Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร นิยาย บท 1469

บทที่ 1469 : ดินแดนบรรพชนมังกร
  แม้ว่าร่างกายของฉินจิวยื่อจะได้รับการบำรุงมานานถึงแปดวันแล้วแต่ก็ยังนับว่าผ่ายผอมมากอยู่ดี เพราะเวลานี้น้ำหนักตัวของนางเหลือเพียงแค่สามสิบกว่ากิโลกรัมเท่านั้น หากกลืนโอสถเยาว์วัยและโอสถโฉมสะคราญเข้าไปในตอนนี้ ประสิทธิผลที่ควรจะได้ก็จะลดลงไปมากทีเดียว
  แต่ก็ยังมีเหตุผลอื่นร่วมด้วย..
  นั่นเพราะเมื่อย้อนกลับไปเมื่อหกเดือนก่อนหลิงหยุนเพิ่งจะทำการชำระล้างร่างกายและไขกระดูกให้กับฉินจิวยื่อไป ส่งผลให้นางดูเด็กลงนับสิบปีเลยทีเดียว ครั้งนั้นฉินจิวยื่อถึงกับยอมรับไม่ได้จนต้องเรียกเขาเข้าไปพบ..
  ในช่วงเวลานั้นหลิงหยุนยังจำได้ว่าเขาทั้งรู้สึกผิดและหวาดกลัว เพราะไม่เพียงฉินจิวยื่อจะเด็กลงนับสิบปี แต่นางยังได้เห็นพลังอมตะที่พวยพุ่งออกมาเป็นรูปมังกรผู้พิทักษ์ทั้งเก้า เหาะวนเวียนรายล้อมร่างของเขาในครานั้นด้วย
  เขาจึงมิกล้ากลับไปบ้านจึงเลือกที่จะไปยังก้นหลุมยักษ์แทน และเรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น จนกระทั่งล่วงเลยมานานถึงครึ่งปี..
  ฉินจิวยื่อยังคงไม่แตะต้องขวดโอสถตรงหน้าหลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลิงหยุนแล้ว นางจึงได้แต่เอ่ยออกไปว่า
  “หลิงหยุนเจ้าลืมไปแล้วหรือว่า ก่อนที่จะเดินทางไปสำนักกระบี่เทียนซานนั้น เจ้าได้มอบโอสถนี้ให้กับตระกูลฉินนับสิบชุดแล้ว ในคืนที่ข้ากลับมาถึงที่นี่ ท่านพ่อก็ได้มอบให้แก่ข้าหนึ่งชุดเช่นกัน แต่ข้าปฏิเสธมิยอมรับเอง..”
  ฉินจิวยื่อจ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับส่ายหน้าไปมา“ข้ายังมิต้องการโอสถนั่นในเวลานี้..”
  หลิงหยุนมิรู้ว่าควรทำเช่นใดดีเขารู้ดีว่าฉินจิวยื่อคงอดที่จะกังวลใจมิได้ หากนางกลืนโอสถทั้งสองเม็ดนั้นลงไป นางคงต้องเปลี่ยนเป็นพี่สาวของหนิงหลิงยู่เป็นแน่..
  “พี่ใหญ่..ข้าจะช่วยท่านเก็บโอสถนี้ไว้เอง ข้ารับปากจะไม่กินเองแน่!”
  ฉินตงเฉวี่ยเอื้อมมือไปหยิบขวดโอสถบนโต๊ะมาไว้ในมือนางยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับบอกหลิงหยุนผ่านทางจิต
  –เจ้าอย่าได้กังวลใจไปเจ้าเด็กดื้อเรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าจัดการเอง..-
  หลิงหยุนได้แต่พยักหน้าแล้วจึงหันไปกล่าวกับฉินจิวยื่อ “ท่านแม่.. เย็นนี้ท่านไม่ต้องตระเตรียมอาหารให้กับข้า ข้าจะไป.. สุสานองค์จักพรรดิจิ๋นซี!”
  “ข้าเพียงแค่ต้องการไปเยี่ยมชมเท่านั้น..”หลิงหยุนรีบย้ำประโยคสำคัญทันที..
  ในเมื่อมีโอกาสกลับมาตระกูลฉินอีกเป็นครั้งที่สองหากไม่ไปเยี่ยมชมสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีเลย ก็คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง และนับว่าเป็นการมาที่เสียเปล่า..
  “เจ้าอยากไปก็ไปสิ..”   ฉินจิวยื่อตอบกลับทันทีพร้อมกับย้ำว่า“แต่ก่อนที่เจ้าจะไปที่นั่น อย่าลืมไปพบท่านตาที่บ้านบรรพชนตระกูลฉิน เพื่อขออนุญาตก่อนล่ะ!”
  หลิงหยุนตอบกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“ท่านแม่ ข้าไม่ลืมอย่างแน่นอน..”
  ……
  เวลาบ่ายโมงครึ่งหลิงหยุนไปที่พบฉินฉางชิงที่บ้านบรรพชนตระกูลหลิง และได้บอกกล่าวถึงความตั้งใจที่จะไปเยี่ยมชมสุสานจักพรรดิจิ๋นซีให้เขาฟัง
  ฉินฉางชิงฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมาเสียงดังเขาจ้องมองหลิงหยุนอย่างสนอกสนใจก่อนจะเอ่ยต่อทันที
  “หลิงหยุนท่านแม่ของเจ้าคงจะบอกให้เจ้ามาขออนุญาตข้าสินะ”
  หลิงหยุนพยักหน้าแทนคำตอบ..
  “อะแฮ่ม..แม่ของเจ้าโยนภาระหนักใจให้กับข้าแล้วสินะ!”   ฉินฉางชิงยิ้มขื่นพร้อมกับโบกมือไปมาและเอ่ยขึ้นว่า “หลิงหยุน คนอย่างเจ้านี่นะจะเพียงแค่ไปเยี่ยมชมเฉยๆ”
  “อีกอย่าง..วันนี้ก็เป็นวันหยุดเสียด้วย ที่สุสานเวลานี้คงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมอยู่เต็มไปหมดเป็นแน่ สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีนี้นับเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของชาติ ข้าว่าเจ้าอย่าสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับข้าจะเป็นเรื่องดีที่สุด!”
  หลิงหยุนเองก็คิดไว้อยู่แล้วว่าชายชราคงต้องกังวลใจในเรื่องนี้เป็นแน่ เขาจึงรีบเอ่ยออกไปว่า..
  “ท่านตา..ท่านพูดราวกับว่าไม่ว่าข้าไปที่ใด ที่นั่นก็จะมีแต่เรื่องสั่นสะเทือนผู้คน.. ท่านตาอย่าได้กังวลใจไปเลย ข้าเพียงแค่ต้องการไปเดินเล่นรอบๆสุสานเท่านั้น แต่จะไม่ก้าวผ่านประตูเข้าไปด้านในแน่!”
  “เอ่อ…”
  ฉินฉางชิงถึงกับอึกอักอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนจะถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “หากเจ้าต้องการไปเดินดูรอบๆไม่เข้าไปด้านใน เหตุใดยังต้องมาขออนุญาตข้าด้วยเล่า ว่าแต่เพราะเหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าไปข้างใน”
  หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่าค่ายกลที่ปกป้องสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งนี้ ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก หาใช่เขามิต้องการที่จะเข้าไป แต่เขาไม่สามารถเข้าไปได้ต่างหากเล่า
  แต่แน่นอนว่าหลิงหยุนมิได้ตอบออกไปเช่นนั้นเขายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าเพียงแค่ต้องการไปเดินดูรอบนอกเท่านั้นจริงๆ..”
  ฉินฉางชิงนึกประหลาดใจและมิรู้ว่าหลิงหยุนจะมาไม้ไหนกันแน่ จึงได้แต่ถามออกไปว่า “เจ้าต้องการให้ข้าพาเจ้าเยี่ยมชมด้านในหรือไม่เล่า”
  ฉินฉางชิงเป็นถึงผู้นำตระกูลฉินซึ่งเป็นตระกูลที่ดูแลสุสานแห่งนี้การมีเขานำไปนั้นหาใช่เรื่องที่ใครๆก็จะมีโอกาสเช่นนี้ได้!
  นับแต่อดีตที่ผ่านมาจนถึงเวลานี้มีเพียงบุคคลอันดับหนึ่งแห่งประเทศนี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ฉินฉางชิงเป็นผู้นำเยี่ยมชมสุสานแห่งนี้ด้วยตนเอง!
  และหลิงหยุนก็เป็นอีกคนที่มีคุณสมบัติพอที่จะได้รับโอกาสเช่นนั้น!
  “ท่านตาฉิน..ข้าพูดจริงๆ! ข้าเพียงแค่ต้องการเดินดูรอบนอกเท่านั้น มิต้องรบกวนท่านนำไปก็ได้!”
  หลิงหยุนปฏิเสธเขามิยอมให้ฉินฉางชิงไปด้วยเป็นแน่ หาไม่แล้วเขาคงจะไม่สามารถขยับตัวทำอะไรได้เลย
  “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปเถิดมีสิ่งใดขัดข้องก็ติดต่อข้าได้ทันที!”
  ฉินฉางชิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยินยอมให้หลิงหยุนไปที่นั่นตามลำพัง..
  หลังจากไปส่งหลิงหยุนที่หน้าประตูบ้านแล้วเขาก็ยืนจ้องมองหลิงหยุนที่หายวับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
  ……
  เมื่อออกมาจากหมู่บ้านตระกูลฉินได้ระยะหนึ่งแล้วหลิงหยุนจึงค่อยๆเปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออก และก้าวเดินให้เร็วขึ้น เขาเดินมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ และเมื่อเข้าสู่บริเวณรอบนอกของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแล้ว หลิงหยุนจึงเลี้ยวไปทางทิศตะวันตกแทน และเดินมุ่งหนาตรงไปยังประตูทางเข้าหลักของสุสานทันที
  บนถนนเส้นนี้หลิงหยุนได้เปิดจิตหยั่งรู้ของตนออกขั้นสุด เพื่อจงใจที่จะทดสอบพลังของค่ายกลที่ปกป้องสุสานแห่งนี้
  วิธีการทดสอบของหลิงหยุนนั้นก็มิได้ซับซ้อนอันใดหากเขาเปิดรัศมีจิตหยั่งรู้ออกขั้นสุดเช่นนี้ ยิ่งเขาเข้าใกล้สุสานมากเท่าใด รัศมีจิตหยั่งรู้ของเขาก็จะถูกสกัดกั้นให้หดเล็กลงเรื่อยๆ
  หมู่บ้านตระกูลฉินตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประตูทางเข้าหลักของสุสานแห่งนี้และมีระยะทางที่ห่างกันราวสองกิโลเมตร หากหลิงหยุนอยู่ในบริเวณหมู่บ้านตระกูลฉิน จิตหยั่งรู้ของเขาจะถูกสกัดกั้นให้หดเล็กลงเหลือเพียงแค่หกร้อยเมตรเท่านั้น
  แม้หมู่บ้านตระกูลฉินจะอยู่ในขอบเขตของค่ายกลสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งนี้แต่หลิงหยุนก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงค่ายกลเสริมรอบนอกเท่านั้น หาใช่ค่ายกลหลักไม่ เขาจึงมิได้ต้องการทดสอบค่ายกลรอบนอกที่ว่านั่น..
  แต่เมื่อหลิงหยุนเดินมาถึงถนนเส้นหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากประตูทางเข้าหลักราวหนึ่งกิโลเมตรนั้นจิตหยั่งรู้ของเขาก็ถูกสกัดกั้น และหดเหลือเพียงแค่หนึ่งร้อยเมตรทันที!
  และนั่นทำให้หลิงหยุนตกอกตกใจอย่างที่มาก!
  นั่นเพราะเมื่อครั้งที่เขามาถึงหมู่บ้านตระกูลฉินครั้งแรกรถที่นั่งมาก็ได้มาจอดอยู่บนถนนเส้นนี้ในจุดเดียวกันกับที่เขายืนอยู่ในเวลานี้ และครั้งนั้นรัศมีจิตหยั่งรู้ของเขาก็ได้ถูกสกัดกั้น และหดเล็กลงเหลือเพียงแค่หนึ่งร้อยเมตรเช่นกัน เขายังได้เอ่ยถามฉินตงเฉวี่ยจนได้รู้ว่า ระยะทางจากตรงนี้ไปถึงประตูทางเข้าหลักนั้น ห่างกันราวหนึ่งกิโลเมตรได้  แต่ครั้งนั้น..หลิงหยุนยังอยู่เพียงแค่ระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) จิตหยั่งรู้ของเขามีรัศมีสูงสุดแปดพันเมตร แต่เวลานี้เขาเข้าสู่ระดับกลางขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) แล้ว จิตหยั่งรู้จึงมีรัศมีครอบคลุมถึงเก้าพันเมตร!
  ในเมื่อขั้นพลังบ่มเพาะของหลิงหยุนพัฒนาแล้วแต่เมื่อยู่ห่างจากประตูหลักของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีเช่นเดียวกับคราวก่อน เหตุใดรัศมีจิตหยั่งรู้ของเขากลับถูกสกัดกั้นให้หดเล็กลง เหลืองเพียงหนึ่งร้อยเมตรเท่ากับคราก่อนเล่า!
  ปรากฏการณ์นี้อธิบายได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็คือ..หากคนผู้นั้นยังมิเข้าสู่ขั้นก่อสร้างรากฐาน ค่ายกลนี้จะไม่สามารถแยกแยะได้ออก ฉะนั้น.. เวลานี้ต่อให้หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นชีเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-7) แล้ว รัศมีจิตหยั่งรู้ของเขาก็จะถูกสกัดกั้นให้หดเล็กลงเหลือเพียงแค่หนึ่งร้อยเมตรเช่นกัน
  นี่เพียงแค่เขายืนห่างจากหน้าประตูทางเข้าหลักของสุสานถึงหนึ่งกิโลเมตรยังมิได้เข้าไปด้านใน!
  “สมกับที่เป็นสุสานที่มีชื่อเสียงของบรรพชนเหล่ามังกรโดยแท้!”
  หลิงหยุนรำพึงรำพันออกมาด้วยความตื่นตะลึงเขาชะลอฝีเท้าลงอย่างรวดเร็ว และค่อยๆก้าวเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าว แล้วรัศมีจิตหยั่งรู้ของเขาก็ค่อยๆหดตัวลงอย่างรวดเร็ว
  ห้าสิบเมตร..ยี่สิบเมตร.. สิบเมตร..
  หลิงหยุนเดินต่อไปได้อีกเพียงสองร้อยก้าวจิตหยั่งรู้ของเขาก็ถูกสกัดกั้นไว้จนมิอาจปลดปล่อยออกมาได้อีก
  เขาเงยหน้าขึ้นมองและพบว่าอีกราวเก้าร้อยเมตรก็จะถึงหน้าประตูทางเข้าหลักแล้ว..
  “ช่างเป็นค่ายกลที่น่ากลัวยิ่งนัก..”
  หลิงหยุนพึมพำออกมาพร้อมกับส่ายหน้าเวลานี้เขาไม่สามารถใช้จิตหยั่งรู้ได้อีกแล้ว จึงมีสภาพไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วไป เขาเดินตรงไปข้างหน้าอย่างช้าๆ  หลิงหยุนไม่สามารถใช้จิตหยั่งรู้สำรวจได้อีกเขาใช้ได้เพียงแค่สองตามองเท่านั้น และเวลานี้เขาก็กำลังชื่นชมกับทัศนียภาพที่งดงามของภูเขาหลี่อยู่
  เขาหลี่เป็นในภูเขาที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของประเทศจีนและเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาฉินหลิง เขาหลี่หนาแน่นไปด้วยต้นไม้เขียวชะอุ่ม หากมองจากระยะไกลจะดูคล้ายกับอาชาสีเขียวตัวใหญ่
  หลิงหยุนเดินเข้าไปในระยะห้าร้อยเมตรและพบว่าบริเวณนี้มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมาก และค่อนข้างหนาแน่นกว่าบริเวณอื่น
  หลิงหยุนจ้องมองไปยังประตูทางเข้าหลักซึ่งเป็นเป้าหมายในการมาของเขาครั้งนี้..
  ยิ่งเข้าใกล้..หลิงหยุนยิ่งสัมผัสได้ถึงปราณมังกร ปราณจักรพรรดิ และพลังหยินที่หนาแน่นมากนัก หลิงหยุนเดินวิชาพลังลับหยิน–หยาง และเริ่มดูดซับเอาพลังชีวิตต่างๆรอบตัวเข้าไปทันที  แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่สามารถเปิดจิตหยั่งรู้ออกได้แต่ก็มิได้ส่งผลต่อวิชาบ่มเพาะของเขาแต่อย่างใด เวลานี้จุดตันเถียนอันมหัศจรรย์ของหลิงหยุนกำลังหมุนอย่างรวดเร็ว และพลังหยินมากมายก็ถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายของเขา และถูกเปลี่ยนเป็นพลังหยางอย่างรวดเร็ว
  ลักณะนี้คล้ายๆกับเมื่อครั้งที่หลิงหยุนเข้าไปฝึกบ่มเพาะอยู่ที่ก้นหลุมยักษ์ในเมืองจิงฉู เขาได้แต่แอบคิดว่า บริเวณสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งนี้ ช่างเหมาะแก่การฝึกวรยุทธบ่มเพาะยิ่งนัก!
  เมื่อครั้งที่หลิงหยุนฝึกวรยุทธบ่มเพาะอยู่ภายในค่ายกลมังกรหยิน–หยางนั้นเขาสามารถพัฒนาเข้าสู่ระดับกลางขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) ได้ในคราวเดียว จนกระทั่งพลังหยินและหยางถูกเขาดูดซับเข้าไปจนหมดสิ้น เขาจึงได้ไปที่ทะเลจีนตะวันออก
  เวลานี้เขาอยู่ที่สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีซึ่งเป็นดินแดนของบรรพชนเหล่ามังกร และเป็นสถานที่ซึ่งมีพลังหยินสั่งสมมานานมากกว่าสองพันปีเช่นนี้ แม้หลิงหยุนจะมิกล้าเข้าไปในแกนกลางของค่ายกลสุสานแห่งนี้ แต่ก็ยังสามารถอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าสุสานเพื่อดูดซับเอาพลังหยินเข้าไปได้โดยมิมีปัญหาอันใด
  หลิงหยุนเดินเข้าไปใกล้อีกและในที่สุดก็ไปถึงทางเข้าหลักของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี ซึ่งนับเป็นประตูเมืองด้านทิศใต้ของสุสานแห่งนี้
  “ที่นี่ล่ะ..”
  เป็นอีกครั้งที่หลิงหยุนรับรู้ได้ถึงพลังหยินจำนวนมากมายที่แพร่กระจายออกมาทางประตูหลักหลิงหยุนไม่เดินตรงไปด้านหน้าอีก เขาแสร้งเดินไปตามกลุ่มนักท่องเที่ยวกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้น เพื่อมิให้เป็นที่สะดุดตาผู้คน
  แต่ความจริงแล้วหลิงหยุนกำลังดูดซับเอาพลังหยินที่รั่วไหลออกมาเข้าไปในร่างกายของตน!   “แปลกจัง..จู่ๆทำไมแถวนี้ถึงได้หนาวขึ้นมาได้นะ..”
  ทุกคนที่เดินผ่านหลิงหยุนต่างก็เริ่มรู้สึกหนาวและต้องพยายามเดินให้ห่างจากเขา
  หลิงหยุนได้แต่นิ่งเงียบแต่ภายในใจกลับแอบยิ้มอย่างพอใจ
  ‘แม้จะมิสามารถนั่งฝึกฝนดังเช่นภายในค่ายกลมังกรหยิน–หยางได้แต่หากได้ดูดซับพลังหยินเข้าไปเช่นนี้สักสองวัน ข้าคงสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ได้เป็นแน่!’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร