บทที่ 1466 : ชะตากรรมที่แปลกประหลาด
หลังจากที่สนทนากันอยู่ครู่ใหญ่ทั้งหลิงหยุนและฉินจิวยื่อต่างก็ลงความเห็นว่า เรื่องของหนิงหลิงยู่นั้นมิใช่ปัญหาใหญ่โตอันใดนัก
ทั้งสองคนต่างก็เป็นคนใกล้ชิดของหนิงหลิงยู่ทั้งคู่คนหนึ่งคือมารดาผู้ให้กำเนิด ส่วนอีกคนคือพี่ชายที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก..
แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ต่างก็มีจิตใจที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ทั้งหลิงหยุนและฉินจิวยื่อต่างก็มีจิตใจที่หนักแน่น และมิได้ตื่นตระหนกมากมายเพียงใดนัก
ในความเห็นของพวกเขาทั้งคู่หนิงหลิงยู่เพียงแค่ ‘เจ็บป่วย’ เท่านั้น และต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา..
การเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปทุกคนต่างก็สามารถเจ็บป่วยได้ และการเจ็บป่วยก็หาได้มีแต่เรื่องทางกายไม่ แต่ยังมีเรื่องของจิตใจ และสมองอีกด้วย ในโลกใบนี้ก็มีโรงพยาบาลจิตเวชอยู่มากมาย และมีผู้ป่วยจิตเวชหลายรายที่ต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
อย่างน้อยในเวลานี้หลิงหยุนกับฉินจิวยื่อก็สามารถยืนยันได้ว่า ปัญหาของหนิงหลิงยู่เวลานี้ สะท้อนให้เห็นถึงความแปลกแยกในความรักของครอบครัว ทัศนคติที่มีต่อผู้คนและสิ่งรอบตัว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์บางอย่าง แต่ยังไม่ถึงขั้นอันตรายและก้าวร้าว
แต่เรื่องนี้มิได้รวมถึงเรื่องของเย่ซิงเฉิน..
แต่นับว่ายังโชคดีที่เรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นเท่านั้นหลิงหยุนจึงสามารถพูดได้ว่ายังพอมีเวลา..
เวลานี้หลิงหยุนมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าปัญหาของหนิงหลิงยู่นั้น จะต้องเกิดจากทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วที่นางรับในครั้งนั้นเป็นแน่!
ท้องนภาที่รุ่งโรจน์ดอกบัวสีทอง ของขวัญจากสรวงสวรรค์ซึ่งมิได้มีเพียงแค่พลังอมตะสีทอง แต่ยังมีพลังอมตะสีม่วงด้วย.. หลิงหยุนเดินไปหยุดอยู่หน้าราวกั้นของศาลากลางน้ำฝ่ามือเท้าอยู่ที่ราวกั้น สายตาเหม่อมองออกไปทางด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นที่ตั้งของเทือกเขาคุนหลุน
“ท่านแม่..ท่านให้หลิงยู่ไปตระกูลหนิงเพียงลำพัง และจงใจห้ามมิให้ข้าติดตามนางไปด้วย ก็เพื่อที่จะได้คุยเรื่องนี้กับข้าในคืนนี้ใช่หรือไม่”
หลังจากที่หลิงหยุนกล่าวจบสีหน้าของฉินจิวยื่อกลับยังคงนิ่งเรียบ มิบอกว่ายอมรับหรือปฏิเสธ หลิงหยุนจึงได้แต่เอ่ยต่อว่า
“เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว..”
ฉินจิวยื่อเดินตามเข้าไปยืนข้างหลิงหยุนนางพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ความจริงในช่วงเวลาที่อยู่บนหน้าผาบนยอดเขาเทียนเฟิงนั้น ข้ากับหลิงยู่ก็อยู่ด้วยกันตลอดทั้งวันทั้งคืน ข้าจึงได้สอบถามเรื่องราวต่างๆตลอดที่เกิดขึ้นในระยะเวลาหกเดือน นางเองก็บอกเล่าอย่างละเอียด หลังจากได้ฟังจากปากของเจ้ากับตงเฉวี่ยอีกครั้ง ข้าจึงมั่นใจว่านางเองก็มิได้โกหก..”
ระหว่างที่พูดนั้นฉินจิวยื่อก็อดที่จะยิ้มขื่นออกมาเล็กน้อยไม่ได้ บุตรชายผู้ที่นางรับเลี้ยงมา และบุตรสาวที่นางให้กำเนิด แต่ทั้งคู่นางก็ล้วนแล้วแต่เลี้ยงดูขึ้นมาจนเติบใหญ่ด้วยมือของนางเอง ฉินจิวยื่อเฝ้าดูเด็กทั้งสองเติบใหญ่ขึ้นทุกๆวันในตลอดระยะเวลาสิบแปดปีที่ผ่านมาก แม้จะใช้ชีวิตที่เรียบง่ายธรรมดา แต่ก็สบายใจยิ่งนัก..
ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีที่นางระเห็ดมาอยู่ที่เมืองจิงฉูนั้นภายในจิตใจสิ่งที่เป็นห่วง และกังวลที่สุดก็เห็นจะเป็นเด็กทั้งสองคนนี้
คนหนึ่งมีชะตะกรรมที่จะสามารถมีอายุได้ถึงเพียงแค่ยี่สิบปีเท่านั้นส่วนอีกคนก็มีสัญญาเมื่อสิบแปดปีเป็นชะนักติดหลังอยู่..
หากจะพูดให้ตรงความหมายที่สุดก็คือ..ชะตากรรมของเด็กคนหนึ่งคือความตาย ส่วนชะตากรรมของเด็กอีกคนก็คือการพลัดพราก
ฉะนั้น..ฉินจิวยื่อจึงมิได้ถ่ายทอดวรยุทธให้กับพวกเขาทั้งสอง และมิได้เอ่ยถึงภูมิหลังของพวกเขา เพียงแค่หวังให้เด็กทั้งสองเติบใหญ่อย่างเช่นเด็กธรรมดาทั่วไปเท่านั้น และใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีความสุขที่สุด ก่อนที่จะต้องพบเจอกับชะตากรรมที่รออยู่..
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลังเทศกาลตรุษจีนผ่านไปไม่นานนัก ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันขึ้นในครอบครัว
เริ่มจากหลิงหยุนผู้ที่เคยถูกทำลายเส้นลมปราณหยางเจี๋วยกลับเปลี่ยนไปอย่างน่าอัศจรรย์ และแข็งแกร่งขึ้นอย่างยิ่งยวด!
หลิงหยุนผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนทำให้ผู้คนรอบข้าง หรือผู้ที่เคยรู้จักเขานั้นต่างก็พากันประหลาดใจ และตกใจไปตามๆกัน
ฉินจิวยื่อหาใช่เป็นเพียงมารดาของหลิงหยุนเท่านั้นแต่นางยังเป็นถึงยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนอีกด้วย..
ระหว่างหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่แล้วในฐานะมารดา.. นางจะแอบใส่ใจ และคอยปกป้องหลิงหยุนมากกว่าหนิงหลิงยู่
ในช่วงเวลาสั้นๆนางทั้งมีความสุขและเศร้าโศกอย่างมากในคราวเดียว เมื่อรู้สึกว่าตนได้สูญเสียลูกชายที่เฝ้าถนอมเลี้ยงดูมากับมือไป
หากจะพูดกันตามตรงหลิงหยุนในครั้งนั้น กับหนิงหลิงยู่ในครานี้ กลับมิได้แตกต่างกันเลยในสายตาของนาง
แม้ในความจริงแล้วจะแตกต่างกันอย่างชัดเจนนั่นก็คือในเวลานั้นหลิงหยุนได้สูญเสียความทรงจำก่อนหน้าไป แต่เขาพยายามปกปิดมันไว้ ในขณะที่หนิงหลิงยู่เปลี่ยนไปทั้งที่ยังเป็นคนเดิม
แต่สำหรับคนเป็นแม่แล้ว..ภายในเวลาห่างกันเพียงแค่หกเดือน แต่กลับต้องมาพบเจอกับลูกสาวที่เปลี่ยนไปอีกคน แต่ก็เป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดนางจึงได้สามารถสงบนิ่งเช่นนี้ได้..
เมื่อครึ่งปีก่อนหน้านี้ฉินจิวยื่อมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลิงหยุนกันแน่ ฉะนั้นแล้วสิ่งที่นางทำได้จึงมีเพียงแค่การยอมรับ.. ยอมรับกับชะตากรรมที่เกิดขึ้น
แต่การได้เห็นหลิงหยุนสามารถรักษาเส้นลมปราณหยางเจี๋ยวได้และสามารถเปลี่ยนมาเป็นมังกรที่สง่างามได้เช่นนี้ มิต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวว่าเมื่อใดจะอายุครบยี่สิบปีอีก เพียงแค่นี้ฉินจิวยื่อก็สบายใจอย่างยิ่งแล้ว
เพราะอย่างน้อย..‘หลิงหยุน’ ก็สามารถมีชีวิตรอดได้
ตลอดระยะเวลาหกเดือนที่ผ่านมาทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ ฉินจิวยื่อก็จะใช้ประโยคเช่นนี้ปลอบประโลมใจตนเอง
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปถึงครึ่งปีซึ่งก็คือวันนี้.. และเวลานี้!
หลิงหยุนกลับยิ่งแข็งแกร่งและทรงพลังมากขึ้นกว่าเดิมเขาได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ท้าทายและน่าหลงใหลยิ่ง หลิงหยุนมิมีสิ่งใดต้องปกปิดอีก นั่นเพราะความทรงจำทั้งสิบแปดปีก่อนหน้าได้กลับคืนมาแล้ว! และนั่นทำให้ฉินจิวยื่อตกใจอย่างที่สุดจนมิอาจอธิบายได้เพราะนั่นย่อมหมายความว่า เด็กหนุ่มผู้นี้คือลูกชายของเขาจริงๆ ลูกชายที่เขาเลี้ยงดูมากับมือ..
แต่เมื่อนางได้ลูกชายกลับคืนมาลูกสาวที่นางให้กำเนิดกลับเริ่มเปลี่ยนไปแทน..
นี่มันคือชะตากรรมเช่นใดกัน!
ฉินจิวยื่อได้แต่แอบถอนหายใจอยู่เงียบๆแม้นางเองจะศึกษาปรัชญา ศาสตร์แห่งฮวงจุ้ย ตัวเลข การดูนรลักษณ์ และศาสตร์อีกมากมายตั้งแต่เด็ก แต่นั่นก็มิได้ช่วยให้นางเข้าใจในเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นกับตนเองได้เลย
หากมองย้อนกลับไปในอดีตชะตากรรมของฉินจิวยื่อเองก็นับว่าตะกุกตะกัก ถึงขึ้นที่เรียกว่าแปลกประหลาดก็ว่าได้ แต่ลูกชายกับลูกสาวของนางนั้น หนึ่งคนรับมาเลี้ยงดู ส่วนอีกคนให้กำเนิดเอง แต่ทั้งคู่ในเวลานี้กลับขึ้นมาสู่จุดที่สูงที่สุด และมีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศอย่างน่าตกใจยิ่ง แต่.. ในฐานะผู้เป็นแม่..ก็ยากนักที่จะปล่อยวางมิให้ห่วงใยได้!
“ท่านแม่..ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่งั้นรึ”
หลิงหยุนเองก็กำลังตกอยู่ในห้วงความคิดเช่นกันแต่เมื่อเห็นฉินจิวยื่อที่จู่ๆก็เงียบไปเนิ่นนานเช่นนั้น จึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอะไร..”
ฉินจิวยื่อได้สติและรีบสะบัดไปมาเพื่อที่สลัดความสับสนต่างๆภายในใจออกไป แล้วจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งว่า
“ด้วยความแข็งแกร่งของหลิงยู่เวลานี้พวกเราคงมิต้องเป็นกังวลว่านางจะถูกศัตรูทำร้าย การที่ข้าให้นางไปตระกูลหนิงเพื่อเคารพบรรพชนนั้น เป็นสัญญาระหว่างตระกูลฉินและตระกูลหนิงด้วยเมื่อสิบแปดปีก่อนด้วย..”
“ท่านแม่..มีสิ่งหนึ่งที่ข้ามิคิดจะถามท่าน แต่ในเมื่อท่านเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเอง ข้าก็อยากจะถามให้มันชัดเจน” หลิงหยุนเอ่ยออกมา
ฉินจิวยื่อยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยตอบ“เด็กโง่.. ยังมีสิ่งใดที่ข้าต้องปิดบังเจ้าอีกกันเล่า เจ้าอยากจะถามเรื่องใดก็จงถามออกมาเถิด”
หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับเอ่ยถามออกมาด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน“เมื่อครั้งที่ท่านแม่ตั้งท้องหลิงยู่จนกระทั่งให้กำเนิดนางนั้น มีปรากฏการณ์ใดเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ อย่างเช่น.. บางสิ่งที่ท่านเองก็มิอาจเข้าใจหรือหาคำตอบได้..”
“มีสิ!”
ฉินจิวยื่อเอ่ยตอบทันทีโดยมิต้องใคร่ครวญ“แต่มิได้มีหลายเหตุการณ์มากนัก มีเพียงแค่สองเหตุการณ์เท่านั้น!”
“เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ข้าตั้งท้องหลิงยู่อยู่ครั้งนั้นข้าอยู่ที่ตระกูลหนิง และตี๋เสี่ยวเจินก็บุกมาหาข้า และฟาดฝ่ามือใส่ข้า..” หลิงหยุนสังเกตเห็นว่าสีหน้าของฉินจิวยื่อเมื่อพูดถึงตี๋เสี่ยวเจินนั้น กลับดูสงบนิ่งราวกับว่ากำลังพูดคนบุคคลที่มิได้เกี่ยวข้องกับนาง
“หลงหยุน..เจ้ามิต้องจับตาดูข้าอย่างละเอียดละออถึงเพียงนั้น หลังจากทำการเซ่นไหว้ดวงวิญญาณของท่านลุงหนิงผ่านไปเจ็ดวันแล้ว ทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่ผ่านไปแล้วทั้งสิ้น..”
และนี่คืออารมณ์ความรู้สึกของฉินจิวยื่อเวลานี้!
“ความจริงแล้ว..ครั้งนี้ตี๋เสี่ยวเจินนับว่าลงมือกับเข้ารุนแรงนัก นอกจากความเคียดแค้นของนางแล้ว ขั้นของนางก็เหนือกว่าข้ามาก มิควรที่ข้าจะรักษาชีวิตให้รอดมาได้ด้วยซ้ำไป..”
“แต่กลับปรากฏว่า..ไม่เพียงข้าสามารถรอดชีวิตมาได้ และไม่เพียงไม่ได้รับบาดเจ็บ แม้แต่จุดตันเถียนกลับมิได้รับความเสียหาย และยังคงอยู่ในสภาพดีดังเดิมอีกด้วย” หลิงหยุนกระพริบตา“แล้วเหตุการณ์ที่สองเล่า”
“ครั้งที่สองเกิดขึ้นในวันที่ข้าให้กำเนิดนางในวันนั้นเกิดฝนตกหนักในเมืองจิงฉูอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบร้อยปี และตกอยู่ตลอดทั้งวัน”
หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“เรื่องนั้นข้าพอรู้ เพราะเหตุนี้ท่านจึงตั้งชื่อให้นางว่าหลิงยู่!”
แต่ฉินจิวยื่อกลับส่ายหน้า“มิใช่อย่างที่เจ้าคิด หากข้าตั้งชื่อนางเพราะเหตุนั้นจริง นางควรจะต้องชื่อหนิงยู่ มิใช่หนิงหลิงยู่..”
“เอ่อ..”
หลิงหยุนได้แต่นิ่งอึ้งไป!
“นี่ท่านหมายความว่าฝนนั้น..คือ..”
ฉินจิวยื่อยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยต่อ“ที่ข้าตั้งชื่อหลิงยู่ให้นางนั้นก็เพราะว่า ในวันนั้นเมื่อฝนเริ่มตกหนัก พลังชีวิตมากมายก็ได้กระจายไปทั่วทั้งเมืองจิงฉู และความหนาแน่นของมันก็มากมายเกินกว่าที่จะละลายหายไปได้ ”
“ครั้งนั้น..ข้าเองก็ประสบกับภาวะที่คลอดบุตรลำบากจนเกือบเสียชีวิตไปหลายครั้ง หลังจากที่ข้าสามารถคลอดนางออกมาได้อย่างยากลำบากนั้น นางก็ร้องไห้ไม่หยุดจนกระทั่งฝนหยุดตก!”
หลิงหยุนนิ่งชะงักไปในทันที!
ปรากฏการณ์ทั้งสองที่ฉินจิวยื่อเล่าให้ฟังนั้นนับว่าเป็นข้อมูลที่มีความหมายยิ่ง!
ทารกในครรภ์คุ้มครองแม่บังเกิดเกล้ารวมถึงการถือกำเนิดของหนิงหลิงยู่!
หลิงหยุนได้แต่คิดว่าไม่แปลกเลยที่หนิงหลิงยู่มีกายทิพย์มาตั้งแต่กำเนิดเช่นนั้น แต่ที่แปลกประหลาดก็คือ…
ในเมืองเล็กๆเช่นจิงฉู..หลังจากผ่านมาสิบแปดปี จะมีหนุ่มสาวที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ซึ่งเหมาะสมแก่การฝึกบ่มเพาะมากมายถึงเพียงนี้! หลิงหยุนนึกถึงศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้งเจ็ดสิบสองคนพวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเด็กหนุ่มที่อยู่ในวัยสิบแปดปี หรือไม่ก็มากกว่าเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ยิ่งครุ่นคิดให้ลึกซึ้งกว่านั้นหลิงหยุนก็ยิ่งรู้สึกว่าแม้แต่สมองของเขายังมิเพียงพอที่จะครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้..
แม้แต่พู่กันจักรพรรดิที่บรรพชนตระกูลหลี่เป็นผู้ขโมยมานั้นในที่สุดก็ยังมาอยู่ที่เมืองจิงฉูได้โดยบังเอิญ..
แม้หม้อเสินหนงจะถูกฝังอยู่ในหุบเขาโอสถลี้ลับในป่าเสินหนงเจี๋ยแต่สมุดจักรพรรดิก็ถือกำเนิดขึ้นในค่ายกลมังกรหยิน–หยางซึ่งอยู่ในเมืองจิงฉูอีกเช่นกัน
แม้จะดูเหมือนเป็นโชคชะตาที่นำพาให้เป็นเช่นนี้แต่โชคชะตานี้ก็อัศจรรย์และลี้ลับมากเหลือเกิน! แต่หากเป็นการตระเตรียมของปรมาจารย์ในยุคสมัยโบราณ ก็นับว่าเป็นการตระเตรียมที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง!
นอกเหนือจากความตกใจแล้วหลิงหยุนก็แอบดีใจที่คืนนี้ตนเองกับมารดาได้มีโอกาสสนทนากันเช่นนี้ ทำให้เขาได้ถามคำถามสำคัญ และได้รับข้อมูลที่สำคัญกลับมาเช่นนี้
“อ่อ..ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง มิรู้ว่าจะนับเป็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดได้หรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร