บทที่ 1467 : ถูกแทรกแซง
ฉินจิวยื่อนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้นางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อว่า “หลังจากหลิงยู่เกิดมาได้เพียงแค่ครึ่งเดือน คืนหนึ่งนางก็เกิดมีไข้สูงจนหมดสติไป ข้าใช้ทุกหนทางรักษานางแต่ก็มิได้ผล จึงได้นำนางไปฝากให้หลี่หงเม่ยเพื่อนบ้านช่วยดูแล ส่วนตัวข้าก็ขับรถไปที่อารามหลิงเจี๋วยท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาในยามค่ำคืน เพื่อตั้งใจจะไปจุดธูปขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นั่น..”
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ฉินจิวยื่อก็ได้หยุดชะงักไปเล็กน้อย พร้อมกับหันไปมองหลิงหยุนด้วยแววตาที่อ่อนโยน
เรื่องราวหลังจากนั้นแน่นอนว่าหลิงหยุนย่อมรู้ดีอยู่แล้วเขาจึงพึมพำออกไปว่า “จากนั้น ท่านแม่ก็ได้พบกับข้าบนเขาแห่งนั้นสินะ..”
ฉินจิวยื่อพยักหน้า“ถูกต้อง.. เมื่อครั้งนั้นที่ข้าพบเจ้า ตัวของเจ้ายังเล็กเท่าๆกับหลิงยู่ เห็นเจ้าถูกทิ้งไว้บนเนินเขาแห้งแล้งเช่นนั้น ในใจก็มิอาจนิ่งดูดายได้ จึงได้อุ้มเจ้ากลับมาด้วย”
ฉินจิวยื่อรำลึกถึงเรื่องราวในอดีตและบอกเล่าด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนของผู้เป็นมารดา
“แต่จะว่าไป..นี่คงเป็นโชคชะตาของพวกเราแม่ลูก นั่นเพราะท่านน้าจินเหยียวของเจ้า ได้ซ่อนร่างของเจ้าไว้อย่างมิดชิดนัก แต่ก็มิได้ห่างไกลจากเส้นทางขึ้นเขามากจนเกินไป คืนนั้นมิเพียงสายฝนที่กระหน่ำลงมา ตัวข้าเองยังขับรถไปด้วยความเร็วมาก ข้าควรต้องขับรถเลยไปแล้ว และมิควรได้พบเห็นเจ้า”
“แต่กลับกลายเป็นว่าครั้งนั้นจู่ๆเจ้าก็ร้องไห้ออกมา เสียงร้องของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก!”
ในที่สุดหลิงหยุนก็ได้ยินฉินจิวยื่อเล่าเรื่องของตนเสียทีเขาจึงตั้งใจฟังด้วยความสนอกสนใจยิ่ง
“เจ้าลองคิดดู..เด็กทารกมิร้องไห้ก่อนหน้า และมิร้องไห้หลังจากนั้น แต่กลับร้องในจังหวะที่ข้าขับรถผ่านไปเช่นนั้น เจ้าว่านี่มิใช่โชคชะตาหรอกรึ”
“ข้าตามเสียงร้องไห้ของเจ้าไปจึงได้พบเจ้าอยู่ที่นั่น เวลานั้นแม้เจ้าจักยังเป็นเพียงแค่เด็กทารก แต่กลับมีคู่คิ้วที่งดงามยิ่ง ใบหน้าก็หล่อเหลาอย่างมาก จนข้าอดไม่ได้ต้องอุ้มเจ้าขึ้นมา แต่ก็น่าแปลก.. เมื่อข้าอุ้มเจ้าขึ้นมา เจ้ากลับหยุดร้องไห้ในทันที!”
“ระหว่างที่ข้าอุ้มเจ้าไว้ในอ้อมอกนั้นข้าเองก็ลังเลอยู่ว่าจะขึ้นเขาต่อไปดี หรือจะลงเขาไปในทันที หรือจะอยู่ที่นั่นรอจนกว่าครอบครัวของเจ้าจะกลับมา แต่ในระหว่างที่ข้ากำลังลังเลอยู่นั้น ไต้ซือเฉวียนหมิงก็ปรากฏตัวขึ้น..”
“หลังจากไต่ถามรายละเอียดจากข้าแล้วเขาก็บอกให้ข้ารีบลงเขาไป และปฏิเสธที่จะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของเจ้ากับข้า อีกทั้งยังมิได้เอ่ยถึงพรรคมารเลยแม้แต่น้อย เขาคงจะเกรงว่าหากข้ารู้ว่าเจ้ามีความเกี่ยวพันกับพรรคมาร ข้าอาจจะมิยอมนำเจ้ากลับไปบ้านด้วยก็เป็นได้..”
“แต่ก็น่าแปลกยิ่งนัก..หลังจากที่ข้าพาเจ้ากลับไปบ้านด้วย หลิงยู่กลับหายป่วยในทันที และทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ เจ้าหารู้ไม่ว่าข้านึกขอบคุณเจ้ามากเพียงใด และได้ตัดสินใจที่จะเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่นับตั้งแต่นั้นมา..”
ฉินจิวยื่อเอ่ยเพียงแค่นั้นก็นิ่งเงียบไปเวลานี้ภายในศาลากลางน้ำจึงเหลือเพียงความเงียบสงัด และลมหายใจของคนทั้งสอง
สำหรับฉินจิวยื่อ..เรื่องนี้คือความทรงจำของนาง แต่สำหรับหลิงหยุนนั้น เรื่องนี้นับเป็นจุดพลิกผันของชะตากรรมเขาเลยทีเดียว และในที่สุดเรื่องราวในอดีตของหลิงหยุนก็ได้ถูกปะติดปะต่ออย่างสมบูรณ์
“ความจริงทั้งหมดเป็นเช่นนี้เองหรอกรึ!”
ผ่านไปเนิ่นนาน..ในที่สุดหลิงหยุนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่..
ก่อนหน้านี้แม้เขาจะได้ฟังเรื่องราวจากหลวงจีนเฉวียนจื้อมาบ้างแล้ว แต่ก็มิได้ล่วงรู้รายละเอียดทั้งหมดเช่นนี้ และด้วยการบอกเล่าอย่างละเอียดยิบย่อยของฉินจิวยื่อ ทำให้ภาพการพบกันของสองแม่ลูกนั้นชัดเจนแจ่มแจ้งมากยิ่งขึ้น
และนี่คือโชคชะตาที่นำพาคนทั้งหมดเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันกัน..
โชคชะตาดั้งเดิมในเวลานั้นหรือก่อนหน้านั้น ล้วนแล้วแต่มีความเกี่ยวพันกับหนิงหลิงยู่อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
หากหนิงหลิงยู่มิได้มีไข้สูงในคืนนั้นฉินจิวยื่อก็คงมิต้องไปอารามหลิงเจี๋วยในค่ำคืนที่ฝนตกหนัก และย่อมมิได้พบเจอกับเขา..
ตรงกันข้าม..หากท่านน้าจินเหยียวมิได้ถูกซือกงถูไล่ล่ามาถึงเมืองจิงฉู และมิได้รับอันตรายอันใด หนิงหลิงยู่ก็อาจจะมิมีไข้สูงก็เป็นได้
ดูเหมือนว่า..จะมีมือที่มองไม่เห็นคอยผลักดันกงล้อแห่งโชคชะตานี้ให้ดูคล้ายกับความบังเอิญ แต่กลับเป็นไปอย่างแม่นยำจนมิอาจหลีกเลี่ยงได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนจึงอดมิได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน..
หรือนี่จะเป็นการแทรกแทรงของใครบางคนสินะ
หลิงหยุนหนิงหลิงยู่ ฉินจิวยื่อ ชะตากรรมเช่นนี้ หากแม้แต่โม่วู๋เตายังสามารถอธิบายได้ เขาก็คงจะน่าอัศจรรย์ยิ่งแล้ว!
เวลาล่วงเลยไปอีกโดยมิรู้ตัวและตอนนี้ก็ได้เข้าสู่เวลาตีสามของเช้าวันใหม่แล้ว..
“ท่านแม่..เรื่องของหลิงยู่นั้นข้ารับปากว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้เอง ท่านอย่างได้กังวลใจไป เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว ท่านควรจะกลับเข้าไปพักผ่อนเสียก่อน”
หลิงหยุนกับฉินจิวยื่อนั่งสนทนากันร่วมสี่ชั่วโมงกว่าและได้แลกเปลี่ยนความคิดกันมากมายพอควรแล้ว หลิงหยุนจึงต้องการให้นางกลับไปพักผ่อน เพราะนางเองก็ยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูสภาพร่างกาย ฉินจิวยื่อยิ้มออกมาพร้อมกับจ้องมองไปยังต้นหลิวเทวะวิญญาณ“ข้าอยู่ที่นี่ได้รับพลังชีวิตเข้าไปตั้งมากมาย จะเหนื่อยล้าที่ไหนกันเล่า”
หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปว่า“ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้อง!”
ฉินจิวยื่อกล่าวต่อ“เรื่องของหลิงยู่นั้น ข้าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าจัดการ แต่หากเจ้ามีเรื่องใดที่จะต้องบอกกับข้า ก็อย่าได้ลังเลที่จะบอกกับข้าอย่างตรงไปตรงมา”
หลิงหยุนได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกดีอกดีใจยิ่งและรีบตอบกลับด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ขอบคุณท่านแม่ยิ่งนัก!”
ฉินจิวยื่อยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยต่อว่า“หลิงหยุน เมื่อคืนเจ้าคงจะเอาแต่ดื่มจนมิได้กินอะไรรองท้องบ้างเลยสินะ เจ้าหิวหรือไม่ ข้าจะไปทำอะไรให้เจ้ากิน..”
“ขอบคุณท่านแม่..ข้าคิดถึงรสชาติอาหารฝีมือของท่านแม่มานานแล้ว!” หลงหยุนเอ่ยตอบทันที “ถ้าเช่นนั้นข้าจะเข้าไปทำอาหารให้เจ้ากินเดี๋ยวนี้ล่ะ..”
“ข้าจะไปคอยเป็นลูกมือให้ท่านแม่เอง..”
จากนั้นหลิงหยุนก็เดินตามฉินจิวยื่อเข้าครัวไปทั้งสองแม่ลูกต่างก็ช่วยกันทำอาหารไป แล้วก็คุยกันไปอย่างมีความสุข
“จากนี้ไปเจ้ามีแผนจะทำอะไรบ้างข้าได้ยินจากตงเฉวี่ยว่าเจ้าจะเดินทางไปเผ่าเหมี่ยวเจียง เพื่อช่วยท่านหมอเสี่ยวแก้ปัญหางั้นรึ?”
“ใช่แล้วท่านแม่..หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย ข้าก็จะเดินทางกลับจิงฉูทันที”
“เวลานี้เจ้าก็ล่วงรู้ฐานะของตนเองแล้วเมื่อใดจึงจะไปช่วยท่านแม่ของเจ้ารึ”
ฉินจิวยื่อถามถึงท่านแม่ของหลิงหยุนนั้นย่อมหมายถึงหยินชิงเฉวียนนั่นเอง..
“เวลานี้ยังเร็วเกินไปข้าคงต้องรอไปจนถึงปีหน้าเป็นแน่ เวลานี้ข้าเพิ่งจะเข้าสู่ระดับกลางขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) เท่านั้นรอให้ข้าเข้าสู่ขั้นชีเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-7) ซึ่งเป็นด่านสุดท้ายของขั้นพลังชี่เสียก่อน ถึงยามนั้น ข้าจะไปช่วยท่านแม่ออกมาจากพรรคมาร หลังจากนั้นครอบครัวของเราจะได้อยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง..”
ฉินจิวยื่อพยักหน้าพร้อมกับยิ้มออกมา“ข้าจะเฝ้ารอให้ถึงวันนั้น วันที่เจ้าสามารถช่วยท่านแม่ของเจ้าออกมาได้ ข้าจะได้มีโอกาสสนทนากับนาง..”
เมื่อครั้งที่หลิงหยุนไปช่วยฉินจิวยื่อนั้นเขาได้แสดงความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวออกมาให้เห็นแล้ว ฉะนั้นฉินจิวยื่อจึงมิได้รู้สึกกังวลที่หลิงหยุนจะไปช่วยหยินชิงเฉวียน
“ท่านแม่..เท่าที่ข้าเห็น อีกเพียงแค่หนึ่งเดือนท่านก็จะสามารถฟื้นคืนได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ทราบว่าถึงเวลานั้นท่านคิดที่จะ.. เข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะหรือไม่”
หลิงหยุนเคยคิดถึงเรื่องนี้เมื่อมีโอกาสจึงได้เอ่ยถามฉินจิวยื่อออกไป..
หลิงหยุนเห็นชัดว่าเวลานี้แม่ของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นมากและพรสวรรค์ก็มิได้ด้อยไปกว่าฉินตงเฉวี่ย หากนางตัดสินใจที่จะเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะ ย่อมต้องสามารถก้าวหน้าได้อย่างน่าอัศจรรย์เป็นแน่..
“ความจริงแล้ว..ข้าเองก็มิได้ครุ่นคิดเรื่องการฝึกปรือวรยุทธมากนัก ตั้งแต่เด็กมาข้าก็ชื่นชอบการศึกษาปรัชญา ศาสตร์ด้านการแพทย์จีนแผนโบราณ ศึกษาธาตุทั้งห้า และศาสตร์อื่นอีกมากมาย..”
หลิงหยุนจัดเตรียมจานใส่อาหารไปวางไว้ข้างเตาให้กับฉินจิวยื่อพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่.. ข้าได้เห็นค่ายกลที่ท่านสร้างขึ้นด้วย!”
ความจริงแล้วศาสตร์ต่างๆที่ฉินจิวยื่อเอ่ยออกมานั้นล้วนแล้วแต่ข้องเกี่ยวกันทั้งสิ้น หากนางสนใจเรื่องการแพทย์แผนจีน ย่อมต้องศึกษาเรื่องหยินหยางและธาตุทั้งห้าเช่นกัน..
ฉินจิวยื่อยิ้มออกมาและตอบหลิงหยุนไปว่า“ข้าพอรู้เรื่องค่ายกลอยู่บ้าง แต่หากเทียบกับเจ้าแล้ว ยังนับว่าห่างไกลนัก..” นางมิได้รู้สึกอับอายที่จะยกย่องว่าหลิงหยุนนั้นแข็งแกร่งกว่าตน..
“ท่านแม่..ในเมื่อท่านสนใจเรื่องเหล่านี้ รอให้ท่านพักฟื้นจนสมบูรณ์ดังเดิมเสียก่อน จากนั้นข้าจึงค่อยถ่ายทอดเรื่องพวกนี้ให้กับท่าน”
สำหรับหลิงหยุนแล้ว..เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสอนเรื่องการสังหารเข่นฆ่าให้แก่นาง!
“ก็ดีเหมือนกัน!”
ฉินจิวยื่อเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับยื่นจานอาหารให้กับหลิงหยุน“เจ้าเอานี่ไปไว้ที่โต๊ะก่อน..”
หลิงหยุนรับจานอาหารจากฉินจิวยื่อไปไว้ที่โต๊ะอาหารด้วยความรู้สึกเปี่ยมสุข..
“ท่านแม่..รอให้โม่วู๋เตาฟื้นขึ้นมาเสียก่อน หมอนั่นมิชอบการฝึกฝนวิชาเช่นกัน เขาชื่นชอบการศึกษาเรื่องชีวิต ท่านสามารถสนทนากับเขาได้”
“งั้นรึดีทีเดียว..” ฉินจิวยื่อยังคงทำอาหารจานอื่นต่อไปในขณะเดียวกันก็เอ่ยกับหลิงหยุนด้วยความเป็นห่วง
“หลิงหยุนข้ารู้ว่าตลอดครึ่งปีมานี้เจ้ามีภารกิจเยอะแยะมากมาย ข้ารู้ว่าเจ้ามีใจให้แก่ทุกคนในครอบครัว แต่หลังจากช่วยท่านแม่ของเจ้าออกมาได้แล้ว เจ้าควรต้องหยุดพักผ่อนเสียบ้าง..”
“ขอบคุณท่านแม่ที่เป็นห่วงข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก!” หลิงหยุนเอ่ยตอบด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจยิ่ง
หลังจากที่สองคนแม่ลูกช่วยกันทำอาหารจนเสร็จแล้วและด้วยฝีมือการทำอาหารของฉินจิวยื่อแล้ว ทำให้หลิงหยุนถึงกับอดใจแทบไม่ได้..
หลิงหยุนกินไปคุยกับฉินจิวยื่อไปจนกระทั่งเข้าสู่เวลาตีห้าจึงเสร็จสิ้นอาหารมื้อดึกของเขา..
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนก็ได้เรียกหงส์ไฟออกมา และทำการหลอมแหวนจักรวาลให้กับนาง และที่เขาทำเช่นนี้ต่อหน้าฉินจิวยื่อก็เพื่อโอ้อวดเท่านั้น การหลอมแหวนดำเนินไปไม่ถึงสิบนาที..
ฉินจิวยื่อได้เห็นหลิงหยุนหนิงหลิงยู่ ฉินตงเฉวี่ย และอีกหลายๆคนมีแหวนพื้นที่เช่นนี้ก่อนหน้าแล้ว จึงมิได้รู้สึกตกใจนัก หลังจากทำการหยดเลือดลงไปแล้ว จึงได้นำมาสวมใส่ที่นิ้ว
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ได้มอบน้ำลายมังกรขวดใหญ่โสมหลายพันปี สมุนไพรเหอโชวู และโอสถพลังชีวิตอีกมากมายให้กับแม่ของเขาเก็บไว้ใช้ในวันข้างหน้า
“หลิงหยุน..เจ้ามีสมบัติล้ำค่ามากมายถึงเพียงนี้เชียวรึ”
ฉินจิวยื่ออดถามออกมาไม่ได้เมื่อพบว่าหลิงหยุนนำของล้ำค่าออกมาพร้อมกันมากมายถึงเพียงนี้
“ข้ายังมีของล้ำค่าอีกมากมายเพียงแต่สิ่งอื่นๆยังไม่จำเป็นต่อท่านแม่ในเวลานี้ เมื่อใดที่ท่านต้องการใช้ ข้ายินดีจะมอบให้ทันที!”หลิงหยุนเอ่ยตอบด้วยสีหน้าท่าทางภาคภูมิใจ
มารดาที่ประเสริฐเช่นนี้มิว่านางต้องการสิ่งใด หลิงหยุนย่อมยินดีที่จะมอบให้..
จนกระทั่งเวลาตีห้าครึ่งหลิงหยุนจึงขอให้ฉินจิวยื่อกลับเข้าไปพักผ่อนที่ห้อง ส่วนเขาก็เหาะออกจากหมู่บ้านตระกูลฉินไปอย่างเงียบๆ
หลังจากที่เหาะพ้นจากรัศมีค่ายกลสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแล้วหลิงหยุนก็ใช้วิชาล่องหน เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงกว่าหนึ่งหมื่นเมตร และกำลังเหาะอยู่เหนือเทือกเขาชิงหลิง
เขาฝึกวิชาดาราคุ้มกายและวิชามังกรทองคะนองอยู่เบื้องบน!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร