บทที่ 1465 : รักยิ่งใหญ่ของมารดา
“หลิงยู่นางไปตระกูลหนิงที่เขาคุนหลุนมิใช่รึท่านแม่?”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นโง่เพราะเวลานี้ฉินจิวยื่อยังอยู่ในระหว่างพักฟื้นร่างกาย เขาจึงมิต้องการที่จะให้มีเรื่องรบกวนจิตใจของนาง
ความจริงที่หลิงหยุนไปที่สำนักกระบี่เทียนซานเพื่อช่วยฉินจิวยื่อนั้นยังมีจุดประสงค์อื่นด้วย..
เขาตั้งใจไว้ว่าหลังจากที่ช่วยฉินจิวยื่อกลับมาได้แล้วจะต้องสอบถามนางเกี่ยวกับเรื่องของหนิงหลิงยู่ว่า ก่อนและหลังการเกิดของนางนั้น ได้มีปรากฏการณ์ใดเกิดขึ้นบ้างหรือไม่
และคนที่จะตอบคำถามนี้ของหลิงหยุนได้ดีที่สุดก็เห็นจะมีแต่ฉินจิวยื่อเพียงผู้เดียวเท่านั้น!
หลิงหยุนจำเป็นต้องรู้รายละเอียดต่างๆในเรื่องเหล่านี้เพื่อที่จะสามารถประเมินได้ว่าเกิดปัญหาขึ้นกับหนิงหลิงยู่จริงหรือไม่
แต่เมื่อเขาได้พบหนิงหลิงยู่ที่สำนักกระบี่เทียนซานนั้นหลังจากได้เห็นท่าทีต่างๆของนางที่เป็นปกติ เขาจึงได้คลายความสงสัยในใจลงไปมาก
แต่ก่อนที่เย่ซิงเฉินจะจากไปนั้นนางคือผู้ที่ย้ำให้เขามั่นใจว่าหนิงหลิงยู่นั้นมีปัญหาอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาเองต่างหากที่มิกล้ายอมรับความจริงในเรื่องนี้!
แต่ในเมื่อเขามั่นใจแล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะต้องสอบถามเรื่องนี้กับฉินจิวยื่ออย่างละเอียด เพื่อที่จะหาหนทางแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
สำหรับหลิงหยุนแล้วเรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง และมิต้องการให้ล่วงรู้ออกไปถึงหูของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉินจิวยื่อ..
นั่นเพราะด้วยฐานะของฉินจิวยื่อเวลานี้..นางอยู่ตรงกลางระหว่างหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ มิว่าฝั่งใดก็ล้วนแล้วแต่เสมือนเนื้อหนังของนาง!
“หลิงหยุน..”
ฉินจิวยื่อฟังคำพูดของหลิงหยุนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“อย่าลืมว่าทั้งเจ้าและหลิงยู่ข้าต่างก็เลี้ยงดูมาด้วยมือของตนเองทั้งคู่..”
ฉินจิวยื่อต้องการบอกหลิงหยุนเป็นนัยว่า..ทั้งคู่ต่างก็เป็นลูกของนางทั้งสิ้น..
หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้“…”
ฉินจิวยื่อเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนเนิ่นนานก่อนจะเอ่ยต่อว่า..
“หลิงหยุน..สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าตลอดหกเดือนที่ผ่านมานั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายสวรรค์ยิ่ง และมีหลายสิ่งที่นับว่าเป็นปาฏิหารย์ก็ได้”
“แต่เหตุการณ์ต่างๆในวัยเด็กนั้นเจ้ายังจดจำได้บ้างหรือไม่” ความจริงแล้ว..ฉินจิวยื่อต้องการจะใช้คำว่า ‘เรื่องราวในช่วยวัยก่อนสิบแปดปี’ แต่นางกลับนิ่งไปเล็กน้อย และเปลี่ยนมาใช้คำว่า.. ในวัยเด็กแทน’
แววตาของฉินจิวยื่อมีทั้งความคาดหวังและความกังวลใจผสมปนเปกันอย่างมิอาจปิดบังไว้ได้ เหงื่อไหลท่วมฝ่ามือทั้งสองข้างของนางที่กำแน่นอยู่
ดูเหมือนนางเองจะหวาดกลัวคำตอบและกลัวว่าจะยอมรับไม่ได้..
แต่หลิงหยุนกลับยิ้มและตอบกลับไปว่า“ท่านแม่.. ข้าย่อมจำได้ดี เว้นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้นที่อาจจะจำมิได้!”
และทันทีที่ได้ยินคำตอบของหลิงหยุนร่างที่เกร็งแน่นของฉินจิวยื่อก็ถึงกับเอนพิงราวบันได..
“เจ้าจำได้..”
ฉินจิวยื่อยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยว่า“หลิงหยุน.. เมื่อครั้งที่เจ้ายังเล็กนั้น เจ้าเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก และมีความพิเศษในหลายๆด้านเหนือกว่าหลิงยู่น้องสาวของจ้า!”
“เพียงแต่หลังจากที่เจ้าถือกำเนิดออกมาได้ไม่นานนักเส้นลมปราณหยางเจี๋วยกลับถูกซือกงถูทำลาย สิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้านั้นต่อให้เป็นหมอเทวดาก็ยากนักที่จะช่วยได้ ชีวิตของเจ้ายากนักที่จะยืนยาวกว่ายี่สิบปี..”
“แต่เวลานี้ซือกงถูศัตรูของเจ้าก็ได้ถูกเจ้าสังหารตายไปแล้ว”
“หลังจากที่เจ้าเติบโตขึ้นและเริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆได้มากขึ้น เจ้าจึงเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ในร่างกายของตนเอง และรู้ว่าตนเองนั้นแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ”
“ปัญหาเรื่องร่างกายของเจ้านั้นข้าเองก็มิเคยบอกกล่าวให้เจ้ารู้เลย ในเมื่อข้าผู้เป็นแม่ แต่กลับมิสามารถรักษาเจ้าให้หายได้ จึงทำได้เพียงแค่หวังว่าให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และไร้กังวลให้มากที่สุด จนกว่าอายุจะครบยี่สิบปีเท่านั้น..”
ฉินจิวยื่อเล่ามาถึงตรงนี้ดวงตากลมโตทั้งสองข้างของนางก็เริ่มแดงก่ำ “แต่ความเฉลียวฉลาดของเจ้านั้น ก็เหนือกว่าที่ข้าจะคาดคิดมาก..”
“เมื่อเจ้าอายุได้หกขวบไม่ว่าข้าใส่สิ่งใดกับเจ้า เจ้าก็มักจะเก็บมันไว้ และแอบนำไปใส่ไว้ในกระเป๋าของหลิงยู่แทน”
“ในวัยเจ็ดขวบ..ไม่ว่าจะเป็นเด็กข้างถนน หรือเด็กนักเรียนในโรงเรียน หากกล้ามารังแกหลิงยู่ เจ้าก็จะไม่เคยคิดถึงตัวเอง และไปชกต่อยกับเด็กพวกนั้นเพื่อปกป้องหลิงยู่ทุกครั้ง!”
“แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่ช่วงประถมและเจ้าเริ่มอ่านหนังสือออก เจ้าก็มักจะมาแอบอ่านตำราแพทย์ในคลินิกของข้าอยู่เสมอๆ เพื่อที่จะหาหนทางรักษาปัญหาภายในร่างกายของตนเอง..”
“และเมื่อเข้าสู่มัธยมปลาย..ไม่ว่าจะเป็นตำราแพทย์ตะวันตก หรือแม้กระทั่งแพทย์แผนจีน ทุกเล่มที่อยู่ในคลินิกของข้า รวมถึงตำราเกี่ยวกับโรคทั่วไป เภสัชกรรม ตำราเกี่ยวกับสมุนไพรต่างๆ ตำราแพทย์โบราณอย่างคัมภีร์หวงตี้เน่ย์จิง หรือตำราฝังเข็มต่างๆ เจ้าก็ล้วนขุดออกมาอ่านจนหมดสิ้น..”
หลิงหยุนฟังมาถึงตรงนี้ก็ถึงกับดวงตาแดงก่ำและกระซิบถามเสียงเบา “ท่านแม่.. ท่านรู้เรื่องนี้มาโดยตลอดงั้นรึ..”
ฉินจิวยื่อยกมือขึ้นลูบไล้เส้นผมของหลิงหยุนก่อนจะเอ่ยต่อว่า “หลิงยู่นั้นแข็งแรงมาตั้งแต่เด็ก แต่เมื่อเข้าสู่วัยสิบสองปี นางก็เริ่มดูถูกพี่ชายของตนเอง แต่ข้ารู้ดีว่าในวัยเดียวกันนั้น ความรู้ทางการแพทย์ของเจ้าก็ได้ล้ำหน้านางไปไกลมากแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ยังไม่สามารถค้นพบวิธีรักษาตนเองได้จากตำราแพทย์ที่ได้อ่านมาทั้งหมด”
“ท่านแม่..แล้วเงินที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนข้าทุกครั้งนั้น เป็นท่านที่แอบเอาไปวางไว้หรือไม่”
ฉินจิวยื่อเพียงแค่หัวเราะและมิได้เอ่ยตอบอันใด แต่ภายในใจกลับรู้สึกโล่งอก..
“เสินหนงทดลงกินสมุนไพร– 神农尝百草””
จากนั้นฉินจิวยื่อก็กล่าวต่อในทันที“เจ้าได้รับทั้งสมุดจักรพรรดิ และหม้อเสินหนง อีกทั้งยังถูกนำพาไปยังหุบเขาโอสถลี้ลับในป่าเสินหนงเจี๋ยเช่นนั้น ดูเหมือนทั้งหมดน่าจะเป็นการที่ปรมาจารย์ในโบราณกาลได้เลือกผู้สืบทอดไว้แล้ว..”
“นี่แสดงให้เห็นว่า..ฟ้าย่อมมีทางออกให้คนเราเสมอ!”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับตกใจไม่น้อย..
แม้ว่าบทสนทนานี้จะทำให้สองแม่ลูกต่างก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่แต่ก็ทำให้หลิงหยุนรู้ว่า ความลับเรื่องต้นกำเนิดของเขานั้นดูเหมือนจะไม่สำคัญสำหรับฉินจิวยื่อนานแล้ว..
และก่อนที่เขาจะเริ่มต้นเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังนางก็เป็นฝ่ายบอกเองว่า เรื่องใดที่ไม่ควรเล่าก็มิจำเป็นต้องเอ่ยถึง..
“แต่ในระยะหกปีหลังมานั้นความเป็นพี่น้องของพวกเจ้าทั้งสองก็คอยๆ เลือนหายไปแต่ข้ารู้ดีว่าเป็นความผิดของหลิงยู่ ฉะนั้นตลอดเวลา ข้าจึงมักจะดุนางมากกว่าดุเจ้า”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แม่และลูกชายต่างก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้กับและฉินจิวยื่อจึงได้กล่าวต่อ “จนกระทั่งในปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พวกเจ้าสองคนพี่น้องกลับมาบ้านพร้อมกัน อีกทั้งเจ้าเองยังเปลี่ยนไปอย่างมาก ทำให้ข้ารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก!”
“ท่านแม่ข้า…”
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของผู้เป็นมารดา!
ฉินจิวยื่อรีบขัดขึ้นทันที“ข้ายังพูดไม่จบ เจ้าอย่าได้พูดแทรก แล้วก็มิต้องบอกอะไรกับข้า..”
ฉินจิวยื่อจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตารักใคร่“จากคำบอกเล่าของหลิงยู่กับตงเฉวี่ยนั้น ข้ารู้ว่าตลอดระยะเวลาหกเดือนมานี้ เจ้าได้ดูแลหลิงยู่เป็นอย่างดี ข้าพูดได้เต็มปากว่า ในฐานะที่มิใช่พี่ชายร่วมสายเลือด เจ้าได้ทำหน้าที่ของพี่ชายอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว..”
“ก่อนหน้านี้..เมื่อครั้งที่เจ้ายังเป็นเพียงแค่เด็กผู้ชายร่างอ้วนที่อ่อนแอ อีกทั้งยังมีปัญหาทั้งร่างกายและจิตใจรุมเร้า แต่เจ้าก็ยังคงเป็นห่วงและคอยดูแลหลิงยู่มาโดยตลอด..”
“แม้กระทั่งช่วงที่ข้าไม่อยู่บ้านนั้นหลังจากที่เจ้าเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เจ้าก็ยังคงดูแลนางเช่นเดิม..”
“ข้ารู้ว่าจิตใจของเจ้านั้นมิเคยเปลี่ยนไปเลยและยังคงเป็นเช่นนั้นเสมอมา แต่เป็นหลิงยู่ต่างหากที่เปลี่ยนไป.. เจ้า.. เจ้าทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีมากแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้..หลิงหยุนถึงกับต้องนิ่งอึ้งไปอีกครา..
“คืนนี้..ข้าเพียงแค่อยากได้ยินเจ้าเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองตลอดหกเดือนที่ผ่านมา แต่เจ้ากลับบอกเล่าความลับของตนเองให้ข้ารู้อย่างซื่อสัตย์เช่นนี้ ข้ารู้สึกมีความสุขยิ่งนัก!” “แต่..”
“เรื่องของหลิงยู่นั้น..ข้ารู้ดีว่าเจ้าปกปิดเพราะต้องการที่จะช่วยข้าสะสางด้วยตัวเอง แต่เจ้ามิอาจช่วยได้..!”
ฉินจิวยื่อจ้องมองหลิงหยุนที่กำลังยกมือขึ้นเกาศรีษะแก้เก้อ“ขนาดเจ้าข้ายังดูออก นับประสาอะไรกับหนิงหลิงยู่ซึ่งเสมือนชิ้นเนื้อจากร่างกายข้า เหตุใดข้าจึงจะดูมิออกเล่า..”
จู่ๆฉินจิวยื่อก็หันมองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของเขาเทียนซาน พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า
“ทันทีที่ข้าเห็นหลิงยู่ที่สำนักกระบี่เทียนซานครั้งแรกข้าก็ดูออกว่าต้องมีปัญหาเกิดขึ้นกับนางเป็นแน่..”
หลิงหยุนถึงกับร้องถามออกมา“ท่านแม่.. ท่านดูออกว่านางกำลังปกปิดอยู่งั้นรึ”
“นั่นหาใช่การปกปิด..แต่มิใช่วิสัยของนางต่างหากเล่า!”
ฉินจิวยื่อส่ายหน้า“หากนางพยายามปกปิด ก็น่าจะดีเสียกว่า..”
“ถ้าเช่นนั้น..ท่านคิดว่าหลิงยู่เป็นอะไรกันแน่”
ฉินจิวยื่อถอนหายตากลับมาและหันไปถามหลิงหยุน “หลิงหยุน.. เจ้าตอบข้ามา! ผู้ที่ฝึกบ่มเพาะนั้น เมื่อเข้าสู่ขั้นใดขั้นหนึ่ง จะสามารถทำให้มีอุปนิสัยที่เปลี่ยนไปได้หรือไม่”
หลิงหยุนส่ายหน้าและกล่าวตอบไปว่า“ไม่ท่านแม่.. ยิ่งฝึกเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีความตรงไปตรงมา และมีความเป็นตัวเองสูงขึ้นตามลำดับ จะกลับสู่นิสัยดั้งเดิมตามธรรมชาติของตนเองมากขึ้นเท่านั้น นิสัยจึงจะมิเปลี่ยนไปจากเดิม..”
หลิงหยุนกล่าวต่อว่า..“เว้นแต่..”
“เว้นแต่อะไรรึ!”
“เว้นแต่การจะเกิดการผิดพลาดในระหว่างฝึกปรือเหมือนเช่น…” แต่แล้วหลิงหยุนก็หยุดชะงักอยู่เพียงแค่นั้น ฉินจิวยื่อตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉิย“เหมือนเช่นลุงหนิงของเจ้างั้นรึ”
ฉินจิวยื่อเอ่ยถามต่อทันที“แล้วเวลานี้หลิงยู่ซึ่งเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) แล้ว จะสามารถมีโอกาสเป็นเช่นนั้นได้หรือไม่”
“สิ่งที่หลิงยู่แสดงออกเมื่อครั้งที่อยู่สำนักกระบี่เทียนซานนั้นแม้จะเป็นตัวนางจริง แต่อุปนิสัยใจคอของนาง แม้แต่วิธีพูดจา และทัศนคติที่มีต่อเจ้าและข้า รวมถึงท่าทีที่แสดงต่อตระกูลฉินและตระกูลหนิง กลับดูเหมือนมิใช่เรื่องที่หลิงยู่จะทำสามารถทำได้หากเป็นเมื่อก่อน”
หลิงหยุนถึงกับได้แต่แอบคิดในใจว่าแม่ของเขาช่างพูดได้ตรงประเด็นยิ่งนัก..
ฉินจิวยื่อกล่าวต่อว่า“หลิงหยุน มีเรื่องหนึ่งสำคัญยิ่งที่ข้าต้องการบอกเจ้า..”
“ก่อนที่ลุงหนิงของเจ้าจะสิ้นใจนั้นเขาได้เอ่ยออกมาว่าเขาได้พบกับหลิงยู่ และมีเรื่องสำคัญที่จะบอกกับข้า แต่ยังมิทันได้บอกเขาก็สิ้นใจตายเสียก่อน..” หลิงหยุนผุดลุกขึ้นทันทีพร้อมกับร้องบอกไปว่า“ท่านแม่.. ท่านช่วยทวนคำพูดทั้งหมดที่ท่านลุงหนิงเอ่ยกับท่าน ให้ข้าฟังอีกครั้งจะได้หรือไม่”
ฉินจิวยื่อไม่ปฏิเสธและได้บอกเล่าทุกคำให้หลิงหยุนฟัง หลังจากที่หลิงหยุนได้ฟังเขาถึงกับต้องครุ่นคิดอยู่นาน
“ท่านแม่..เรื่องของหลิงยู่ท่านมิต้องกังวลใจไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า พวกเรายังพอมีเวลา!”
หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่หลิงหยุนจึงกล่าวต่อว่า “ท่านเคยสนิทสนมกับหลิงยู่เช่นใด ก็ขอให้ปฏิบัติต่อนางดังเดิม อย่าให้เกิดเรื่องขุ่นข้องหมองใจเกิดขึ้น..”
“ข้าจักเชื่อฟังเจ้า..”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร