บทที่ 1472 : ซากปรักหักพัง
เครื่องบินส่วนตัวเทคออฟออกจากท่าอากาศยานและทะยานขึ้นสู่ท้องนภาเบื้องบน..
“ช่างเหลือเกินจริงๆ!นี่นางถึงกับไม่ยอมมาส่งข้าที่สนามบินจริงๆรึ!”
บนเครื่องบินส่วนตัวหลิงหยุนนั่งอยู่ข้างหน้าต่างพร้อมรำพึงรำพันกับตัวเอง เขาส่ายหน้าไปมาและอดที่ยิ้มออกมาอย่างนึกขันไม่ได้
แต่หลิงหยุนก็รู้จักนิสัยของฉินตงเฉวี่ยดี..
เมื่อฉินตงเฉวี่ยรู้ว่าหลิงหยุนไม่พาตนไปด้วยนางก็ได้แต่นั่งหน้าเศร้า และจ้องมองเขาตลอดมื้ออาหาร จนทำให้เขารู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
แต่ก่อนที่รถตู้ซึ่งไปส่งเขาจะแล่นออกจากหมู่บ้านตระกูลฉินนั้นหลิงหยุนสังเกตเห็นว่าฉินตงเฉวี่ยดูเหมือนกำลังจะเดินตรงไปที่รถ แต่กลับถูกฉินจิวยื่อรั้งไว้
“หรือท่านแม่จะล่วงรู้เรื่องระหว่างข้ากับนางงั้นรึ”
หลิงหยุนฉุกคิดขึ้นมาได้แต่แล้วก็ตัดเรื่องนี้ออกจากใจทันที และได้แต่คิดว่าทุกอย่างคงจะต้องผ่านพ้นไปด้วยดี
“เทือกเขาฉินหลิง..ดินแดนแห่งเส้นเลือดมังกร สถานที่ซึ่งเปี่ยมไปด้วยปราณมังกร อีกทั้งยังเป็นสถานที่ลี้ลับยิ่งนัก!”
หลิงหยุนพึมพำออกมาในระหว่างที่เครื่องบินกำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาฉินหลิงหลิงหยุนจ้องมองเทือกเขาเบื้องล่างที่ดูราวกับมังกรตัวใหญ่ผ่านกระจกหน้าต่าง
“แม้บนโลกใบนี้จะขาดแคลนพลังชีวิตก็จริงแต่ในสถานที่เฉพาะบางแห่ง กลับมีพลังชีวิตมากพอสำหรับผู้ฝึกบ่มเพาะพลังไม่น้อยทีเดียว..”
หลิงหยุนยังคงพึมพำกับตัวเอง.. สถานที่เฉพาะที่หลิงหยุนพูดถึงนั้นก็คือภูเขาเพลิง และเทือกเขาฉินหลิงแห่งนี้…
สำหรับผู้ฝึกบ่มเพาะพลังทั้งหลายนั้นหากสามารถค้นพบสถานที่ และวิชาบ่มเพาะที่เหมาะกับธาตุของตนเองแล้ว ย่อมสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วได้เป็นแน่
แต่หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ย่อมส่งผลให้การฝึกฝนล่าช้าได้เช่นกัน..
ยกตัวอย่างเช่นเหมี่ยวเสี่ยวเหมากายของนางเป็นธาตุไม้บริสุทธิ์ หากไปฝึกวิชาพฤกษาขจีบนภูเขาเพลิง อย่าว่าแต่จะไม่สามารถพัฒนาขั้นพลังบ่มเพาะได้เลย ขั้นพลังอาจตกต่ำลงก็เป็นได้ หรือไม่ก็อาจถูกเผากลายเป็นกำยานเครื่องหอมไปเลยก็ได้
แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นภูเขาเพลิงที่มีพลังชีวิตธาตุไฟหนาแน่นหรือเทือกเขาฉินหลิงซึ่งมีปราณมังกรหนาแน่นเช่นกัน หากเปรียบเทียบกับโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่แล้ว ก็ยังนับว่ามีพลังชีวิตที่แห้งแล้งอยู่ดี
หรือหากจะเปรียบเทียบให้ชัดเจนกว่านั้นก็คือในที่ที่มีพลังชีวิตอุดมสมบูรณ์สูงสุดบนโลกใบนี้ หากจะเทียบกับโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่แล้ว ก็เท่ากับเสี้ยวหนึ่งของสถานที่ที่มีพลังชีวิตแร้นแค้นที่สุดของโลกบ่มเพาะเท่านั้นเอง
ช่องว่างในเรื่องนี้ของทั้งสองโลกจึงนับว่าห่างไกลกันอย่างมากมาย..
“แต่อย่างน้อยบนโลกใบนี้มีมังกรอยู่จริง..”
หลิงหยุนพึมพำออกมาด้วยแววตาเป็นประกายอย่างพึงพอใจ
มังกรมีหลายเผ่าพันธุ์และหลากหลายระดับตั้งแต่สูงไปจนกระทั่งต่ำสุด แต่มังกรที่โตเต็มวัยนั้นจะสามารถว่ายวนอยู่ในห้วงอากาศที่ว่างเปล่าได้ และพวกมันก็จะมีเกณฑ์คัดเลือกที่อยู่อาศัยด้วยตนเอง
เช่นเดียวกับนกที่เลือกไม้อยู่เอง..
พวกมันจะมิยอมเลือกไปอยู่ในดาวเคราะห์ที่มีพลังชีวิตขาดแคลนและเป็นอุปสรรคต่อการแพร่พันธุ์ออกลูกออกหลานเป็นแน่ มังกรย่อมต้องเลือกดาวเคราะห์ที่มีพลังชีวิตเต็มเปี่ยมที่สุดเพื่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของเผ่าพันธุ์พวกมัน
“โลกนี้หาใช่มีเพียงแค่มังกรจริงๆไม่แต่ยังมีบรรพชนของเหล่ามังกรอีกด้วย!”
หลิงหยุนนึกถึงสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีขึ้นมาอีกครั้งเหตุใดเขาจึงพูดว่าสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีคือบรรพชนมังกรอย่างนั้นหรือ นั่นเพราะว่าสถานที่แห่งนั้นคือสุสานของจักรพรรดิองค์แรกอย่างไรกันเล่า..
เขาฝึกวิชาอยู่หน้าทางเข้าสุสานเพียงแค่สามวันแต่กลับได้รับประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล จนสามารถพัฒนาระดับพลังบ่มเพาะได้
หลิงหยุนดูดซับพลังหยินเข้าไปมากมายและถึงแม้ปราณมังกรที่เขาดูดซับเข้าไปจะน้อยกว่ามาก แต่กลับมีความบริสุทธิ์และทรงพลังอย่างยิ่ง!
หลิงหยุนจำได้ว่าปราณมังกรที่ร่างกายของเขาดูดซับเข้าไปนั้น ได้ไหลตรงเข้าสู่จุดตันเถียนของเขาในทันที และได้ถูกเส้นโค้งรูปมังกรภายในจุดตันเถียนอันแสนอันศจรรย์ของเขานั้นดูดซับเข้าไปจนหมด
เวลานี้มิอาจเรียกว่าเส้นโค้งรูปมังกรได้เต็มปากอีกนั่นเพราะเวลานี้มันมิได้มีเพียงแค่แขนขาที่งอกออกมาเท่านั้น แต่เริ่มมีนิ้วและกรงเล็บงอกออกมาในแต่ละเท้าอีกด้วย
แม้กรงเล็บมังกรที่เพิ่งงอกออกมานี้จะเล็กและบางยิ่งกว่าเส้นผมแต่หลิงหยุนก็สามารถเห็นชัดเจนได้ด้วยจิตหยั่งรู้ของตนว่า มันมีอยู่ทั้งหมดห้าเล็บ!
กรงเล็บมังกรทองทั้งห้า!
“หากฝึกต่ออีกสักหน่อยคงจะได้เห็นเกล็ดของมันปรากฏขึ้นเป็นแน่..”
หลิงหยุนสัมผัสได้ว่าเส้นโค้งรูปมังกรทองของเขานั้นค่อยๆเปลี่ยนไปทีละขั้นๆแม้ว่าเรือนร่างของมังกรจะยังดูเรียบและหยาบ แต่ก็ดูเป็นรูปเป็นร่าง และสามารถมองออกว่าเป็นมังกรที่กำลังเติบโตเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นตันเถียนที่เลี้ยงดูมังกรทอง!
แต่ช่างน่าเสียดาย..ถึงแม้จะดูออกว่าเป็นร่างของมังกร แต่ก็ยังเป็นแค่เส้นโค้งเท่านั้น เพราะศรีษะมังกรยังมิได้ปรากฏ และยังไร้วี่แววว่าจะปรากฏเด่นชัดเมื่อใด
“ไม่แน่ว่าการที่ข้าสัมผัสรังสีอันตรายจากค่ายกลสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีนั้นอาจมิใช่เพราะข้าดูดซับพลังหยินเข้าไปก็เป็นได้ แต่เป็นเพราะข้าดูดซับปราณมังกรนี้เข้าไปต่างหากเล่า..”
หลิงหยุนพึมพำพร้อมกับยิ้มออกมา..
คำถามคือ..เหตุใดบนโลกใบนี้จึงเรียกขานชาวจีนว่าลูกหลานมังกร
หลิงหยุนถอนสายตาจากหุบเขาเบื้องล่างและเหม่อมองออกไปบนท้องฟ้าไกลผ่านกระจก ภายใต้ดวงตาที่ลุ่มลึกนั้น กำลังมองย้อนกลับไปในห้วงเวลาและห้วงมิติเมื่อหลายพันปีก่อน หลิงหยุนกำลังนึกย้อนไปถึงประเทศจีนในยุคโบราณยุคที่เป็นเพียงแค่ตำนานเรื่องเล่า..
ในยุคนั้นโลกใบนี้จะมีพลังชีวิตที่มากมายเพียงใด อย่างน้อยๆ ก็คงจะต้องมากกว่าในโลกบ่มเพาะที่แท้จริงหลายเท่าใช่หรือไม่?
ภูเขาเพลิงเทือกเขาฉินหลิง เทือกเขาคุนหลุน… สถานที่เหล่านี้มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าซากปรักหักพังของสถานที่ ซึ่งเคยมีพลังชีวิตอุดมสมบูรณ์เท่านั้น..
และเป็นเครื่องบ่งบอกถึงจุดสิ้นสุดของยุคนั้น..
แต่ประเด็นสำคัญคือ..หลังจากที่โลกใบนี้ได้กลายเป็นแค่ซากปรักหักพังของพลังชีวิตแล้ว ผู้คนที่เคยเหาะเหินไปมาบนท้องนภา เหล่าปรมาจารย์ในยุคโบร่ำโบราณเหล่านั้น และมังกรทั้งหลาย.. พวกเขาเหล่านั้นไปอยู่ที่ใดกัน
หรือทั้งหมดจะตายพร้อมกันในคราวเดียวงั้นหรือ
“ครั้งหนึ่งพู่กันจักรพรรดิเคยบอกกับข้าว่า..มีผู้คนมากมายกำลังรอข้าอยู่ ว่าแต่พวกเขารอข้าอยู่ที่ใดกัน”
ครั้งนั้นหลิงหยุนเองก็คิดที่จะถามพู่กันจักรพรรดิออกไปตรงๆแต่เขาก็รู้ดีว่าขั้นพลังของตนยังมิแข็งแกร่งพอ ต่อให้ถามไปพู่กันจักรพรรดิก็คร้านที่จะบอกแก่เขาอยู่ดี..
เวลานี้..เขายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะใช้พู่กันจักรพรรดิด้วยซ้ำไป คิดแล้วหลิงหยุนก็ได้แต่ยิ้มขื่น..
“เฮ้อ..เครื่องบินนี่บินช้าจริงๆ!”
หลิงหยุนเฝ้ามองเครื่องบินที่เพิ่งบินผ่านเทือกเขาฉินหลิงและกำลังมุ่งสู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้อย่างเชื่องช้า จนถึงกับต้องบ่นพึมพำออกมา
ระยะทางเพียงแค่นี้แต่กลับต้องใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงอยู่บนเครื่องบิน หากหลิงหยุนเหาะไปเองด้วยความเร็วสูงสุดของเขา จะใชเ้วลาเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น
“เจ้านายที่เคารพ..นี่ไวน์แดงของเจ้านาย ลองลิ้มรสชาติดู!”
หลังจากที่ขึ้นเครื่องมานั้นพอลก็ได้เฝ้ารอหลิงหยุนที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง และคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ทันทีที่เห็นหลิงหยุนถอนสายตาออกมาแล้ว พอลจึงรีบส่งแก้วไวน์ให้กับเขาทันที
นี่เป็นเครื่องบินส่วนตัวบนเครื่องจึงมีเครื่องมือเครื่องใช้ และอาหารการกินที่สะดวกครบครันที่สุด
“ขอบใจ!”
หลิงหยุนยกแก้วไวน์ขึ้นจิบพร้อมกับพยักหน้าอย่างพอใจ “รสชาติไม่เลวเลย!”
“ขอบคุณเจ้านายที่เคารพ”
พอลโน้มตัวลงทำความเคารพตามแบบตะวันตกเขาเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “หากเจ้านายไปบ้านเกิดข้า ข้าจะเลี้ยงไวน์แดงชั้นเลิศที่ดีที่สุดในโลก!” หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ข้าต้องได้ไปสักวันแน่!”
“คุณชายหลิง..”
หวังชงเซียวเอ่ยเรียกหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นอย่างระมัดระวังตัว “เอ่อ.. เหตุใด.. ท่านจึง..”
หลิงหยุนหันไปยิ้มให้หวังชงเซียวพร้อมกับพูดแทรกขึ้นมาทันที“เจ้าจะถามข้าว่า.. เหตุใดข้าจึงทิ้งตี้เสี่ยวอู๋และคนอื่นๆไว้ที่นั่นใช่หรือไม่”
เมื่อครั้งที่เดินทางมาตระกูลฉินนั้นมีทั้งเย่ซิงเฉิน ไป๋เซียนเอ๋อ ฉินตงเฉวี่ย ตี้เสี่ยวอู๋ และโม่วู๋เตาร่วมเดินทางมาด้วย แต่ขากลับทั้งห้าคนต่างก็มิได้กลับมาด้วย หวังชงเซียวจึงได้แต่นึกประหลาดใจ
“พวกเขาแตกต่างจากเจ้า..เจ้าฝึกบ่มเพาะมานานแล้ว แต่พวกเขานั้น บางคนก็อยู่ในช่วงรอยต่อ บางคนก็อยู่ในระหว่างการพัฒนาขั้นพลัง ทุกคนต่างก็ต้องการเวลาสำหรับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จะให้พวกเขามาตะลอนตามข้าไปได้อย่างไรกันเล่า..”
หลิงหยุนอธิบายให้กับหวังชงเซียวฟังต่อ“ส่วนโม่วู๋เตานั้น นี่เป็นโอกาสของเขา พวกเราเพียงแค่รอดูว่าหลังจากนี้ เขาจะได้รับประโยชน์อันใดกลับมาบ้าง..”
หวังชงเซียวเอ่ยถามหลิงหยุนต่อว่า“คุณชายหลิง.. เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋อยู่ในขั้นใดแล้ว”
หวังชงเซียวคงมิอาจเอาตนเองไปเปรียบเทียบกับสตรีได้จึงเหลือเพียงตี้เสี่ยวอู๋คนเดียวที่เขาพอจะเปรียบเทียบได้
“เวลานี้เขาเข้าสู่ระดับกลางขั้นอู่เฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-5) แล้ว แต่ว่า..”
หลิงหยุนเหลือบมองหวังชงเซียวในดวงตาของเขามีแววขบขันเล็กน้อย “แต่หากประมือกับเจ้า เขาสามารถรับมือเจ้าได้อย่างไม่มีปัญหาทีเดียว..”
“…”
หวังชงเซียวถึงกับอึ้งไปทันที..
หวังชงเซียวฝึกวรยุทธบ่มเพาะมานานหลายสิบปีและเพิ่งจะเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) และหลิงหยุนยังได้ถ่ายทอดวิชาหมัดเถียนกังให้อีกด้วย
แต่ตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งติดตามหลิงหยุนได้เพียงครึ่งปีกลับสามารถเข้าสู่ระดับกลางขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) ได้แล้ว อีกทั้งยังแข็งแกร่งสามารถรับมือเขาได้เช่นนี้..
“เฒ่าหวัง..อย่าได้เศร้าไปเลย! เจ้าอย่าลืมว่าเสี่ยวอู๋ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากข้า หากเขามิแข็งแกร่งเช่นนั้น หาใช่เขาที่ต้องอับอาย แต่ต้องเป็นข้าต่างหากเล่า!”
หลิงหยุนกล่าวต่อยิ้มๆ“การที่ขั้นพลังของเขาต่ำกว่าเจ้า แต่กลับสามารถรับมือเจ้าได้เช่นนี้ หาใช่เพราะเขามีพรสวรรค์มากกว่าเจ้า แต่เป็นเพราะวิชาวรยุทธบ่มเพาะของเขาต่างหาก..”
ทั้งวิชามังกรทองคะนองวิชาใต้ปฐพี วรยุทธหนึ่งใช้จู่โจม ในขณะที่อีกหนึ่งใช้ปกป้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชามังกรทองคะนองที่ทรงพลังยิ่ง หวังชงเซียวไม่เพียงพยักหน้าแต่กลับคุกเข่าลงตรงหน้าหลิงหยุนราวกับว่าเขาคืออาจารย์ของตน
“เอาล่ะ..เจ้ามิต้องกังวลใจไป ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี รอให้ข้ามีเวลาว่าง และจัดการกับภารกิจสำคัญเสร็จสิ้นเสียก่อน แล้วข้าจะถ่ายทอดวรยุทธบ่มเพาะที่เหมาะสามกับธาตุในกายให้กับเจ้า รับรองว่าเจ้าจะไม่ผิดหวังเป็นแน่..”
“ขอบคุณคุณชายหลิง..!!”
หวังชงเซียวร้องขอบคุณหลิงหยุนด้วยความดีอกดีใจ..
หลิงหยุนได้แต่พยักหน้าและยิ้มให้..
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร