บทที่ 1471 : เรื่องสำคัญของตระกูลฉิน
ในเมื่อหลิงหยุนวางแผนที่จะเดินทางกลับแล้วเขาจึงต้องไปหาฉินฉางชิงที่บ้านบรรพชนตระกูลฉินเพื่อกล่าวคำอำลาเสียก่อน..
“เอาล่ะมีเรื่องอะไรไว้ค่อยพูดกัน..ตอนนี้เจ้ามากินข้าวเช้ากับข้าก่อน!”
ทันทีที่เห็นหลิงหยุนปรากฏตัวฉินฉางชิงก็รีบร้องเรียกให้เขาเข้ามารับประทานอาหารเช้าด้วยกันทันที
หลิงหยุนฝึกฝนนานติดต่อกันถึงสามวันสามคืนโดยมิได้หลับได้นอน และมิมีอาหารตกถึงท้องเลย เวลานี้เขาจึงรู้สึกหิวโหยยิ่งนัก และเมื่อฉินฉางชิงเอ่ยเชิญชวนเช่นนั้น หลิงหยุนจึงพุ่งเข้าไปสวาปามอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว
“หลิงหยุน..เกิดอะไรขึ้นกับเจ้างั้นรึ สองสามวันมานี้เจ้าไปเดินอยู่หน้าประตูสุสานทำไมกัน?” ฉินฉางชิงอดสงสัยไม่ได้จึงต้องเอ่ยถามหลิงหยุนออกไปตามตรง..
“ท่านตา..ข้ามิได้เป็นอะไร เพียงแต่ข้ากำลังฝึกวรยุทธบ่มเพาะอยู่ต่างหากเล่า..”
หลิงหยุนมิมีสิ่งใดต้องปกปิดฉินฉางชิงจึงได้บอกกับเขาไปตามความจริง..
“ฝึกวรยุทธบ่มเพาะงั้นรึ”
ฉินฉางชิงถึงกับนั่งนิ่งอ้าปากค้างอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดก็เอ่ยออกไปว่า “เจ้าเดินไปเดินมาเช่นนั้น เรียกว่าฝึกงั้นรึ ฝึกอย่างไรกัน?”
หลิงหยุนยิ้มให้กับฉินฉางชิงพร้อมกับอธิบายให้เขาฟังว่า“ในการฝึกวรยุทธบ่มเพาะของข้านั้น ไม่ว่าจะนั่งหรือจะเดินก็ย่อมสามารถฝึกฝนได้ทั้งหมด และที่ข้าเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูทางเข้าสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีนั้น ก็เพื่ออาศัยพลังหยินที่พวยพุ่งออกมาในการฝึกเท่านั้น”
“ใช้พลังหยินช่วยในการฝึกงั้นรึ”
ดูเหมือนฉินฉางชิงจะยิ่งตกใจมากกว่าเดิมเขาเอ่ยถามด้วยความอัศจรรย์ใจ “แต่พลังหยินเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นภูติผีวิญญาณที่ชั่วร้าย มีเพียงผู้บ่มเพาะพลังภูติเท่านั้นที่ต้องการ แม้แต่เจ้าก็สามารถใช้มันได้ด้วยรึ”
หลิงหยุนยิ้มออกมาเล็กน้อยเขารู้ดีว่าฉินฉางชิงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ดี หาไม่แล้วคงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะได้เป็นผู้พิทักษ์สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีมาหลายชั่วอายุคนเช่นนี้
“ท่านตา..ความจริงแล้วมีเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้!”
หลิงหยุนกล่าวต่อด้วยสีหน้าท่าทางมั่นอกมั่นใจ“ในเมื่อเต๋าก่อเกิดหยินและหยาง ทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และโลกล้วนกอปรด้วยหยินและหยาง หยินและหยางจึงนับว่าสร้างสรรทุกสรรพสิ่ง พลังทั้งหมดในสวรรค์และโลกจึงล้วนแล้วแต่เป็นเพียงแค่พลังงานอย่างหนึ่งเท่านั้น!”
“ในเมื่อหยางก็คือพลังอย่างหนึ่งหยินเองก็เช่นกัน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าผู้บ่มเพาะจะสามารถดูดซับ และแปลงมันไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไรต่างหากเล่า หาใช่เพียงแค่ผู้บ่มเพาะพลังภูติเท่านั้นที่จะดูดซับหยินได้!”
ฉินฉางชิงฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าแววตาของเขาเป็นประกายด้วยความตกตะลึง “หากสามารถปรับเปลี่ยนหยินเป็นหยาง หยางเป็นหยินได้เช่นนี้ หลิงหยุน.. นี่ย่อมหมายความว่าวรยุทธบ่มเพาะของเจ้าต้องล้ำเลิศยิ่งนักเป็นแน่!”
“ขอบคุณท่านตา..ท่านกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว!” หลิงหยุนเอ่ยออกมาอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว
ฉินฉางชิงมิรู้ว่าควรต้องพูดอะไรอีกจึงได้แต่หัวเราะออกมาเท่านั้น..
“ท่านตา..ความจริงที่ข้ามาหาท่านก็เพื่อมาร่ำลา ข้าเตรียมที่จะกลับจิงฉูวันนี้แล้ว!”
ในเมื่ออธิบายให้ฉินฉางชิงเข้าใจแล้วหลิงหยุนจึงรีบเอ่ยถึงจุดประสงค์ของตนที่มาพบเขาในทันที ฉินฉางชิงรีบเอ่ยตอบกลับไปว่า“หลิงหยุน แม้เจ้าจะมาตระกูลฉินเป็นครั้งที่สองแล้ว และแม้ว่าจะอยู่นานหลายวัน แต่ตลอดเวลาเจ้าก็เอาแต่ฝึกฝนวรยุทธ พวกเราสองคนยังมิเคยได้มีโอกาสนั่งกินข้าวไปด้วยคุยกันไปด้วยนานๆเลยสักครั้ง เจ้าอยู่ต่ออีกสักสองสามวันมิได้รึ”
“ท่านตา..ที่ข้าต้องกลับไปจิงฉูเพราะรับปากที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้กับใครบางคน เวลานี้ก็ใกล้ถึงเวลาที่นัดหมายกันไว้แล้ว ข้าจำเป็นต้องเดินทางกลับไปช่วยตามสัญญา..”
หลิงหยุนตอบไปตามความจริงพร้อมกับเอ่ยต่อทันที“หากมิใช่เพราะมีภารกิจที่ต้องทำ มีหรือที่ข้าจะมิอยากอยู่ตระกูลฉินต่อ เสร็จภารกิจเมื่อใด ข้าจะมาเยี่ยมเยียนท่านตาอีก..”
“งั้นก็แล้วแต่เจ้า!”
ฉินฉางชิงรู้ดีว่าหลิงหยุนคงมิอาจอยู่ต่อได้จริงๆจึงไม่คิดที่จะรั้งไว้อีก และรีบตอบตกลงทันที
จากนั้น..หลิงหยุนกับฉินฉางชิงก็สนทนากันต่ออีกครู่หนึ่ง หลิงหยุนได้บอกเล่าถึงจุดประสงค์ที่เขาต้องการให้ตี้เสี่ยวอู๋อยู่ที่นี่ นอกเหนือจากเหตุผลที่ให้ต้องการให้เขาอยู่ดูแลโม่วู๋เตา
เวลานี้โม่วู๋เตายังคงนอนหลับไหลอยู่เช่นเดิมแต่เห็นได้ชัดว่าสภาพของเขานั้นดูดีขึ้นมากเรื่อยๆ
“ดูเหมือนว่านักพรตน้อยนั่นคงจะนอนหลับถึงสี่สิบเก้าวันอย่างที่เจ้าบอกจริงๆเมื่อฟื้นขึ้นมาเขาคงจะได้รับประโยชน์กลับมามากมายทีเดียว”
หลิงหยุนเพียงแค่พยักหน้า..
“หลิงหยุนเจ้ามิต้องเป็นห่วงอันใด หากนักพรตน้อยเกิดประสบปัญหาในระหว่างหลับไหล ตระกูลฉินของข้าจะทำทุกหนทางเพื่อช่วยให้เขาปลอดภัย!”
“ขอบคุณท่านตายิ่งนัก!” หลังจากไปเยี่ยมดูอาการของโม่วู๋เตาแล้วหลิงหยุนก็ออกจากบ้านบรรพชนตระกูลฉิน และไปร่ำลาฉินชุนเฟิงกับฉินเซี่ยฮัวที่บ้านต่อทันที
ท้ายที่สุด..หลิงหยุนก็ตรงไปท้ายหมู่บ้านตระกูลฉิน เพื่อร่ำลานางฉินจิวยื่อผู้เป็นมารดา
หลิงหยุนได้บอกเล่าการฝึกฝนที่สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีให้กับฉินจิวยื่อฟังโดยมิได้ปิดบังพร้อมกับบอกขั้นพลังบ่มเพาะของตนเองเวลานี้ให้นางรู้ และหากเปรียบเทียบหลิงหยุนกับฉินจิวยื่อและฉินตงเฉวี่ยในเวลานี้ หลิงหยุนนับว่าก้าวหน้าไปไกลกว่ามาก..
แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็อดที่จะดีใจไม่ได้เมื่อได้ยินว่า หลิงหยุนสามารถก้าวหน้าไปได้อีกหนึ่งระดับ..
“ท่านแม่..หลิงยู่ส่งข่าวมาบ้างหรือไม่”
แม้หลิงหยุนจะมุ่งมั่นอยู่กับการฝึกฝนมากเพียงใดแต่ก็ยังคงนึกเป็นห่วงหนิงหลิงยู่อยู่เสมอ ฉินจิวยื่อตอบหลิงหยุนกลับไป“นางยังคงอยู่ที่เขาคุนหลุน เห็นว่าช่วงนี้เป็นวันหยุดหลายวัน ตระกูลหนิงจึงขอให้นางอยู่ต่ออีกสักหน่อย พวกเขายังมิยอมให้นางกลับ!
“อ่อ..”
หลิงหยุนครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงถามต่อว่า“ท่านแม่.. หลิงยู่ได้บอกหรือไม่ว่าจะกลับเมื่อใด กลับจากตระกูลหนิงแล้วจะมาที่นี่ก่อน หรือว่าตรงไปปักกิ่งเลย?”
ฉินจิวยื่อยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“เห็นว่าจะอยู่ต่ออีกราวสามสี่วัน แล้วจะมาที่นี่ก่อน!”
“หากเจ้ารออีกสักสองสามวันก็น่าจะได้พบเจอกับนาง”ฉินจิวยื่อเอ่ยต่อทันที
“ท่านแม่ข้ามิอาจรอได้จริงๆ..”
หลิงหยุนส่ายหน้าและหลังจากตอบฉินจิวยื่อไปแล้ว เขาจึงหันไปถามฉินตงเฉวี่ยว่า “เมื่อครั้งก่อนที่หลิงยู่มาตระกูลฉินนั้น เจ้าได้พานางไปที่สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีหรือไม่”
“ย่อมต้องพาไปอยู่แล้ว!” ฉินตงเฉวี่ยตอบเสียงห้วนเมื่อได้รู้ว่าวันนี้หลิงหยุนจะจากตระกูลฉินไป อารมณ์ของนางจึงมิสู้ดีนัก
“เป็นพี่ชุนเฟิงที่พานางไปที่นั่นแต่เมื่อไปถึงนางกลับมิยอมเข้าใกล้สุสาน นางบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยดีนัก จากนั้นก็กลับมาและไม่ไปที่นั่นอีกเลย”
ฉินจิวยื่อหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยถามทันที“หลิงหยุน มีสิ่งใดผิดปกติงั้นรึ”
หลิงหยุนรีบตอบกลับไปยิ้มๆ“อ่อ.. ไม่มีอะไรท่านแม่ ข้าเพียงแค่ถามดูเท่านั้น!”
ครั้งก่อนที่หนิงหลิงยู่มาตระกูลฉินนั้นนางเพิ่งจะเข้าสู่ด่านแรกของขั้นพลังชี่เท่านั้น แม้ค่ายกลสุสานจะสกัดกั้นจิตหยั่งรู้ไว้ แต่ก็มิน่าจะคุกคามนาง
หนิงหลิงยู่มีกายอัปสรร่างกายของนางย่อมต้องสามารถดูซับพลังหยินจากค่ายกลสุสานได้เช่นกัน การที่นางรู้สึกไม่ดีนั้น ดูเหมือนจักเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง หลิงหยุนไม่สามารถเข้าไปสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีได้และเวลานี้หนิงหลิงยู่ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ด้วยเช่นกัน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หลิงหยุนก็รีบหันไปกำชับกับฉินจิวยื่อทันที –ท่านแม่ หากหลิงยู่กลับมา ท่านคอยจับตาดูนางให้ดี หากพบเห็นสิ่งใดผิดปกติ ท่านแม่ต้องรีบแจ้งให้ข้ารู้ทันที ข้าจะได้รีบกลับมา..-
ฉินจิวยื่อพยักหน้ารับรู้..
หลิงหยุนยังพอมีเวลาจึงได้นั่งสนทนากับฉินจิวยื่อและฉินตงเฉวี่ยต่อ เขาบอกเล่าเกี่ยวกับการบ่มเพาะพลังตั้งแต่พื้นๆ ไปจนถึงลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ให้กับทั้งสองคนฟังโดยไม่ช้า และไม่เร็วจนเกินไป
น้ำเสียงของหลิงหยุนเนิบนาบไม่ต่างจากกำลังเทศนาธรรม..
หลิงหยุนรู้ดีว่าแม้ฉินจิวยื่อจะยังไม่คิดเรื่องการบ่มเพาะพลัง แต่ช้าเร็วนางก็มิอาจหลีกเลี่ยงที่จะเดินไปตามเส้นทางบ่มเพาะที่แท้จริงนี้ได้เป็นแน่ เขาจึงต้องการบอกเล่าให้ทั้งสองคนฟังคร่าวๆ เพื่อเป็นการปูพื้นทำความเข้าใจเบื้องต้น ก่อนเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะอย่างจริงจัง
……
ช่วงเที่ยง..ตระกูลฉินได้จัดงานเลี้ยงส่งเล็กๆให้กับหลิงหยุน และครั้งนี้ฉินจิวยื่อก็มาร่วมรับประทานอาหารกับทุกคนด้วย แต่นางกลับมิได้ทานอะไรมากนัก ระหว่างมื้ออาหารก็เอาแต่ตักอาหารใหักับหลิงหยุน และคอยห้ามปรามฉินเซี่ยฮัวที่เอาแต่ชักชวนหลิงหยุนดื่ม
ฉินเซี่ยฮัวนับเป็นผู้ที่สร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในตระกูลฉินมากที่สุดแม้แต่ภรรยาของเขายังเอ็ดเขาต่อหน้าทุกคน
งานเลี้ยงส่งหลิงหยุนดำเนินไปอย่างสนุกสนานจนกระทั่งบ่ายสองโมงครึ่ง งานเลี้ยงและเสียงหัวเราะก็ได้สิ้นสุดลง
ฉินฉางชิงฉินชุนเผิง ฉินเซี่ยฮัว และคนอื่นๆ ต่างก็พากันไปส่งหลิงหยุนที่สนามบินนานาชาติเสียนหยาง และเมื่อไปถึงสนามบินหลิงหยุนก็พบหวังชงเซียว และแวมไพร์ทั้งห้ารออยู่ก่อนแล้ว
เป็นเพราะแวมไพร์ทั้งห้าตนมิสามารถเข้าใกล้ค่ายกลสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีได้หลิงหยุนจึงต้องให้พวกมันอยู่นอกเมืองแทน
“หลิงหยุน..หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว ข้าจะให้ชุนเฟิงเดินทางไปตระกูลหลิงที่ปักกิ่งโดยเร็วที่สุด เพื่อให้เขาไปเจรจาเรื่องราวเกี่ยวกับสองตระกูลให้เรียบร้อย เจ้าจะได้มิต้องกังวลใจ..”
ก่อนที่หลิงหยุนจะขึ้นไปบนเครื่องที่จอดอยู่นั้นฉินฉางชิงก็ได้เอ่ยปากบอกกับเขา
“ท่านปู่..ท่านช่างรอบคอบยิ่งนัก!”
หลิงหยุนเอ่ยยิ้มๆตัวเขาเองเป็นถึงผู้นำตระกูลหลิง แต่กลับมิค่อยใส่ใจเกี่ยวกับกิจการต่างๆของตระกูลหลิง และยกให้เป็นหน้าที่ของหลิงเย่วทั้งหมดแทน..
แต่เรื่องนี้ฉินฉางชิงเองก็รู้มานานแล้วฉะนั้นแม้หลิงหยุนซี่งเป็นผู้นำตระกูลหลิงจะอยู่ที่ตระกูลฉินก็ตาม เขาจึงมิได้ยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาพูดคุยกับหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย มิได้พูดคุยว่าในวันข้างหน้าตระกูลฉินกับตระกูลหลิง จะร่วมมือกันในเรื่องใดบ้าง..
การที่ฉินชุนเฟิงผู้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลฉินจะเข้าไปคุยกับตระกูลหลิงโดยตรงในเรื่องของความร่วมมือกันในวันข้างหน้า ย่อมเป็นเรื่องที่สมควรยิ่งแล้ว
การที่ฉินชุนเฟิงเลือกที่จะพูดเรื่องนี้ก่อนที่หลิงหยุนจะออกเดินทางหาใช่เป็นเพียงแค่แสดงเจตจำนงค์ของตระกูลฉินเท่านั้น แต่ยังต้องการทำให้หลิงหยุนไร้เรื่องกังวลใจอีกด้วย หาไม่แล้วหลิงหยุนคงไม่ชมว่าฉินฉางชิงเป็นรอบคอบแน่..
ฉินฉางชิงยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นตบบ่าหลิงหยุน–หลิงหยุน เจ้าตั้งใจฝึกฝนให้มาก ทันทีที่ขั้นพลังบ่มเพาะของเจ้าสูงส่งมากพอ หากเจ้ามาที่นี่ในครั้งหน้า ข้ามีเรื่องสำคัญจะให้เจ้าช่วย..-
“เอ่อ…”
หลิงหยุนถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก… –เจ้าอ้ำอึ้งเช่นนี้..หรือเจ้าไม่ต้องการที่จะช่วยข้า เรื่องนี้เกี่ยวพันกับสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีเชียวนะ!-
ฉินฉางชิงเกรงว่าหลิงหยุนจะคิดไปไกลจึงรีบเอ่ยบอกไปพร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่เป็นปริศนาและมีเลศนัย..
ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวของหลิงหยุน..เมื่อสี่สิบปีก่อนตระกูลหลิงไปคุนหลุน ตระกูลฉินไปสุสานจักรพรรดิ ส่วนตระกูลหลงไปเผิงไหล
–ยินดี..ท่านตา ข้าย่อมต้องยินดีเป็นแน่!-
หลิงหยุนรีบย้ำต่อทันที–ท่านตาฉิน ท่านสามารถเรียกใช้ข้าได้ทุกเมื่อ..-
ฉินฉางชิงรู้ได้ทันทีว่าหลิงหยุนเข้าใจในความนัยนี้ได้ทันที จึงได้แต่หัวเราะออกมาและร้องบอกไปว่า
“เอาล่ะเจ้าออกเดินทางได้แล้ว!”
เวลาบ่ายสามโมงครึ่งของวันที่8 ตุลาคม หลิงหยุนนั่งเครื่องบินส่วนตัวกลับไปที่จิงฉู..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร