บทที่ 1473 : ประสบการณ์ใหม่
เวลาหกโมงเย็น..เครื่องบินส่วนตัวของหลิงหยุนก็ได้ลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติจิงฉู
“พี่หยุน!!”
ถังเมิ่งได้ไปรอเขาถึงด้านในที่เครื่องบินลงจอดเมื่อหลิงหยุนเดินลงจากเครื่องก็พบถังเมิ่งที่วิ่งเข้ามาทักทาย และโผเข้ากอดเขาทันที
สองพี่น้องต่างก็ไม่ได้พบเห็นหน้ากันนานนับสิบวันแล้ว..
“นี่..ดูท่านายจะว่างมากสินะ ถึงได้มีเวลามารับฉันที่สนามบินแบบนี้!”
หลิงหยุนจ้องมองใบหน้าแดงก่ำและชุ่มไปด้วยเหงื่อของถังเมิ่งในขณะที่เอ่ยถามออกไปและอดที่จะนึกขันไม่ได้
ถังเมิ่งได้ฟังหลิงหยุนพูดแล้วก็ถึงกับยิ้มกว้างจนตาตี่เขาหันไปตอบหลิงหยุนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่หยุน.. เดี๋ยวนี้เวลามีเรื่องอะไรยากๆ ฉันก็จะพูดเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น.. ไปให้ท่านประธานเป็นคนตัดสินใจ!! แค่นี้ก็จบแล้ว..”
หลิงหยุนถึงกับยิ้มออกมาพร้อมกับตอบไปว่า“มิน่าล่ะ.. วันนี้เม่ยเฟิงถึงไม่มีเวลาว่างมารับฉันที่สนามบิน!”
ถังเมิ่งถึงกับต้องแก้เก้อด้วยการกระแอมเบาๆแต่ถังเมิ่งก็ยังคงเป็นถังเมิ่งที่ลื่นไหลเช่นเคย เขารีบอธิบายให้หลิงหยุนฟังทันที
“ใครบอกล่ะพี่หยุน..มันไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิดเลย เป็นเพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มทำงานหลังจากวันหยุดต่างหากล่ะ พี่เม่ยเฟิงก็เลยมีประชุมมากมายจนปลีกตัวมาไม่ได้ ส่วนฉันไม่ต้องเข้าประชุม ก็เท่านั้นเอง!”
“หึ..นายยังคงหาข้อแก้ตัวได้เก่งเหมือนเดิมสินะ!”
หลิงหยุนโบกไม้โบกมือไล่ให้ถังเมิ่งออกเดิน“เอาล่ะๆ รีบไปขึ้นรถกันได้แล้ว” ถังเมิ่งนำรถมาทั้งหมดสามคันพวกเขาทั้งสองขึ้นไปนั่งบนรถคันสีดำ ส่วนคนอื่นๆต่างก็แยกย้ายไปนั่งรถคันอื่น เว้นเพียงเจสเตอร์ที่หลิงหยุนสั่งให้มาทำหน้าที่ขับรถให้กับเขาและถังเมิ่ง..
ส่วนหวังชงเซียวนั้นก็มิได้รู้สึกกังวลใดๆเพราะเขารู้ดีอยู่แล้วว่าถังเมิ่งจะต้องเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมแล้ว..
เมืองจิงฉูแห่งนี้นับเป็นฐานทัพที่แข็งแกร่งของหลิงหยุนยิ่งนัก!
ภายในรถ..หลิงหยุนกับถังเมิ่งนั่งคู่กันที่เบาะหลัง และคุยกันไปอย่างสบายอกสบายใจ
“พี่หยุน..กลับเข้าเมืองช่วงนี้ต้องเจอรถติดแน่ๆ”
“นายไม่ต้องห่วง..รถติดอาจจะเป็นปัญหาสำหรับคนอื่น แต่ไม่ใช่ฉัน.. พวกเราขับไปเรื่อยๆก่อนแล้วค่อยหาที่จอดข้างทาง”
หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัยเขาวางแผนไว้ในใจว่าวันนี้จะต้องพาถังเมิ่งเหาะไปบนท้องนภา เพื่อให้เขาได้เปิดหูเปิดตา และเป็นการฝึกความกล้าหาญให้กับถังเมิ่งด้วย
ถังเมิ่งรู้ว่าหลิงหยุนนั้นมีภารกิจรัดตัวอีกทั้งยังต้องฝึกฝนวิชาด้วย เรียกได้ว่าต้องทำทุกอย่างแข่งกับเวลา จึงมิได้มีเวลาเหลือให้กับเขามากมายนัก
เวลานี้..ถังเมิ่งดำรงตำแหน่ง Chief Executive Officer ของบริษัท หลิงหยุน คอร์ปอเรชั่น แม้ว่าจะไม่ได้ทำหน้าที่ตัดสินใจในเรื่องต่างๆของบริษัทแล้ว แต่เรื่องใหญ่โตในบริษัทย่อมจำเป็นที่เขาจะต้องรับรู้ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ถังเมิ่งจึงมิได้มีเวลาว่างที่จะเที่ยวเล่นไปเรื่อยดังเช่นเมื่อก่อน
แต่บริษัทหลิงหยุน คอร์ปอเรชั่นนั้น เจ้าของที่แท้จริงยังคงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นซึ่งก็คือหลิงหยุนนั่นเอง!
“พี่หยุน..ตอนนี้บริษัทหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นของเราได้ลงทุนในท่าอากาศยานนานาชาติจิงฉูด้วยนะ มีสัดส่วนการถือหุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นไปห้าพันล้านหยวน ลงนามข้อตกลงร่วมมือเชิงกลยุทธ์สำหรับสิบปีข้างหน้า..”
“เยี่ยมมาก!”
หลิงหยุนอดที่จะเอ่ยชื่นชมความสามารถของเฉิงเม่ยเฟิงไม่ได้..
ปัจจุบันเมืองจิงฉูมีสนามบินเพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้นเนื่องจากท่าอากาศยานและการบินเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ธุรกิจประเภทนี้จึงถูกควบคุมโดยรัฐ ฉะนั้นการได้รับส่วนแบ่งของหุ้นในอัตราสามสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเวลาสิบปีนั้น จึงนับว่าเป็นอัตราที่สูงมากแล้ว
ส่วนในอนาคตนั้นหลังจากที่ศูนย์วิจัยยาของหลิงหยุนในเขตหลินเจียงเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ที่นั่นจะกลายเป็นสถานที่สำคัญสำหรับวงการแพทย์เลยทีเดียว และเมื่อถึงเวลานั้นท่าอากาศยานนานาชาติจิงฉู จะกลายเป็นท่าอากาศยานที่พลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว.. “พี่หยุน..พี่เข้าใจผิดแล้ว!”
ถังเมิ่งรีบส่ายหน้าปฏิเสธเพราะรู้ว่าหลิงหยุนกำลังคิดอะไรอยู่พร้อมกับอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ความจริงที่พี่เม่ยเฟิงลงทุนในท่าอากาศยานนานาชาติจิงฉูนั้นเธอเพียงแค่ต้องการให้พี่สามารถเดินทางกลับมาที่นี่ได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้นเอง! ไม่ได้คิดถึงเรื่องผลกำไรอะไรเลย..”
“เอ่อ…”
หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปทันทีและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก..
เฉิงเม่ยเฟิงใช้เงินมากถึงห้าพันล้านหยวนเพียงเพื่อต้องการให้เขากลับจิงฉูได้สะดวกสบายและง่ายขึ้นเท่านั้นรึ
หลังจากที่เหลือบมองถังเมิ่งเล็กน้อยหลิงหยุนจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เฮ้อ.. นี่มันขี่ช้างจักตั๊กแตนชัดๆ!!”
“ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะของชายหนุ่มทั้งสองดังประสานอยู่ในรถจากนั้นเสียงของเจสเตอร์ก็ดังขึ้น..
“เจ้านายทั้งสอง..หยุดหัวเราะก่อนจะได้หรือไม่ ดูสิข้าตกใจจนรถแฉลบออกนอกเลนแล้ว!”
เจสเตอร์เห็นทั้งสองคนเอาแต่หัวเราะไม่หยุดจึงรีบยกมือขึ้นทำท่าทำทางร้องบอก..
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นก็แทบอยากยกเท้าถีบเจสเตอร์ให้หัวคะมำเพราะมันกำลังขับรถมาด้วยความเร็วสูง แต่กลับปล่อยมืออกจากพวงมาลัยเช่นนั้น รถจะไม่วิ่งแฉลบออกนอกเลนได้อย่างไรกัน
“นี่พี่หยุน..เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ท่านอาจารย์ของฉันได้มาพบพี่เม่ยเฟิงที่จิงฉูด้วยล่ะ! ทั้งคู่คุยกันเรื่องแผนการลงทุนและพัฒนาบริษัทกันอยู่ตั้งนานแน่ะ!”
“อาจารย์ของนายหมายถึงลุงสองของฉันเหรอ?!” “ใช่แล้ว!!”
ถังเมิ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ“พีหยุน.. ครั้งนี้ฉันได้ยกน้ำชาทำการคาราวะท่านอาจารย์อย่างถูกต้องแล้วด้วยนะ..”
“หึ..นายจะได้ประโยชน์มากเลยทีเดียวล่ะ!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ“ฉันหวังว่านายจะไม่สร้างความเสื่อมเสียให้กับอาจารย์หรอกนะ..”
ถังเมิ่งจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับทำสีหน้าไม่พอใจก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่องพูด “พี่หยุน.. ท่านอาจารย์บอกว่าที่ปักกิ่งมีงานยุ่งมาก ก็เลยรีบกลับด้วยเครื่องบินส่วนตัวในคืนนั้นเลย แต่ก็ได้บอกกับพี่เม่ยเฟิงว่า สะสางงานแล้วให้เธอรีบตามเขาไปที่ปักกิ่งโดยเร็ว”
“งั้นรึ”
หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้แต่แล้วจู่ๆก็เหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบถามถังเมิ่งไปว่า “นอกจากเม่ยเฟิงแล้ว ลุงสองได้ไปพบใครในจิงฉูอีกมั๊ย”
“ก่อนกลับ..ท่านอาจารย์ได้แวะไปเยี่ยมท่านหมอเสี่ยว ไปคลินิกสามัญชน ไปโรงพยาบาลหลิงหยุน ไปบ้านเลขที่-1 แล้วก็ไปบ้านเลขที่-9 ด้วย จากนั้นก็ขอให้ฉันช่วยพาขับรถชมรอบๆเมืองอีกด้วย”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับอึ้งไปและได้แต่คิดในใจว่าลุงสองของเขานั้น แท้จริงแล้วหาได้ตั้งใจมาหาเฉิงเม่ยเฟิงไม่ แต่ที่ลุงสองมาจิงฉูนั้น ก็เพื่อต้องการสำรวจตรวจสอบเรื่องของเขาต่างหากเล่า..
“พ่อของฉันกับลุงหลี่..พอได้ยินว่าอาจารย์มาจิงฉู ก็อยากจะมาคาราวะ แต่ท่านอาจารย์กลับห้ามไว้ และให้เหตุผลว่าเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม!”
“อืมม..”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย“คงต้องรอไปก่อน นี่ยังนับว่าเร็วเกินไป อีกอย่าง.. มีนายกับเม่ยเฟิงดูแลกิจการทุกอย่างของที่นี่ ก็สามารถดำเนินไปได้ด้วยดีแล้ว ยังไม่จำเป็นที่ท่านลุงทั้งสองจะต้องรีบร้อน..”
ถังเมิ่งรีบยกนิ้วโป้งให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“พี่หยุน พี่นี่เยี่ยมจริงๆ! ท่านอาจารย์ก็บอกฉันแบบนี้เหมือนกัน!”
“พี่หยุน..พี่คงยังไม่รู้ว่าเวลานี้ตระกูลหลี่ขยันขันแข็งมากแค่ไหนสินะ!”
จู่ๆถังเมิ่งก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น“หลังจากที่ตระกูลหลี่เข้ามามีหุ้นส่วนในศูนย์วิจัยยาในเขตหลินเจียงของเรา เขาก็ได้ประสานงานกับทางรัฐบาล และวางแผนการดำเนินงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ การก่อสร้างก็ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง!”
หลิงหยุนฟังแล้วกลับไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรนักเขาเพียงแค่บอกกับถังเมิ่งว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ตระกูลหลี่ได้ร่วมธุรกิจกับฉัน และเป็นโอกาสที่พวกเขาจะได้แสดงฝีมือ พวกเขาจะไม่ทำอย่างเต็มที่ได้ยังไงกันล่ะ”
“..จริงด้วยสินะ!!” ถังเมิ่งยกมือขึ้นเกาศรีษะและเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่ตระกูลหลี่ได้นำของขวัญสามชิ้นมามอบให้กับหลิงหยุน ความตื่นเต้นของเขาพลันมลายหายไปทันที
“เอาล่ะๆเรื่องพวกนี้ฉันฟังมามากแล้ว นายเล่าเรื่องของเหออวี้ฉงให้ฉันฟังดีกว่า..”
หลิงหยุนกลับจิงฉูในครั้งนี้ด้วยเรื่องใหญ่ๆสองเรื่องซึ่งก็คือเรื่องของท่านหมอเสี่ยวกับเผ่าเหมี่ยวเจียง และเรื่องของเหออวี้ฉงซึ่งดูเหมือนเขาจะต้องไปจัดการด้วยตัวเอง
“เอ่อ..เหออวี้ฉงเหรอ!”
เมื่อพูดถึงเหออวี้ฉงถังเมิ่งถึงกับหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย และรีบบอกกับหลิงหยุนไปว่า “ตอนนี้เธออยู่ที่จิงฉูแล้ว ระหว่างรอพี่กลับมา ฉันให้เธอไปพักที่โรงแรมไคเฉวียน รับรองได้ว่าปลอดภัยแน่!”
หลิงหยุนเองก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆนี้ของถังเมิ่งเขาเพียงแค่ยิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้น แต่มิได้จงใจที่จะถามถังเมิ่ง
“เอาล่ะนายไปบอกกับเหออวี้ฉงว่าวันนี้ฉันยังไม่ว่าง พรุ่งนี้เช้าจะไปพบเธอที่โรงแรม.. ส่วนนายก็ไปกับฉันด้วย!”
“ได้เลยพี่หยุน!!”
ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจอย่างมาก..
“เจ้านายที่เคารพ..จะให้เจสเตอร์ขับไปที่ไหนดี”
หลังจากขับออกจากสนามบินได้ครู่หนึ่งและใกล้ที่จะเข้าสู่ตัวเมืองแล้ว เจสเตอร์จึงหันไปถามหลิงหยุนเพื่อที่จะได้วางแผนเรื่องเส้นทางการขับรถของตนเอง
และเวลานี้เจสเตอร์เองก็คุ้นเคยกับเส้นทางในเมืองจิงฉูดีกว่าหลิงหยุนเสียอีก..
“ไปบ้านเลขที่-1!”
หลิงหยุนตอบกลับไปทันทีเขากลับมาจิงฉูทั้งที คนแรกที่เขาต้องการที่จะพบย่อมต้องเป็นจินเหยียว! แต่เมื่อขับไปจนกระทั่งใกล้จะเข้าสู่ตัวเมืองแล้วหลิงหยุนก็ร้องตะโกนบอกเจสเตอร์
“หาที่จอดรถ..”
เมื่อพบว่าเป็นเขตที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมาหลิงหยุนก็รีบสั่งให้เจสเตอร์หาที่จอดรถทันที พร้อมกับปรายตามองถังเมิ่งเป็นการส่งสัญญาณให้เขาลงจากรถ
ถังเมิ่งมองหน้าหลิงหยุนงงๆพร้อมกับถามขึ้นว่า“พี่หยุน.. พี่จะลงไปทำอะไรที่นี่”
“ลงมาเถอะน่า..เดี๋ยวนายก็รู้เองล่ะ!”
เมื่อถังเมิ่งก้าวออกมาจากรถหลิงหยุนก็จับมือของเขาไว้ พร้อมกับสร้างเกราะลมปราณที่มองไม่เห็นด้วยตาขึ้นครอบร่างของเขาไว้ แล้วรีบพาถังเมิ่งเหาะเข้าไปในป่าข้างทางอย่างรวดเร็ว
วิชาล่องหน!
“ไปกันได้แล้ว!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ไม่รอช้าพาถังเมิ่งเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว! “อ๊าก!!!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือดดังลั่นไปทั่วทั้งป่าใหญ่เมื่อร่างของถังเมิ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าผ่านก้อนเมฆไปก้อนแล้วก้อนเล่า แต่เสียงกรีดร้องนั้นก็ยังคงดังทะลุก้อนเมฆลงมาไม่หยุด!!
เป็นเพราะหลิงหยุนนึกถึงสภาพร่างกายของถังเมิ่งเขาจึงเหาะขึ้นไปด้วยความเร็วที่เชื่องช้ามาก แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ถังเมิ่งตกใจอย่างมากแล้ว
“เฮ้อ..น่าขายหน้าชะมัด!!” หลิงหยุนพึมพำออกมาด้วยความรู้สึกอับอายแทนถังเมิ่ง
“นายลืมตาขึ้นเดี๋ยวนี้!”
หลิงหยุนใช้มังกรคำรามร้องตะโกนสั่งถังเมิ่งที่เอาแต่หลับตาและไม่กล้ามองลงไปที่พื้นดินเบื้องล่าง
“ถ้านายยังไม่ลืมตา..ฉันจะปล่อยนายเดี๋ยวนี้!!” หลิงหยุนสั่งเสียงห้วน
“อย่าๆๆพี่หยุนอย่า!!” ถังเมิ่งรีบร้องห้ามและยังคงกรีดร้องออกมาราวกับหมูที่กำลังถูกฆ่า
“ฉันแค่อยากให้นายได้รับประสบการณ์ที่จะต้องจดจำไปอีกนานแต่นายกลับขี้ขลาดกว่าหนิงน้อยซะอีก!!”
หลิงหยุนเอ่ยยิ้มๆในขณะที่ค่อยๆพาถังเมิ่งเหาะตรงไปยังบ้านเลขที่-1
“เห็นมั๊ยว่าไม่ต้องไปผจญกับรถที่ติดหนึบอยู่บนถนน!”
หลังจากที่เหาะไปไกลได้ระยะหนึ่งแล้วถังเมิ่งก็เริ่มคุ้นเคย และหันไปถามหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“ก็บนนี้ไม่มีรถ..แล้วจะมีรถติดได้ยังไงล่ะ!”
หลังจากที่ปรับตัวได้แล้วจากความน่ากลัวเมื่อครู่ ก็ได้เปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นแทน แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับถังเมิ่งในตอนนี้ก็คือ.. ใต้ฝ่าเท้าที่โล่งว่างเมื่อครู่นั้น เวลานี้ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างรองรับอยู่ คล้ายกับว่าเขากำลังยืนอยู่บนพื้นดิน
“พี่หยุน!!ทำไมฉันยืนอยู่บนท้องฟ้าได้เหมือนกับว่ากำลังยืนอยู่บนพื้นดินเลยล่ะ!”
“อ่อ..ที่นายเหยียบอยู่นั่น เป็นเพียงแค่มวลของพลังปราณเท่านั้น เอาล่ะ.. ได้วเลาที่จะโห่ร้องตื่นเต้นกับภาพของแม่น้ำและภูเขาด้านล่างแล้ว!!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร