Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1468

บทที่ 1468 : เร่งพัฒนาขั้นบ่มเพาะ
  แม้ต่อหน้าฉินจิวยื่อหลิงหยุนจะเฝ้าพร่ำบอกว่าเรื่องปัญหาของหนิงหลิงยู่นั้นเป็นเรื่องที่จัดการได้ไม่ยาก แต่ความจริงแล้วเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่า มันเป็นเรื่องยากมหันต์ที่จะสะสางปมปัญหาของหนิงหลิงยู่..
  นั่นเพราะปัญหาของนางนั้นเกิดขึ้นเพราะทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วเมื่อหนึ่งเดือนก่อน!
  การจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ย่อมหมายถึงกับเผชิญหน้ากับกฏสวรรค์!
  หลิงหยุนยังจดจำได้อย่างแม่นยำว่าครั้งนั้นทั้งพู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิต่างก็ช่วยเขาฉกฉวยของขวัญจากสรวงสวรรค์มา และช่วยเขารับมือกับสายฟ้าเทวะที่น่าสะพรึงกลัว และสายฟ้าในพายุหมุนลูกใหญ่!
  ภาพในคืนนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจของเขาอย่างยากที่จะลืมเลือนได้..
  หลิงหยุนรู้สึกอย่างบอกไม่ถูกว่าหากเขามิสามารถสังหารเจ้าของสายฟ้านั่นได้ หรือสะกดอีกฝ่ายไว้ได้ เขาก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องของหนิงหลิงยู่ได้เลย..
  แต่ต้องฝึกวรยุทธบ่มเพาะถึงขั้นใดกันเขาจึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้
  แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นสังหารเจ้าของอสุนีบาตแม้หลิงหยุนจะไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับหนิงหลิงยู่อย่างถาวรได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถสะกดไว้ได้ชั่วคราวได้ และสิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือ.. สืบหาให้ได้ว่าปัญหาที่แท้จริงของหนิงหลิงยู่คืออะไรกันแน่
  แต่เพียงแค่เรื่องนี้ก็นับว่ายากยิ่งนักเพราะการที่เขาจะทำเช่นนั้นได้ ย่อมต้องมีขั้นพลังบ่มเพาะที่เหนือกว่าหนิงหลิงยู่ถึงสามขั้น หาไม่แล้ว.. เขาคงหลงเหลือเพียงแค่หนทางเดียวคือ ต้องขอความร่วมมือจากหนิงหลิงยู่ และให้นางบอกเล่าปัญหาออกมาเอง ซึ่งไม่มีทางที่นางจะยินยอม..
  เวลานี้ทั้งตัวเขาเองฉินจิวยื่อ และเย่ซิงเฉิน ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าหนิงหลิงยู่นั้นมีปัญหาจริงๆ เพียงแต่นางแสร้งทำตัวเป็นปกติเหมือนมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น และหากนางยังทำเหมือนมิมีอะไรเช่นนี้ ผู้อื่นจะช่วยนางได้อย่างไรกัน..
  เวลานี้ทั้งตัวเขาและหนิงหลิงยู่ต่างก็อยู่ในระดับกลางขั้นลิ่วเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-6) แต่หากเทียบกันจริงๆแล้ว ความแข็งแกร่งของหลิงหยุนนั้นย่อมเหนือกว่าหนิงหลิงยู่อย่างแน่นอน
  พูดกันตามความจริง..หากหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่เกิดต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายขึ้นมาจริงๆ หลิงหยุนย่อมสามารถสังหารหนิงหลิงยู่ได้เป็นแน่
  แต่ปัญหาคือหนิงหลิงยู่หาใช่ศัตรูของหลิงหยุนไม่และหลิงหยุนเองก็มิเคยมีความคิดที่จะสังหารนางแม้แต่น้อย ตรงข้าม.. เขาต้องการช่วยเหลือนาง ช่วยแก้ปัญหาให้กับนาง!
  ในเมื่อไม่สามารถเจรจาตรงๆได้จะสู้กันก็ไม่ได้เช่นกัน และยิ่งมิสามารถลงมือสังหารได้..
  ฉะนั้นแล้วจึงเหลือเพียงแค่หนทางเดียวเท่านั้นคือหลิงหยุนจำต้องฝึกปรือ และพัฒนาขั้นพลังของตนเองให้สูงขึ้น และเหนือกว่าขั้นพลังของหนิงหลิงยู่ เพื่อที่ว่าเขาจะได้สามารถสังเกตจุดซือไห่ของนางได้ ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่
  หนิงหลิงยู่มีกายอัปสรอีกทั้งยังได้รับรางวัลจากสรวงสวรรค์เวลานี้ร่างกายของนางมีทั้งพลังอมตะสีทอง และพลังอมตะสีม่วงอยู่ภายใน เรียกได้ว่าสามารถฝึกฝนเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้อย่างสบายไร้อุปสรรคเลยทีเดียว
  แม้หลิงหยุนเองจะมีร่างกายที่น่าอัศจรรย์และท้าทายสวรรค์ยิ่ง แต่ร่างกายของหนิงหลิงยู่ก็มิได้ด้อยไปกว่าเขาเลย ฉะนั้นการจะฝึกฝนให้มีขั้นพลังบ่มเพาะเหนือกว่านางนั้น ย่อมมิใช่เรื่องที่จะสามารถทำได้โดยง่าย
  แต่นับว่าโชคดีที่นี่คือการกลับมาเกิดอีกครั้งของหลิงหยุนและจิตวิญญาณที่นำมาเขามาจุติในร่างใหม่นี้ ก็นับเป็นจิตวิญญาณในขั้นอมตะที่ทรงพลังยิ่ง นี่จึงนับเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้เขาสามารถฝึกวรยุทธบ่มเพาะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วยิ่ง..
  หลิงหยุนได้ตัดสินใจแล้วว่านับจากนี้ไปเขาจะไม่ถ่ายทอดวรยุทธบ่มเพาะใดๆ ให้กับหนิงหลิงยู่อีก จนกว่าเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับนางได้เสียก่อน
  ฉะนั้นแล้วสิ่งเดียวที่หลิงหยุนต้องทำในเวลานี้ก็คือ การเร่งฝึกฝนวรุยทธบ่มเพาะ และทำให้ตนเองก้าวหน้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้!
  “การฝึกบ่มเพาะแข่งกับผู้ที่มีกายอัปสรเช่นนี้นับเป็นเรื่องที่กดดันยิ่งนัก..”
  บนยอดเขาไท่ไป่ซึ่งนับเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาฉินหลิงและมีความสูงมากกว่าสามพันเจ็ดร้อยเมตร หลิงหยุนยืนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และเฝ้าครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ก่อนที่จะเริ่มฝึกวิชาดาราคุ้มกายอย่างเอาเป็นเอาตาย..   หลิงหยุนรู้อยู่แก่ใจดีว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเร่งฝึกวรยุทธบ่มเพาะ ให้เหนือกว่าหนิงหลิงยู่สามขั้นก่อนที่นางจะเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานได้..
  ก่อนอื่นเขาจะต้องเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐานนำหนิงหลิงยู่ไปให้ได้ก่อน แล้วจึงค่อยเร่งฝึกฝนต่อไปให้เข้าสู่ขั้นเบิกเนตร ขั้นหลอมรวม ขั้นผสานใจ และขั้นแก่นทองคำ
  การจะแก้ปัญหาเรื่องหนิงหลิงยู่นั้นจุดสำคัญอยู่ที่ขั้นเบิกเนตร และขั้นผสานใจ..
  หลิงหยุนรู้ดีกว่าผู้ใดว่าในขั้นใดของการฝึกปรือ จะต้องพบเจอกับอุปสรรคเช่นใด และจะได้รับพลังเหนือธรรมชาติแบบใด..
  สำหรับผู้ฝึกบ่มเพาะพลังที่สามารถเข้าสู่ขั้นเบิกเนตรได้นั้นดวงตาของคนผู้นั้นจะเปลี่ยนเป็นเนตรเทวะ
  ส่วนในขั้นผสานใจนั้นเป็นการฝึกจิตวิญญาณหยิน สำหรับผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะนั้น จิตใจคือทุกสิ่งทุกอย่าง โลกภายนอกมีสิ่งยั่วยวนมากมาย เมื่อผ่านขั้นผสานใจไปได้แล้ว ผู้ฝึกวรยุทธบ่มเพาะจึงจะสามารถหลอมรวมแก่นทองคำซึ่งเป็นบาทฐานของแก่นเต๋าทองคำได้
  และแทบไม่ต้องสงสัยว่าในขั้นนี้จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่หลิงหยุนจะสามารถแก้ปัญหาให้กับหนิงหลิงยู่ได้
  ฉะนั้นเขาจำเป็นต้องรีบเร่งฝึกฝนให้เข้าสู่สองขั้นนี้ให้ได้โดยเร็ว หาไม่แล้วหากปล่อยให้หนิงหลิงยู่หลอมแก่นทองคำได้ก่อน ทุกอย่างก็เป็นอันจบ..
  สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดในเวลานี้..หลิงหยุนต้องมั่นใจว่าตนเองจะสามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าหนิงหลิงยู่!
  เช่นนี้แล้วเขาจะไม่ฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตายได้อย่างไรกันเล่า
  แต่ถึงอย่างไรการฝึกฝนที่พลาดพลั้งย่อมเป็นอันตรายถึงชีวิตได้แม้จะต้องเร่งรีบฝึกฝนมากเพียงใด แต่หลิงหยุนก็ต้องไปอย่างมั่นคงด้วย เพื่อมิให้ปัจจัยภายนอกสามารถส่งผลต่อจิตแห่งเต๋าของตน..   แต่จิตวิญญาณในขั้นอมตะนั้นก็ใช่ว่าจะสามารถถูกสิ่งเล็กๆน้อยๆภายนอกกระทบได้..
  สองชั่วโมงผ่านไปจนกระทั่งเข้าสู่เวลาเจ็ดโมงเช้าดวงอาทิตย์ก็ได้ขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ หลิงหยุนจึงหยุดฝึกวิชาดาราคุ้มกาย เขาเปลี่ยนมาดูดซับปราณมังกรเข้าไป และเริ่มฝีกวิชามังกรทองคะนองต่อ
  ส่วนวิชาพลังลับหยิน–หยางนั้นหลิงหยุนมิจำเป็นต้องจงใจฝึก หรือจงใจเดินพลังอีก เพราะจุดตันเถียนมหัศจรรย์ของเขานั้นได้หมุนอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา และนั่นเท่ากับเป็นการฝึกฝนวิชานี้แล้ว
  หลิงหยุนนั่งขัดสมาธิและพ่นเปลวเพลิงห้าธาตุหยิน–หยางออกมาเปลวไฟทั้งเจ็ดได้ครอบคลุมกายเขาไว้ทั่วทั้งร่าง และกำลังบ่มเพาะกายเนื้อ จุดซือไห่ และจุดตันเถียนของเขาอย่างต่อเนื่อง
  ภายใต้การฝึกวิชามังกรทองคะนองนั้นปราณมังกรจากเส้นเลือดมังกรทั่วทั้งขุนเขา และหุบเขาในบริเวณนั้น ต่างก็พุ่งทะยานเข้าสู่ร่างของหลิงหยุนอย่างมากมายและต่อเนื่อง เหมือนกับเมื่อครั้งที่ปราณมังกรในพระราชวังต้องห้าม ได้เคยพุ่งทะยานเข้าสู่ร่างของเขาไม่หยุดหย่อน
  เวลาล่วงเลยไปโดยมิรู้ตัวหลิงหยุนก็ได้ฝึกปรือวรยุทธบ่มเพาะไปร่วมสี่ชั่วโมง..
  จนกระทั่งเข้าสู่เวลากลางวันหลิงหยุนรู้สึกว่าปราณมังกรรอบๆกายเขานั้น ได้ถูกเขาดูดซับเข้าไปอย่างมากมายแล้ว เขาจึงได้หยุดการฝึกไว้เพียงเท่านั้น และลุกขึ้นยืน
  “เส้นเลือดมังกรในเทือกเขาฉินหลิงนี้นับเป็นสถานที่ที่มีปราณมังกรหนาแน่นเหมาะแก่การฝึกวิชามังกรทองคะนองยิ่งนัก..”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพึมพำออกมาในขณะที่หันมองไปรอบตัว..
  ได้เวลากลับแล้ว..
  หลิงหยุนเหาะกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลฉินและตรงไปหาฉินจิวยื่อที่ท้ายหมู่บ้านทันที
  “ท่านแม่..ข้ากลับมาแล้ว!”   ทันทีที่เสียงร้องตะโกนของหลิงหยุนดังขึ้นเสียงร้องทักทายทั้งสามเสียงก็ดังขึ้นมาจากด้านในพร้อมๆกัน
  ฉินจิวยื่อฉินตงเฉวี่ย และป้าเม่ยอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา..
  “เหตุใดเจ้าจึงฝึกฝนวิชานานนักเล่า”
  ฉินจิวยื่อเอ่ยถามหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยต่อโดยมิรอคำตอบ“หลิงหยุนมาเร็วเข้า! ป้าเม่ยได้ข่าวเรื่องที่เจ้าไปช่วยข้ากลับมาได้แล้ว นางจึงรีบกลับเดินทางมาจากปักกิ่งเพื่อดูแลข้าทันที”
  “ป้าเม่ย..สบายดีหรือครับ”
  หลิงหยุนเอ่ยทักทายป้าเม่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม..
  ดวงตาทั้งสองข้างของป้าเม่ยแดงก่ำและบวมเปล่งนางเดินเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
  “หลิงหยุนข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าท่านจะสามารถช่วยคุณหนูได้ ขอบคุณ.. ขอบคุณท่านมาก!”
  คำพูดของป้าเม่ยนั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจและบ่งบอกว่าซาบซึ้งใจในตัวหลิงหยุนอย่างมากมายจริงๆ
  หลิงหยุนถึงกับกระอักกระอ่วนเขารู้ดีว่าป้าเม่ยนั้นเฝ้ามองแม่ของเขาเติบใหญ่ แม้ทั้งคู่จะเป็นเจ้านายกับบ่าว แต่ก็รักใคร่กันดั่งพี่น้อง..
  ตั้งแต่ที่ฉินจิวยื่อจากตระกูลฉินไปอยู่จิงฉูเมื่อสิบแปดปีก่อนนี่นับเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง
  ระหว่างที่ฉินจิวยื่อยังต้องพักฟื้นร่างกายอยู่ที่นี่นั้นหลิงหยุนมิเห็นว่าจะมีผู้ใดเหมาะสมที่จะดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับฉินจิวยื่อเท่าป้าเม่ยอีกแล้ว เขาจึงยิ่งสบายอกสบายใจมากขึ้นเมื่อเห็นป้าเม่ยมาดูแลนางเช่นนี้
  ส่วนฉินตงเฉวี่ยนั้นป้าเม่ยเพิ่งจะแยกจากนางได้ไม่นานเมื่อครั้งที่ฉินตงเฉวี่ยตามหลิงหยุนไปปักกิ่ง นางจึงมิได้รู้สึกเศร้าโศกดังเช่นฉินจิวยื่อ  ฉินตงเฉวี่ยเอ่ยถามหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงดุดัน“เจ้าเด็กดื้อ.. นี่เจ้าไปฝึกวิชาถึงที่ใดกัน”
  หลิงหยุนจ้องมองท่าทางอวดดีของฉินตงเฉวี่ยด้วยสีหน้าขบขันเล็กน้อยแต่ก็ตอบกลับไปว่า “ที่ยอดเขาไท่ไป่..”
  “เอาล่ะๆพวกเราอย่ายืนอยู่ที่สวนนี้เลย เข้าไปกินข้าวในบ้านกันดีกว่า!’
  นี่เป็นเวลาเที่ยงพอดีฉินจิวยื่อเกรงว่าหลิงหยุนจะหิว จึงได้เตรียมอาหารไว้พร้อมแล้ว..
  อาหารทั้งหมดบนโต๊ะมีทั้งหมดสิบสองจานมีทั้งเนื้อและผักปะปนกน แต่ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีสีสันและรสชาติที่ล้ำเลิศยิ่งนัก
  เนื่องจากป้าเม่ยเพิ่งจะเดินทางมาถึงการรับประทานอาหารเที่ยงจึงดำเนินไปนานกว่าปกติเล็กน้อย และนี่ก็ตรงกับเวลาบ่ายโมงตรงพอดี
  หลังจากรับประทานอาหารกันอย่างอิ่มหนำสำราญแล้วหลิงหยุนก็ได้เรียกโอสถเยาว์วัยและโอสถโฉมสะคราญออกมาสองชุด เขามอบให้ป้าเม่ยหนึ่งชุด และแม่ของเขาอีกหนึ่งชุด
  “นี่..นี่คือ..”
  ป้าเม่ยเห็นขวดโอสถก็ได้แต่หันไปมองหน้าฉินตงเฉวี่ยและพอจะคาดเดาบางสิ่งบางอย่างได้ในทันที นางถึงกับตกใจจนพูดอะไรไม่ออก
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“ป้าเม่ย.. นี่คือโอสถเยาว์วัยและโอสถโฉมสะคราญ ได้โปรดรับไว้เถิดครับ!”
  ป้าเม่ยตื่นเต้นจนหายใจรุนแรงหน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด น้ำตาเอ่อล้นเต็มสองตา มือทั้งสองข้างก็โบกปฏิเสธไปมาอยู่ตรงหน้า
  “นี่..นี่เป็นสิ่งล้ำค่าเกินไป ของล้ำค่าเช่นนี้ ไม่.. ไม่คู่ควรกับข้า ข้าไม่ต้องการ..”
  มีหรือที่คนเช่นหลิงหยุนตั้งใจจะมอบสิ่งใดแล้วจะยินยอมรับกลับเขาวางขวดโอสถไว้ตรงหน้าป้าเม่ยพร้อมกับเอ่ยออกไป
  “ป้าเม่ยท่านไม่เพียงดูแลท่านแม่ของข้า แต่ยังช่วยดูแลข้า น้าหญิง แล้วก็หลิงยู่ โอสถนี้สมควรที่ท่านต้องรับไว้อย่างยิ่ง!”
  ป้าเม่ยได้ฟังถึงกับตื่นตระหนกตกใจนางหันไปทางฉินจิวยื่อพร้อมกับเอ่ยตะกุกตะกัก “คุณ.. คุณหนูคะ.. นี่..”
  ฉินจิวยื่อยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยออกไปว่า“หลิงหยุนทำถูกแล้ว.. เจ้าก็รับไว้เถิด!”
  “แต่..”
  ป้าเม่ยจ้องมองโอสถล้ำค่าตรงหน้าด้วยสีหน้าท่าทางลังเลนางกับฉินจิวยื่อนั้นสนิทสนมกันยิ่งนัก แต่ถึงกระนั้นนางก็มิเคยหลงลืมฐานะของตนเองว่าเป็นเพียงแค่บ่าวในตระกูล
  “ป้าเม่ย..ท่านรีบกลืนโอสถนี่เร็วเข้า หลิงหยุนมีโอสถนี่อยู่มากมาย ท่านมิต้องกังวลใจไป”
  ฉินตงเฉวี่ยเอ่ยออกไปพร้อมกับหัวเราะร่วนนางคะยั้นคะยอให้ป้าเม่ยกลืนโอสถเข้าไปโดยเร็ว
  “ถ้าเช่นนั้น..ข้าก็จะกลืนโอสถนี้ตามที่พวกท่านต้องการ..”
  ท้ายที่สุดหลังจากถูกหลิงหยุน ฉินจิวยื่อ และฉินตงเฉวี่ยคะยั้นคะยออยู่นาน ในที่สุดป้าเม่ยก็ยอมกลืนโอสถทั้งสองเม็ดเข้าไป
  สามนาทีต่อมาป้าเม่ยก็ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ!
  แม้ว่าฉินตงเฉวี่ยจะได้กลืนโอสถและเปลี่ยนเป็นหญิงสาววัยสิบแปดปีมาก่อนหน้าแล้วนางก็รอคอยให้ป้าเม่ยได้รับประสบการณ์เช่นเดียวกันอย่างใจจดใจจ่อ ในขณะที่ฉินจิวยื่อยังคงตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่ได้!
  หลิงหยุนหันไปยิ้มให้ฉินจิวยื่อพร้อมกับเอ่ยออกไปว่า“ท่านแม่.. ร่างกายของท่านยังมิฟื้นคืนเป็นปกติดี ข้าจึงยังไม่ต้องการให้ท่านกลืนโอสถในเวลานี้ ท่านแม่เก็บโอสถนี้เอาไว้ก่อน หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เมื่อร่างกายของท่านฟื้นฟูกลับเป็นปกติดีแล้ว จึงค่อยกลืนโอสถนี่..”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร