหน้าของหลิงหยุนอย่างละเอียด และจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยคลายมือออก
  “นั่งลงก่อนสิ!คืนนี้เราสองคนมานั่งสนทนากันตามประสาแม่ลูกัน..”
  “ครับท่านแม่..”
  หลิงหยุนเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นไปนั่งตรงข้ามกับฉินจิวยื่อทันที  “หลิงหยุนเจ้าดื่มชาก่อนสิ”
  ทันทีที่หลิงหยุนนั่งลงตรงข้ามฉินจิวยื่อก็ได้จัดแจงรินชาให้กับเขา และกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
  “เจ้าคงจะดื่มมามากจากเงียนเลี้ยงคืนนี้สินะฉินเซี่ยฮัวพี่ชายคนที่สองของข้า คงต้องชักชวนเจ้าดื่มหนักเป็นแน่ เขาบ่นตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า เจ้ากลับมาเมื่อใดเขาจะต้องดื่มกับเจ้าจนเมามาย..”
  “ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้องพวกเราสองคนดื่มหนักมากจริงๆ แต่เป็นลุงสองที่เมามายเพียงผู้เดียว ข้าหาได้เมามายเลยแม้แต่น้อย..”
  หลิงหยุนเอ่ยตอบพร้อมกับกระดกถ้วยชาเข้าปากก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง
  ฉินตงเฉวี่ยถึงกับยิ้มออกมา“ด้วยความสามารถของเขาเวลานี้ คิดจะมอมเหล้าเจ้า คงยากที่จะเป็นไปได้!”
  “ข้าชื่นชอบความสงเงียบและข้าก็เคยผ่านชีวิตที่ครื้นเครงเช่นนั้นมาแล้ว เวลานี้จึงมิได้รู้สึกต้องการอีก ข้าไม่ได้ไปร่วมงานเลี้ยงขอบคุณเจ้า เจ้าอย่าได้ตำหนิข้าเลยนะ”
  หลิงหยุนรีบเอ่ยตอบทันที“ท่านแม่ ข้ามาถึงตระกูลฉินแล้ว แต่กลับมิมาพบท่านแม่ก่อน ข้าต่างหากที่ควรถูกตำหนิ แล้วข้าจะกล้าตำหนิท่านแม่ได้อย่างไรกันเล่า”
  ฉินจิวยื่อส่ายหน้า“ข้าเป็นฝ่ายบอกท่านตาของเจ้าเองว่า รอให้เจ้าร่วมกินเลี้ยงกับทุกคนจนเสร็จสิ้นเสียก่อน จึงค่อยให้เจ้ามาพบข้าที่นี่..”
  ฉินจิวยื่อยกถ้วยชาขึ้นจิบแล้วจึงวางลงนางจ้องมองหลิงหยุนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง แล้วจึงเอ่ยออกไปว่า
  “หลิงหยุนในคืนที่ข้าจากจิงฉูมา น่าจะเป็นคืนเดียวกับที่เจ้าลงไปที่ใต้หลุมยักษ์สินะ และน่าจะใกล้เคียงกับเวลาตีสี่พอดี..”
  “ข้าลงไปที่ก้นหลุมยักษ์ราวเที่ยงคืนและรู้มาว่าท่านแม่ออกจากจิงฉูหลังจากนั้นสี่ชั่วโมง..”   “งั้นรึ!”
  ฉินจิวยื่อพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยต่อ“คิดไม่ถึงว่าการจากกันของพวกเราแม่ลูกในครั้งนั้น จะกลายเป็นนานถึงครึ่งปีเช่นนี้ได้ แต่ผ่านไปหกเดือน หลิงหยุนของข้ากลับก้าวหน้าถึงเพียงนี้!!”
  ทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้หลิงหยุนก็ถึงกับใจสั่นขึ้นมาทันที เขาได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตา สายตาทั้งคู่เหลือบมองอยู่เพียงแค่ปลายจมูกของตนเอง และจัดแจงรินชาให้กับฉินจิวยื่อ
  “หลิงหยุนเหตุการณ์หลังจากที่ข้าออกจากจิงฉูนั้น หลายวันมานี้ เรื่องราวของเจ้าตลอดหกเดือนที่ผ่านมา ข้าได้ฟังจากผู้อื่นอย่างละเอียดแล้ว แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ..”
  “ฉะนั้นแล้ว..คืนนี้เจ้าเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดอีกครั้งว่า นับตั้งแต่เจ้าออกมาจากหลุมยักษ์แล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”
  ฉินจิวยื่อยกถ้วยชาขึ้นดื่มอีกครั้งและมือของนางดูเหมือนจะมีอาการสั่นเล็กน้อย ในขณะที่สายตาก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุน
  “ได้..ข้าจะเล่าให้ท่านแม่ฟัง”
  นี่เป็นสิ่งที่หลิงหยุนควรต้องทำเหตุใดเขายังต้องปฏิเสธด้วยเล่า เขายิ้มออกมาเล็กน้อย และเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด
  “ท่านแม่..เรื่องนี้อาจจะยาวหน่อย เริ่มจากเมื่อบ่ายวันนั้นที่ข้าให้เฉิงเม่ยเฟิงกับเสี่ยวเม่ยเม่ยไปหาท่านแม่ที่บ้านเลขที่-9…”
  “เดี๋ยวก่อน..”
  หลิงหยุนเพิ่งจะเริ่มต้นเล่าไม่กี่ประโยคฉินจิวยื่อก็ขัดขึ้นเสียก่อน นางยิ้มให้กับหลิงหยุนพร้อมกับย้ำว่า
  “หลิงหยุน..เรื่องที่เจ้าจะเล่าให้ข้าฟังนั้น ไม่ว่าจะละเอียดหรือว่ายาวเพียงใด ข้าก็ยินดีรับฟัง แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะขอเจ้า..”
  “ท่านแม่ได้โปรดเอ่ยออกมา..”
  “หากเรื่องใดที่เจ้าเห็นว่ามิควรเล่าก็อย่าได้เอ่ยมันออกมา แต่สิ่งที่เจ้าจะเล่าให้ข้าฟังนั้น ขออย่าได้โกหกข้า..”
  หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งไป“…”
  เพียงแค่คำพูดสั้นๆของนางก็ทำให้หลิงหยุนรู้ว่า ฉินจิวยื่อที่ผ่านเหตุการณ์ขึ้นๆลงๆในชีวิตมามากมายนั้น เฉลียวฉลาดมากเพียงใด..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร