บทที่ 1470 : ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่
นับว่าวิชาพลังลับหยิน–หยางของหลิงหยุนนั้นช่างล้ำเลิศอย่างหาใดเปรียบมิได้!
เต๋าส่งเสริมเกื้อหนุนให้มีหนึ่งหนึ่งส่งเสิรมเกื้อหนุนให้มีสอง สองส่งเสริมเกื้อหนุนให้มีสาม สามส่งเสริมเกื้อหนุนให้มีสรรพสิ่ง..
‘สอง’ที่ว่านี้หมายถึงหยินและหยาง ระหว่างสวรรค์กับปฐพี.. ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่มิเป็นอื่นใดนอกจากหยินและหยาง!
นอกจากนี้แล้วกายที่อัศจรรย์ยิ่งของหลิงหยุนนั้น ยังสามารถดูดซับเองพลังชีวิตที่อยู่ระหว่างสวรรค์และโลกนี้เข้าไปได้อย่างทรงพลังยิ่ง และเมื่อผสานทั้งกายกับวิชาบ่มเพาะเข้าที่ล้ำเลิศเข้าด้วยกัน จึงยากที่จะหาที่ติได้..
แม้หลิงหยุนจะรู้วรยุทธบ่มเพาะมากมายเพียงใดแต่เขามักจะใช้เพียงแค่วิชาพลังลับหยิน–หยางในการพัฒนาขั้นพลังบ่มเพาะของตนเองเท่านั้น เมื่อครั้งที่ฝึกวรยุทธบ่มเพาะอยู่ในค่ายกลมังกรหยิน–หยางนั้นหลิงหยุนได้นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างดวงตาค่ายกลหยิน และดวงตาค่ายกลหยาง ณ ตำแหน่งที่พลังหยินและหยางตัดกันนั้น คือจุดที่พลังหยินและหยางหลอมรวมอย่างสมดุล หลิงหยุนจึงมิต้องทำสิ่งใด เพียงแค่ดูดซับเข้าไปในร่างกายเท่านั้น
แต่ที่หน้าประตูทางเข้าสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีนั้นมีเพียงแค่พลังหยินบริสุทธิ์ที่แผ่กระจายออกมาจากด้านในเท่านั้น หลังจากที่ถูกดูดซับเข้าไปในร่าง หลิงหยุนจึงต้องใช้วิชาพลังลับหยิน–หยางเปลี่ยนพลังหยินให้เป็นพลังหยาง เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างหยินและหยางภายในร่างของตน แต่ขั้นตอนเช่นนี้หาใช่เรื่องที่สามารถทำได้ง่ายๆ
แต่นับว่าโชคดีที่หลิงหยุนมีจุดตันเถียนอันน่าอัศจรรย์ซึ่งสามารถหมุนได้อย่ารวดเร็ว จึงสามารถแปลงพลังหยินเป็นพลังหยางได้ในทันที อีกทั้งพลังเหล่านั้นยังสามารถหมุนเวียนไปทั่วร่างทำการชำระล้างและบ่มเพาะจุดตันเถียน เส้นลมปราณ จุดฝังเข็ม รวมทั้งจุดซือไห่ของเขาได้อีกด้วย
วันนี้..จุดซือไห่ของหลิงหยุนเสมือนหนึ่งมหาสมุทรเสินหยวน ซึ่งมีเสินหยวนอยู่อย่างน้อยถึงหนึ่งล้านสองแสนหยด จุดซือไห่ของหลิงหยุนเวลานี้ประหนึ่งว่ามีสายฝนแห่งเสินหยวนโปรยปรายลงท่ามกลางท้องมหาสมุทร อีกไม่เกินสองสามวันจุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของเขาก็น่าจะมีเสินหยวนเต็มเปี่ยมแล้ว
บูม!!
ในระหว่างที่ฝึกวรยุทธบ่มเพาะนั้นหลิงหยุนก็มิลืมที่จะปลดปล่อยเปลวเพลิงห้าธาตุหยิน–หยางออกมาบ่มเพาะร่างกายไว้ด้วย เพื่อประโยชน์อันมากมายมหาศาล เวลานี้หลิงหยุนจึงไม่ต่างจากมนุษย์เพลิง
ในการฝึกวรยุทธบ่มเพาะของผู้ที่เข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่นั้นคนส่วนใหญ่จะเน้นฝึกฝนจุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของตนเท่านั้น น้อยคนนักที่จะหันมาสนใจบ่มเพาะกายเนื้อให้แข็งแกร่ง อาจเป็นเพราะด้วยความไม่รู้ ไม่มีเวลา หรือมีพลังชีวิตไม่เพียงพอ
แม้หลิงหยุนจะเร่งฝึกฝนจุดซือไห่ของตนมากเพียงใดแต่เขาก็มิเคยละเลยบ่มเพาะกายเนื้อของตนให้แข็งแกร่งเช่นกัน ซึ่งนับว่าคนเช่นหลิงหยุนนั้นหาได้น้อยมาก ระหว่างการพัฒนาขั้นพลังกับการบ่มเพาะกายเนื้อให้แข็งแกร่งนั้น มีผู้ใดบ้างเล่าที่จะยอมชะลอการพัฒนาขั้นเพื่อไปบ่มเพาะกายเนื้อแทน
แต่สำหรับหลิงหยุนแล้วเขารู้ดีว่าตนเองนั้นแตกต่างจากผู้บ่มเพาะพลังคนอื่นๆ เขามิสามารถคาดเดาได้ว่าจะได้รับการทดสอบจากสวรรค์ในระดับใดบ้าง จึงเป็นไปมิได้เลยที่เขาจะละเลยการบ่มเพาะกายเนื้อให้แข็งแกร่งได้..
ฉะนั้นไม่ว่าเขาต้องการที่จะพัฒนาขั้นมากเพียงใดเขาก็มิเคยหยุดฝึกวิชาดาราคุ้มกาย! ยิ่งไปกว่านั้น หลิงหยุนยังมีเปลวไฟห้าธาตุหยิน–หยางอีกด้วย
หมอกควันที่พวยพุ่งออกมาจากประตูทางเข้าหลักของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีได้ถูกหลิงหยุนดูดซับเข้าไปในร่างจนหมดทุกหยด
ในสายตาของนักท่องเที่ยวคนอื่นทั่วไปสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีจุดชมวิวที่งดงามยิ่ง แต่ในสายตาของหลิงหยุน ที่นี่เปรียบเสมือนขุมทรัพย์แห่งพลังหยินที่มิมีวันหมด
จุดชมวิววบริเวณสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีนั้นงดงามไม่ต่างจากเขื่อนซานเสียต้าป้า หรือเขื่อนสามหุบเขาซึ่งเต็มไปด้วยความเงียบสงบ
ในบริเวณจุดชมวิวนี้มีพลังหยินที่หนาแน่นไม่ต่างจากเขื่อนสามหุบเขา ทันทีที่ประตูน้ำเปิดออก น้ำย่อมทะลักหลั่งไหลออกมา เช่นเดียวกับที่พลังหยินหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของหลิงหยุนอย่างต่อเนื่องในเวลานี้!
นอกเหนือจากพลังหยินจำนวนมากแล้วก็ยังมีปราณมังกรและปราณจักรพรรดิปะปนมาด้วย แต่ก็มีปริมาณที่น้อยกว่ามาก และปราณทั้งสองชนิดนี้ก็เป็นของบุคคลเพียงคนเดียวที่อยู่ในสุสานแห่งนี้เท่านั้น และหลิงหยุนก็ยินดีรับมาอย่างไร้ข้อกังขา เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็วดวงอาทิตย์ตกดินโดยที่หลิงหยุนมิทันรู้ตัว เขาฝึกบ่มเพาะอยู่ที่หน้าประตูสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีแห่งนี้ไปนานร่วมสามชั่วโมงแล้ว
จนกระทั่งเวลาห้าโมงเย็นเหล่านักท่องเที่ยวก็เริ่มบางตาลง แต่ถึงกระนั้นพลังหยินที่พวยพุ่งออกมาจากด้านใน ก็มิได้มีวี่แววว่าจะลดลงเลยแม้แต่น้อย
หลิงหยุนพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจเขายังคงเดินกลับไปกลับมาอยู่ด้านนอกประตูอีกครู่ใหญ่ และได้แต่แอบคิดในใจว่า
‘ข้าคงจะไม่สามารถเดินอยู่แต่ตรงนี้ที่เดียวได้คงต้องเปลี่ยนที่เดินบ้างแล้ว..’
แม้หลิงหยุนจะมิต้องการให้การฝึกฝนล่าช้าแต่เขาก็มิต้องการถูกมองว่าเป็นคนบ้า ที่เอาแต่เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าประตูด้านใต้เช่นนี้ แต่มิยอมเข้าไปด้านใน และผู้คนต่างก็เริ่มสนอกสนใจเขามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสุสานแห่งนี้
หลิงหยุนแสร้งเดินออกไปที่จุดชมวิวที่อยู่ห่างไปไม่กี่ร้อยเมตรแล้วจึงเลี้ยวที่หัวมุมมุ่งหน้าไปยังประตูด้านตะวันตกแทน และเริ่มดูดซับเอาพลังหยินเข้าไปเพื่อฝึกฝนต่อ
ผ่านไปอีกร่วมสองชั่วโมงซึ่งเป็นเวลาหนึ่งทุ่มตรงพอดีท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มลง และเจ้าหน้าที่ต่างก็พากันเลิกงานกันหมด..
หลิงหยุนเดินต่อไปยังประตูทางด้านเหนือและเมื่อหันมองไปรอบๆไม่พบผู้คนแม้แต่คนเดียว เขาจึงยืนนิ่งอยู่ห่างจากประตูไปเพียงแค่สามร้อยเมตรเท่านั้น และฝึกวิชาต่อที่นั่นจนกระทั่งถึงเที่ยงคืน
ในที่สุดหลิงหยุนก็เดินออกจากสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีและเมื่ออกห่างจากค่ายกลสุสานในระดับหนึ่ง จิตหยั่งรู้ของเขาก็สามารถกลับมาใช้งานได้ดังเดิม
ท่ามกลางความมืดมิดหลิงหยุนเร่งรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้พ้นเขตรัศมีของค่ายกลสุสาน จากนั้นจึงใช้วิชาล่องหนและเหาะไปยังเทือกเขาฉินหลิงต่อ
…..
บูม!!
หนึ่งชั่วโมงต่อมาหลิงหยุนก็ได้ทำการย่อยพลังหยินที่ดูดซับเข้าไปในร่าง และโคจรพลังหยินและหยางให้หมุนเวียนไปทั่วทั้งร่าง เพื่อทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปอย่างไม่รอช้า
ใกล้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-6) แล้ว..
หลิงหยุนเหาะกลับไปที่สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีอีกครั้งและเริ่มดูดซับเอาพลังหยินเข้าไปในร่างอีก จนกระทั่งถึงตีห้า หลิงหยุนจึงเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าฝึกวิชาดาราคุ้มกายต่อ กระทั่งเวลาแปดโมงเช้า เขาจึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่ประตูด้านใต้ของสุสานแห่งนี้อีกครั้ง
หลิงหยุนไม่หลับไม่นอนและฝึกฝนวิชาอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย!
ในวันที6 ตุลาคม หลิงหยุนยังคงฝึกฝนวิชาอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน ต่อไปจนถึงวันที่ 7ตุลาคมอีกหนึ่งวัน..
ระหว่างนั้นฉินตงเฉวี่ยได้เทียวมาหาหลิงหยุนถึงสามครั้ง และพบว่าเขาเร่งฝึกฝนวิชาอย่างบ้าคลั่ง จึงได้แต่เอ่ยถามหลิงหยุนออกไป
“เจ้าเด็กดื้อนี่เจ้าคิดจะทำอะไร”
“เจ้ามิต้องกังวลใจไป..ดูเฉยๆก็พอ!”
ฉินตงเฉวี่ยได้ฟังคำตอบของหลิงหยุนก็ทั้งโกรธทั้งนึกขันแต่นางรู้ว่าหลิงหยุนจะไม่ทำให้สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีเสียหายแน่ จึงได้วางใจปล่อยเขาไว้คนเดียวเช่นนั้น
จนกระทั่งเข้าสู่เที่ยงคืนของวันที่7 ตุลาคม หลิงหยุนจึงออกจากสุสาน และเหาะกลับไปที่เทือกเขาฉินหลิงอีกครั้ง เขามองหาตำแหน่งเส้นเลือดใหญ่มังกร และสร้างค่ายกลหลุมพลังที่นั่น ก่อนจะนั่งขัดสมาธิ แล้วเริ่มฝึกฝนวิชาอยู่ด้านใน
หลิงหยุนฝึกวรยุทธบ่มเพาะอยู่ในนั้นอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งผ่านไปถึงสองวันสองคืน ตอนนี้จุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของเขามีเสินหยวนอยู่มากถึงหนึ่งล้านหกแสนหยด และใกล้จะเต็มเปี่ยมแล้ว เวลานี้เขาสามารถกลั่นเสินหยวนได้ถึงแปดพันหยดต่อหนึ่งชั่วโมง
บูม!
อีกสองชั่วโมงผ่าน..ในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉินชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ได้สำเร็จ!
หลิงหยุนใช้เวลาต่ออีกสองชั่วโมงในการสร้างเสถียรภาพให้กับระดับใหม่นี้จนกระทั่งมั่นใจว่าเสถียรแล้ว เขาจึงได้หยุดฝึกและลืมตาขึ้น..
“เวลานี้จุดซือไห่ของข้ามีเสินหยวนอยู่มากถึงหนึ่งล้านแปดแสนหยดและสามารถกลั่นเสินหยวนได้ถึงเก้าพันหยดต่อชั่วโมง จิตหยั่งรู้มีรัศมีครอบคลุมถึงหนึ่งหมื่นเมตร ความแข็งแกร่งระดับนี้ นับว่าเหนือกว่าผู้บ่มเพาะในระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่ของโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่เสียอีก” จิตหยั่งรู้มีรัศมีครอบคลุมหนึ่งหมื่นเมตรซึ่งเท่ากับสิบกิโลเมตรนี่นับเป็นรัศมีสูงสุดที่ผู้บ่มเพาะทั่วไปในขั้นพลังชี่จะสามารถทำได้แล้ว แต่หลิงหยุนกลับสามารถทำได้ในระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) เท่านั้น
นับตั้งแต่วันที่22 กันยายน หลิงหยุนก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) ได้ และในวันที่ 7 ตุลาคมก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ได้อีก ทั้งหมดนี้หลิงหยุนใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น
“ต่อไปก็เตรียมตัวเข้าสู่ด่านสุดท้ายของขั้นพลังชี่ได้..”
หลิงหยุนยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจเขากระโดดเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาฉินหลิงอีกครั้ง และเริ่มเปิดจิตหยั่งรู้ออกค้นหาตี้เสี่ยวอู๋
ความจริงแล้ว..หลิงหยุนต้องการที่จะกลับไปดูดซับพลังหยินที่สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีอีกครั้ง และตั้งใจที่จะกลั่นเสินหยวนให้เต็มจุดซือไห่ แต่เขาก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ นั่นเพราะเมื่อครั้งสุดท้ายที่เขากลับไปดูดซับพลังหยินที่สุสานอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจและโกรธเกรี้ยวที่แฝงมากับพลังหยินเหล่านั้นด้วย เห็นชัดว่าหมายที่จะเอาชีวิตของเขาเลยทีเดียว
หลิงหยุนมั่นใจอย่างยิ่งว่าภายในค่ายกลที่ปกป้องสุสานแห่งนี้ จะต้องมีวิญญาณผู้พิทักษ์อยู่เป็นแน่!
เวลาตีสี่ครึ่ง..ภายในหุบเขาที่มีปราณมังกรหนาแน่น หลิงหยุนพบตี้เสี่ยวอู๋กำลังฝึกฝนวิชาอย่างบ้าคลั่ง เขาจึงไม่รบกวน และแอบสังเกตดูอยู่เงียบๆ
“หมอนี่สามารถก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างน่าทึ่งจริงๆ!”
หลิงหยุนถึงกับเอ่ยปากชมออกมาอีกไม่เกินสองสามวันตี้เสี่ยวอู๋จะต้องเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) ได้เป็นแน่
ครึ่งชั่วโมงต่อมา..ตี้เสี่ยวอู๋ก็หยุดฝึกวิชามังกรทองคะนอง และลุกขึ้นยืนเตรียมเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อฝึกวิชาดาราคุ้มกายต่อ..
แต่หลิงหยุนก็เหาะไปปรากฏตัวขวางหน้าตี้เสี่ยวอู๋ไว้เสียก่อน..
“เสี่ยวอู๋”
“พี่หยุน”
“พี่มาที่นี่ได้ยังไง”ตี้เสี่ยวอู๋เอ่ยถามด้วยความงุนงง
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า“ข้ามาหาเจ้าที่นี่เพื่อจะบอกกับเจ้าว่า วันนี้ข้าจะเดินทางกลับจิงฉูแล้ว”
หลิงหยุนได้รับปากกับเหออวี้ฉงว่าจะไปรักษาอาการป่วยให้กับปู่ของนางและเวลานี้ก็เหลือเวลาอีกเพียงแค่สามวันตามที่นัดหมายไว้
ตี้เสี่ยวอู๋ยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับเอ่ยถามอีกครั้ง“พี่หยุน.. พี่ไม่ต้องการให้ข้าติดตามไปด้วยจริงๆรึ”
“ไม่จำเป็น!”
หลิงหยุนโบกมือปฏิเสธพร้อมกับเอ่ยตอบไปว่า“เจ้าอยู่ที่นี่ตั้งใจฝึกฝนวิชาจะดีกว่า แล้วก็ช่วยข้าดูแลตระกูลฉินกับโม่วู๋เตาให้ดี!”
“ข้าจะทำให้ดีที่สุด!”ตี้เสี่ยวอู๋รับปากหนักแน่น
“อีกอย่าง..ที่ข้ามาพบเจ้าก็เพื่อถ่ายทอดการสร้างค่ายกลหลุมพลัง และค่ายกลวราหกให้กับเข้า เจ้าตั้งใจดูและจดจำไว้ให้ดี!”
ค่ายกลหลุมพลังสามารถช่วยให้การฝึกวิชาของตี้เสี่ยวอู๋ก้าวหน้าได้รวดเร็วมากขึ้นส่วนค่ายกลวราหกนั้นก็จะช่วยปกป้องเขา ในยามที่ต้องฝึกวิชาตามลำพังโดยมิมีผู้คุ้มกัน..
แต่พรสวรรค์ของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันและตี้เสี่ยวอู๋ก็หาใช่ไป๋เซียนเอ๋อ..
หากเป็นเรื่องของการต่อสู้ตี้เสี่ยวอู๋นับว่าดุดันยิ่งนัก แต่ในเรื่องของการเรียนรู้ค่ายกลนั้น.. ตี้เสี่ยวอู๋ไม่ต่างจากเป็ดเลยแม้แต่น้อย!
เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋มีเหงื่อออกท่วมกายและแทบสะอื้นในอก เข้าร้องบอกหลิงหยุนเสียงอ่อน “พี่หยุน.. พี่หยุดทำมือสะบัดไปมาเสียทีจะได้หรือไม่ มันยากเกินไปสำหรับข้า..”
“เสี่ยวอู๋..เจ้าเพียงแค่จดจำตำแหน่ง ระยะห่าง และการวางให้แม่นยำเท่านั้นพอ..”
ท้ายที่สุดหลิงหยุนต้องค่อยๆทำอย่างช้าๆ เพื่อให้ตี้เสี่ยวอู๋สามารถจดจำได้..
จนกระทั่งเวลาแปดโมงครึ่ง..หลังจากฝึกวิชาดาราคุ้มกายเสร็จสิ้นแล้ว หลิงหยุนจึงได้ออกจากเทือกเขาฉินหลิงกลับไปที่หมู่บ้านตระกูลฉิน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร