Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1464

บทที่ 1464 : มรดกตระกูลฉิน
  ด้วยเหตุนี้หลิงหยุนจึงได้เริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่ที่เขาลงไปใต้หลุมยักษ์และทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้พานพบมาตลอดระยะเวลาหกเดือนเกือบจะทั้งหมด..
  หลิงหยุนเป็นผู้ที่มีความจำล้ำเลิศอีกทั้งนี่ยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ หากเขาคิดว่าฉินจิวยื่อควรต้องรู้ เขาก็บอกเล่าออกไปจนหมด
  เขาเล่าแม้กระทั่งว่าได้สมุดจักรพรรดิมาได้อย่างไร
  ภายใต้หลุมยักษ์นั้นเขาได้กระบี่โลหิตแดนใต้ กระบี่มังกรขาว น้ำลายมังกร พู่กันจักรพรรดิ และสมุดจักรพรรดิ.. หลิงหยุนเล่าออกไปจนหมด
  หลังจากนั้นเขาก็ถูกค่ายกลจักรวาลส่งออกนอกหลุมยักษ์และไปโผล่อีกครั้งที่ป่าเสินหนงเจี๋ย ที่นั่นเขาได้พบหม้อเสินหนงในหุบเขาโอสถลี้ลับแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสมุนไพรพลังชีวิตล้ำค่าอยู่มากมายนับไม่ถ้วน..
  อีกทั้งยังได้เล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างเดินทางกลับเมืองจิงฉูรวมถึงเรื่องที่ได้พาไป๋เซียนเอ๋อไปกลายร่างที่เกาะเตียวหยู่ และเมื่อกลับมาก็ได้พบกับเย่ซิงเฉิน ได้เปิดคลีนิกสามัญชน แล้วก็การเข้าสอบเอนทรานซ์..
  หลิงหยุนเล่าแม้กระทั่งเรื่องการปลุกเสกยันต์การหลอมกลั่นโอสถ การเดินทางไปปักกิ่ง การพบเจอแวมไพร์ การไปช่วยเกาเฉินเฉิน การกลับเข้าตระกูลหลิง และการช่วยให้ตระกูลหลิงกลับมาผงาดได้อีกครา..
  การเปิดบริษัทหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นการไปช่วยหลิงเสี่ยวพ่อของเขาออกมา การถล่มตระกูลซันและตระกูลเฉิน เรื่องของหนิงหลิงยู่ รวมถึงงานชุมนุมชาวยุทธ การพัฒนาขั้นใต้หลุมยักษ์ และที่ทะเลจีนตะวันออก
  รวมทั้งเรื่องการฝึกฝนการเดินทาง การต่อสู้ และอื่นๆอีกมากมาย..
  หลิงหยุนบอกเล่าทุกอย่างให้ฉินจิวยื่อฟัง..
  นับว่าเป็นเรื่องเล่าที่ยาวนานมากแม้หลิงหยุนจักได้ข้ามบางส่วนที่ไม่สำคัญไปมากมายแล้ว แต่ก็ยังกินเวลานานมากกว่าสามชั่วโมงเลยทีเดียว
  แต่ทั้งหมดที่เล่าไปนั้นหลิงหยุนได้ปิดบังฉินจิวยื่อเพียงแค่สองเรื่องเท่านั้นคือ.. ตัวตนที่แท้จริงของเขาเอง และเรื่องที่หนิงหลิงยู่แปลกไป!
  ตลอดระยะเวลาที่นั่งฟังหลิงหยุนเล่าฉินจิวยื่อขัดขึ้นในตอนต้นเท่านั้น หลังจากนั้นนางก็นั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ และมีบางครั้งที่แสดงสีหน้ากังวลใจออกมาบ้าง บางครายิ้ม และบางคราก็พยักหน้า พร้อมเหลือบมองหลิงหยุนเป็นระยะๆ
  จนกระทั่งเข้าสู่เวลาตีสองครึ่งซึ่งเป็นค่ำคืนที่มืดมิด..
  หลิงหยุนยกถ้วยชาขึ้นดื่มก่อนจะเล่าต่อว่า“หลังจากพัฒนาขั้นที่ทะเลจีนตะวันออกได้สำเร็จ และจัดการสะสางภารกิจต่างๆภายในเมืองจิงฉูเรียบร้อยแล้ว ข้าก็มั่นใจว่าด้วยความแข็งแกร่งของตนในเวลานั้น จะสามารถไปช่วยท่านแม่ที่สำนักกระบี่เทียนซานได้แน่ จึงรีบไปยังตระกูลฉินปรึกษาท่านตา แล้วจึงไปเทียนซานช่วยท่านแม่..”
  หลิงหยุนจบการเล่าเรื่องของตนตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมาไว้เพียงเท่านี้..
  ฉินจิวยื่อเองก็นั่งฟังด้วยความนิ่งเงียบมานานสีหน้าของนางบ่งบอกถึงอารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆอยู่ตลอดเวลาอย่างที่มิอาจปกปิดไว้ได้ เมื่อหลิงหยุนเล่าจบ นางก็ถึงกับถอนหายใจออกมาทันที..
  นางยิ้มให้กับหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า..
  “หลินเมิ่งหานเสี่ยวเม่ยหนิง เฉิงเม่ยเฟิง เสี่ยวเม่ยเม่ย เกาเฉินเฉิน ฉางหลิง มู่หลงเฟยจื่อ เหยาลู่ หลงหวู่ เหมี่ยวเสี่ยวเหมา…”
  ฉินจิวยื่อเอ่ยชื่อผู้หญิงทุกคนที่หลิงหยุนได้พูดถึงก่อนจะกล่าวต่อว่า “ยังมีเย่ซิงเฉินกับไป๋เซียนเอ๋อที่มาช่วยข้าครานี้.. หลิงหยุน รอบกายเจ้ารายล้อมไปด้วยหญิงสาวมากมายไม่น้อยทีเดียว!”
  “…”
  หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้ง..เขาเล่าเรื่องราวให้แม่ฟังนั้น มีทั้งเรื่องน่าเศร้า เรื่องประหลาด และเรื่องลี้ลับ นางมิพูดถึงเรื่องเหล่านั้นเลย แต่กลับพูดถึงเรื่องหญิงสาวรอบกายเขาแทน!
  แต่คำพูดประโยคต่อไปของนางนั้นกลับยิ่งทำให้หลิงหยุนตกตะลึงมากขึ้นไปอีก!
  “หลิงหยุน..หญิงสาวทุกคนรอบกายเจ้านั้น แม้พวกนางจะมีพรสวรรค์สูงต่ำแตกต่างกันไป แต่พวกนางล้วนจริงใจต่อเจ้าทั้งสิ้น วันข้างหน้า.. เจ้าอย่าได้ทำให้พวกนางต้องผิดหวังล่ะ..”
  คำพูดประโยคนี้ของฉินจิวยื่อแม้นางจะเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่น้ำเสียงนั้นกลับบ่งบอกชัดเจนว่าต้องการเตือนหลิงหยุน
  “แค่ก..แค่ก.. แค่ก..”
  หลิงหยุนถึงกับต้องไอกลบเกลื่อนขึ้นมาทันทีฉินจิวยื่อเห็นท่าทางของหลิงหยุนจึงได้แต่เอ่ยออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
  “หลิงหยุนเจ้าเสมือนมังกรในหมู่ผู้คน การที่พวกนางได้อยู่ข้างกายเจ้าเช่นนี้ นับเป็นวาสนาของพวกนางนัก จึงมิใช่เรื่องแปลกที่วันข้างหน้าพวกนางจะอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน..”
  ครั้งนี้..หลิงหยุนเป็นฝ่ายเอ่ยปากเองหลังจากจิบชาเข้าไป “ท่านแม่.. พวกเราเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีหรือไม่”
  ฉินจิวยื่อยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบ“เพราะเหตุใด ในเมื่อเจ้าเองไปยุ่งเกี่ยวกับพวกนางแล้ว หรือเจ้าจะทิ้งพวกนางกลางคัน และมองดูพวกนางแต่งงานไปกับชายอื่นงั้นรึ?”
  “หาใช่เช่นนั้นไม่!”หลิงหยุนร้องตอบทันที
  ฉินจิวยื่อจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาภาคภูมิใจพร้อมกับเอ่ยตอบว่า“หลิงหยุน เจ้าครอบครองทั้งสมุดจักรพรรดิ พู่กันจักรพรรดิ และหม้อเสินหนงเช่นนี้ นับเป็นชะตาฟ้ากำหนด อีกทั้งยังครอบครองกระบี่โลหิตเทวะและมีวิชาบ่มเพาะที่ล้ำเลิศ จึงนับว่าน่าภาคภูมิใจยิ่ง..”
  “อีกทั้งบุคลิกเช่นนี้ของเจ้ามีหรือที่หญิงสาวจะมิอยากใกล้ชิด..”
  ฉินจิวยื่อเอ่ยกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกชัดเจนว่าชื่นชมในตัวหลิงหยุนยิ่งนัก!
  “ส่วนเรื่องน้องชายของเจ้า– โม่วู๋เตา.. ทันทีที่ข้ากลับถึงตระกูลฉิน ก็ได้เข้าไปเยี่ยมเยียนเขาแล้ว..”
  ในที่สุดฉินจิวยื่อก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา“นักพรตน้อยนั่นช่วยชีวิตของเจ้า อีกทั้งยังช่วยเจ้าตามหาที่อยู่ของพ่อเจ้า อีกทั้งยังช่วยเรื่องของข้าอีกด้วย เขาจึงนับว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อตระกูลหลิงและตระกูลฉินอย่างมาก..”
  “หลิงหยุนด้วยวรยุทธบ่มเพาะของเจ้าเวลานี้ เจ้าย่อมสามารถช่วยเขาให้ฟื้นคืนมาได้แน่ หรือไม่อย่างน้อยก็ช่วยให้เขาต้องทุกข์ทรมานน้อยที่สุดได้!”   “ท่านแม่..เรื่องนั้นท่านอย่าได้กังวลใจไปเลย!”
  เมื่อเห็นฉินจิวยื่อเอ่ยถึงเรื่องของโม่วู๋เตาออกมาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเช่นนี้หลิงหยุนก็ได้แต่ยิ้มพร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด ที่เขาสนทนากับตี้เสี่ยวอู๋เมื่อตอนเย็นให้นางฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
  ฉินจิวยื่อฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าพร้อมกับเอ่ยออกมาทันที“หากเป็นเช่นนี้ ย่อมนับเป็นโอกาสดีของเด็กหนุ่มผู้นี้แล้ว!”
  หลิงหยุนนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงรีบบอกกับฉินจิวยื่อ “ท่านแม่.. ในระหว่างที่ช่วยท่านนั้น ข้าได้สังหารคนโฉดตี๋ชิงโหวไป ท่านแม่ตำหนิข้าหรือไม่”
  แม้ตี๋ชิงโหวจะบุตรชายของตี๋เสี่ยวเจินแต่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหนิงเทียนหยาด้วย นอกเหนือจากหนิงหลิงยู่แล้ว เขาก็เป็นสายเลือดอีกเพียงคนเดียวของหนิงเทียนหยา..
  “ข้ารู้ว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะต้องพูดเรื่องนี้กับเข้าเป็นแน่..”   ฉินจิวยื่อเอ่ยตอบหลิงหยุนด้วยสีหน้านิ่งเรียบ“ตี๋ชิงโหวไม่ต่างจากปีศาจร้าย เขาสมควรถูกสังหารยิ่งแล้ว!”
  “ตี๋ชิงโหวได้รับอิทธิพลจากตี๋เสี่ยวเจินมามากและเป็นเพราะนางคอยให้ท้าย เขาจึงได้ชั่วช้าและหยิ่งผยองเช่นนั้น!”
  “คนผู้นี้ได้สูญสิ้นความเป็นคนไปนานแล้วลุงหนิงเองก็ได้ตัดพ่อตัดลูกกับเขานานแล้ว ที่ผ่านมานับว่าไม่มีโอกาส หากมีโอกาสลุงหนิงของเจ้าคงสังหารเขาด้วยตัวเองไปแล้ว..”
  ฉินจิวยื่อลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อว่า“ขอบอกเจ้าตามตรง เมื่อข้าไปถึงสำนักกระบี่เทียนซาน เขาเองก็ได้เอ่ยกับข้าเรื่องนี้ก่อนสิ่งอื่นใด..”
  ฉินจิวยื่อเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ฉะนั้น การที่เจ้าสังหารคนโฉดเช่นนั้น ไม่เพียงข้าไม่ตำหนิเจ้า แม้แต่ลุงหนิงที่อยู่บนสรวงสวรรค์ย่อมต้องซาบซึ้ง และขอบคุณเจ้าเช่นกัน!”   หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปก่อนหน้านี้หลังจากที่สังหารตี๋ชิงโหวไป เขายังนึกหวั่นใจว่าฉินจิวยื่อจะตำหนิ หาว่าตนไม่คำนึงถึงกระดูกของหนิงเทียนหยา เวลานี้.. กลับกลายเป็นว่าหนิงเทียนหยาเองก็คิดฆ่าตี๋ชิงโหวเช่นกัน
  แต่แล้วก็ได้ยินฉินจิวยื่อกล่าวต่อว่า“หลิงหยุน.. วันข้าหน้าหากเจ้าคิดทำสิ่งใด ก็จงตัดสินใจด้วยตัวเอง มิต้องคำนึงว่าผู้อื่นจะคิดหรือจดจำเจ้าเยี่ยงไร”
  หลิงหยุนยิ้มกว้างและตอบกลับไปว่า“ลูกจะจดจำไว้!”
  “อืมม..”
  ฉินจิวยื่อทำเสียงรับรู้อยู่ในลำคอแล้วจึงหันไปทางต้นหลิวเทวะวิญญาณที่อยู่มุมทะเลสาบ“หลิวต้นนั้นน่าจะเป็นหลิวเทวะวิญญาณ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของตระกูลหลิงที่เจ้าพูดถึงกระมัง”
  หลิงหยุนพยักหน้า“ถูกต้องแล้วท่านแม่!”
  ฉินจิวยื่อเอ่ยต่อทันที–ตระกูลฉินของเราก็มีมรดกตกทอดเช่นกัน แต่มรดกนั้นกลับมิได้อยู่ในมือของคนตระกูลฉิน แต่อยู่ภายในสุสานองค์จักรพรรดิจิ๋นซี!-
  ฉินจิวยื่อบอกเรื่องสำคัญนี้กับหลิงหยุนผ่านทางจิตความรู้สึกของเขาเวลานี้แทบไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เพราะฉินจิวยื่อบอกความลับสำคัญของตระกูลให้เขาฟัง ทั้งที่เขาเองก็หาใช่บุตรชายแท้ๆของนางไม่..
  –ภายในสุสานองค์จักรพรรดิมีค่ายกลที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งและมิมีผู้ใดสามารถเข้าไปสำรวจได้มานานกว่าสองพันปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นภายในสุสานยังมีความลับมากมาย แม้แต่ตระกูลฉินของข้าในฐานะผู้พิทักษ์สุสานยังมิล่วงรู้..-
  ฉินจิวยื่อจ้องมองหลิงหยุนพร้อมเอ่ยต่อ–หลิงหยุน.. ในเมื่อเจ้าครอบครองมรดกขององค์จักรพรรดิในโบราณกาลถึงสามพระองค์เช่นนี้ เจ้าย่อมต้องเป็นคนผู้นั้น จึงมีคุณสมบัติที่จะเข้าไปสำรวจสุสานองค์จักรพรรดิจิ๋นซี–  –วันหน้า..หากเจ้าพบว่าขั้นของตนเองสูงพอแล้ว เจ้าก็สามารถเข้าไปสำรวจภายในสุสานได้ แต่ก่อนจะเข้าไปต้องได้รับอนุญาตจากท่านตาฉินของเจ้าเสียก่อน–
  หลิงหยุนสังเกตเห็นว่าท่าทางของฉินจิวยื่อนั้น ราวกับบอกให้เขาไปซื้อซอสที่บ้านของป้าหลี่หงเม่ยซึ่งอยู่บ้านถัดไป..
  หลิงหยุนลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่ด้านหน้าของฉินจิวยื่อพร้อมกับเอ่ยออกมาว่า “ขอบคุณท่านแม่ยิ่งนัก ลูกจะจดจำไว้!”
  หลิงหยุนตั้งใจไว้แล้วว่า..ช้าเร็วเขาก็ต้องไปสำรวจสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีให้ได้ และเมื่อถึงเวลานั้นผู้ใดก็มิอาจห้ามปรามเขาได้ ฉะนั้นหากเขาปฏิเสธคำเชิญชวนของฉินจิวยื่อก็คงจะแปลกมากทีเดียว
  ฉินจิวยื่อยิ้มและเอ่ยตอบกลับไป“ข้ามิอาจพูดเรื่องนี้ได้มากนัก และข้าก็คิดว่าท่านตาฉินของเจ้าเองก็คงมีความคิดบางอย่างอยู่ในหัว เพียงแต่เมื่อยังไม่ถึงเวลา เขาจึงยังมิได้พูดถึง ข้าเองจึงมิอาจเอ่ยปากได้..”   หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของฉินจิวยื่อจึงนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ในงานเลี้ยงเมื่อเย็นนั้น ฉินฉางชิงทำท่าทางอึกๆอักๆ คล้ายจะกล่าวอันใดออกมาแล้วก็หยุดนิ่งไป เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งหลายครา
  สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีอยู่ในความรับผิดชอบดูแลของตระกูลฉินมานานหลายพันปีและหน้าที่นี้ก็ฝังอยู่ในสายเลือดคนตระกูลฉิน ฉะนั้นแล้ว หากจะเอ่ยหรือทำสิ่งใดที่เกี่ยวพันถึงสุสานแห่งนี้ ฉินฉางชิงในฐานะผู้นำตระกูลฉิน ย่อมต้องระมัดระวังอย่างที่สุด!
  “หลิงหยุนสุสานแห่งนี้กว้างใหญ่นัก อีกทั้งยังเป็นสมบัติของชาติ เจ้าจักต้องอดทนให้มาก..”
  ฉินจิวยื่อย้ำกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงหนักแน่น..
  หลิงหยุนรีบเอ่ยตอบทันที“ท่านแม่ได้โปรดวางใจ ข้าย่อมต้องไม่กระทำด้วยความประมาทแน่!”
  “เช่นนั้นก็ดี!”   ฉินจิวยื่อลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ยว่า“หลิงหยุน นี่ก็ตีสามแล้ว พวกเราแม่ลูกต่างก็สนทนากันแทบทุกเรื่องแล้ว เหลือเพียงแค่..”
  ระหว่างที่พูดฉินจิวยื่อก็ค่อยๆเดินไปด้านข้างของศาลาริมน้ำมือข้างหนึ่งจับราวบันไดไว้พร้อมกับหันหน้าไปมองหลิงหยุน และถอนหายใจยาว
  “เรื่องสุดท้าย..คือเรื่องเกี่ยวกับหลิงยู่!”
  หลิงหยุนถึงกับใจสั่นสะท้านขึ้นมาทันที..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร