บทที่ 643 : โกงการสอบ!
หลิงหยุนนิ่งและหันไปมองผู้คุมสอบทันที..
“นักเรียน..เธอไม่ใช่คนเดียวกับเจ้าของบัตรประจำตัวสอบ..”
“ผมเป็นเจ้าของบัตรประจำตัวสอบใบนี้ครับ..”
“เธอจะเป็นเจ้าของบัตรประจำตัวสอบนี่ได้ยังไงในเมื่อคนในรูปหน้าอ้วนขนาดนั้น แต่เธอกลับผอมขนาดนี้..”
“นั่นเป็นรูปผมตอนอ้วนครับผมลดน้ำหนัก..” หลิงหยุนอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ลดน้ำหนักงั้นเหรอเท่าที่ฉันรู้ บัตรประจำตัวสอบเพิ่งจะจัดทำขึ้นเมื่อกลางเดือนมีนาคม เพียงแค่สองเดือนเธอสามารถลดน้ำหนักลงได้มากขนาดนี้เชียวเหรอ?” ผู้คุมสอบถามอย่างไม่ยอมเชื่อ
ความจริงหลิงหยุนเองก็พบปัญหานี้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เขาได้รับบัตรประจำตัวสอบใบนี้มาแล้วหนิงหลิงยู่ก็เคยแนะนำให้เขาไปแจ้งทางโรงเรียน แต่หลิงหยุนกลับไม่ได้คิดอะไรและใส่ใจอะไรมากในตอนนั้น และในที่สุดตอนนี้มันก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้
“ครูหวัง..คุณช่วยดูเด็กนักเรียนคนนี้หน่อยสิว่าเป็นคนเดียวกับในรูปหรือเปล่า”
ผู้คุมสอบคนแรกถือบัตรประจำตัวสอบของหลิงหยุนไว้ในมือเขาดูรูปแล้วเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนทั้งด้านซ้ายและด้านขวาอยู่หลายรอบ แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ จึงร้องเรียกให้ผู้คุมสอบอีกคนให้มาช่วยดู
ครูหวังหยิบบัตรประจำตัวสอบของหลิงหยุนมาและตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ดูจากโครงหน้ากับดวงตาก็คล้ายกับในรูปอยู่เหมือนกันแต่ก็มีความแตกต่างกับในรูปมากเกินไป! คนในรูปอ้วน ตัวจริงผอม ใหนจะยังสีผิวอีก ดูเหมือนในรูปจะผิวคล้ำกว่าตัวจริงมาก นี่เธอมาเข้าสอบแทนคนอื่นหรือเปล่า”
แต่จะตำหนิผู้คุมสอบทั้งสองคนที่รู้สึกผิดสังเกตและหวาดระแวงไม่ได้เพราะระหว่างรูปถ่ายกับตัวจริงของหลิงหยุนนั้นช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน หากให้คนดูสิบคน เก้าคนครึ่งก็คงไม่เชื่อว่าเป็นคนเดียวกัน
หลิงหยุนในรูปนั้นอย่างน้อยๆก็ต้องมีน้ำหนักเกือบสองร้อยกิโลกรัม แต่หลิงหยุนคนปัจจุบันน้ำหนักยังไม่ถึงร้อยกิโลกรัมด้วยซ้ำไป อีกทั้งหลิงหยุนคนก่อนนั้นนอกจากจะอ้วนแล้ว ใบหน้าและแววตายังดูเศร้าอีกด้วย ในขณะที่หลิงหยุนคนปัจจุบันกลับมีแววตาเป็นประกายด้วยความเย่อหยิ่งถือดี และผิวพรรณก็ละเอียดผ่องใสราวกับผลึกแก้ว ที่สำคัญมีลักยิ้มข้างซ้ายที่มีเสน่ห์อย่างมาก!
แต่หากไม่ใช่เพราะยังคงมีความเหมือนกันหลงเหลืออยู่บ้างแล้วล่ะก็หลิงหยุนคงจะต้องถูกผู้คุมสอบทั้งสองคนปักใจเชื่อว่ามาสอบแทนคนอื่นไปแล้ว
“นักเรียน..เธอพิสูจน์ได้มั๊ยว่าเป็นคนเดียวกับคนในรูปถ่ายจริง”
ครูผู้คุมสอบคนแรกหยิบบัตรประจำตัวสอบของหลิงหยุนขึ้นมาดูอีกครั้งพร้อมกับร้องถาม..
“หนูยืนยันได้ค่ะว่าเขาเป็นคนเดียวกับในรูปถ่ายจริง!”
เฉิงเมี่ยนร้องตะโกนออกมาในขณะที่เดินออกมาจากห้องสอบตรงเข้าไปหาครูผู้คุมสอบทั้งสองคนพร้อมกับยืนยันเสียงแข็ง
“หนูมากับเขาหนูเป็นพยานให้ได้ค่ะ!”
“พวกเราก็เป็นพยานได้ว่าเขาคือหลิงหยุนจริงๆ!”
นักเรียนอีกราวเจ็ดแปดคนที่อยู่ในห้องสอบต่างก็ลุกขึ้นยืนตอบพร้อมกันทั้งหมดก็คือนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมจิงฉูเช่นเดียวกับหลิงหยุน
ครูผู้คุมสอบถึงกลับหันไปมองหน้ากันและได้แต่คิดอยู่ในใจว่าเป็นคนเดียวกันจริงๆงั้นหรือ ทำไมถึงได้น้ำหนักลดเร็วแบบนี้? แต่ต่อให้ลดน้ำหนักได้เร็วจริง แต่ผิววพรรณก็ไม่ควรจะดูแตกต่างจากในรูปถึงขนาดนี้ นี่เขาทาแป้งมาทั้งตัวหรือยังไง? ทำไมถึงได้ขาวสว่างขนาดนี้ได้?
แต่ดูจากลักษณะท่าทางการพูดแล้วเด็กคนนี้ก็ไม่ได้ดูเหมือนว่ากำลังพูดโกหก และนั่นยิ่งทำให้ผูคุมสอบทั้งสองคนถึงกับลังเล และตัดสินใจได้อย่างยากลำบาก
หากพวกเขาจะตัดสินว่าหลิงหยุนมาเข้าสอบแทนคนอื่นและหากไม่ใช่ขึ้นมา ก็จะเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน และพวกเขาก็คงจะรับผิดชอบไม่ไหว
แต่ถ้าหากเชื่อตามคำพูดของนักเรียนคนอื่นๆและหลิงหยุนไม่ใช่คนในรูปจริงๆ พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบอีกเช่นกัน!
“นี่..นักเรียนหลิงหยุน เธอมีวิธีอื่นที่จะพิสูจน์ตัวตนที่ดีกว่านี้มั๊ย เรื่องนี้สำคัญมาก พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียด..”
ครูหวังร้องบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง!
หลิงหยุนกับผู้คุมสอบทั้งสองคนต่างก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนและหลิงหยุนเองก็ไม่ต้องการสร้างความลำบากใจให้กับพวกเขาทั้งสองคน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเสนอว่า
“งั้นเอาแบบนี้ดีมั๊ยครับผมจะเอ่ยชื่อคนมีชื่อเสียงมาสักสองสามชื่อ ลองดูว่ามีใครบ้างที่คุณรู้จักและพอจะเชื่อถือได้ ผมจะโทรเรียกเขาให้มายืนยันที่นี่ด้วยตัวเอง คุณจะได้ให้ผมเข้าสอบได้อย่างสบายใจ..”
เมื่อผู้คุมสอบทั้งสองคนได้ฟังข้อเสนอของหลิงหยุนก็ได้แต่คิดในใจว่าหลิงหยุนดูท่าจะโอ้อวดเกินจริง!
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยจากนั้นจึงเอ่ยชื่อออกไปสองสามชื่อ “ครูใหญ่จางแห่งโรงเรียนมัธยมจิงฉู ผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความมั่นคงคนปัจจุบัน และเลขาธิการสำนักงานเทศบาลเมืองจิงฉู..”
หลังจากเอ่ยออกไปสามชื่อหลิงหยุนก็ยืนยิ้มและจ้องมองครูผู้คุมสอบทั้งสองคนที่กำลังยืนตะลึง พร้อมกับถามเบาๆว่า
“ไม่ทราบว่ามีคนใหนที่จะพอจะน่าเชื่อถือในสายตาของพวกคุณทั้งสองคนบ้างมั๊ยครับบอกผมมาได้เลย ผมจะได้โทรเรียกให้มายืนยันตัวตนของผมเดี๋ยวนี้!”
“เอ่อ..”
“คือ..”
ครูผู้คุมสอบทั้งสองคนถึงกับพูดอะไรไม่ออกหลังจากที่หายตกใจ ทั้งคู่ก็หันไปมองหน้ากัน และหันไปมองบรรดานักเรียนที่ช่วยกันยืนยันตัวตนให้กับหลิงหยุน
“เชื่อเขาเถอะครับ..หลิงหยุนสามารถโทรเรียกคนพวกนั้นมาได้จริงๆ!”
“ใช่ครับ..ผมโทรเรียกพวกเขาให้มาที่นี่ได้จริงๆ!”
นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมมจิงฉูต่างพากันหัวเราะออกมาพร้อมกันพร้อมกับคิดในใจว่า ‘หลิงหยุนช่างแน่จริงๆ!’
เฉิงเมี่ยนเหลือบมองหลิงหยุนจากนั้นจึงเดินเข้าไปสะกิดอาจารย์หวัง และพาเดินเลี่ยงไปข้างๆพร้อมกับกระซิบเบาๆว่า
“ครูคะ..หนูเป็นลูกสาวของเฉิงเทียนซึ่งเป็นเจ้าของกลุ่มบริษัทเฉิงเมดิคัลกรุ๊บ เชื่อหนูเถอะค่ะ! หลิงหยุนสามารถโทรเรียกคนพวกนั้นมาได้จริงๆ และพวกเขาจะมาในทันทีด้วย!”
ครูหวังได้ฟังถึงกับตกใจเขาเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับกระซิบถามเฉิงเมี่ยนว่า “คนพวกนั้นจะมาเพื่อเขาจริงๆน่ะเหรอ”
เฉิงเมี่ยนพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“จริงค่ะ! แน่นนอนร้อยเปอร์เซ็นต์! แล้วถ้าพวกเขามาถึง ก็คงต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน แล้วครูก็อาจจะถูกตำหนิว่าทำหน้าที่ผู้คุมสอบได้ไร้ประสิทธิภาพ!”
“แต่ถ้าไม่เชื่อจริงๆ!ครูก็ลองให้หลิงหยุนโทรหาพวกเขาดูสิคะ แล้วก็ลองพูดคุยกับพวกเขาทางโทรศัพท์แทนก็ได้..”
ครูหวังได้แต่ตกตะลึงและได้แต่คิดในใจว่าเด็กนักเรียนโรงเรียนนี้ดูเหมือนจะใหญ่โตกันจริงๆ เพราะแม้แต่เขาเองยังแค่เคยได้ยินแต่ชื่อคนใหญ่คนโตพวกนั้น
“เอาล่ะ..ดูจากรูปแล้วก็เป็นคนเดียวกัน เพียงแค่.. ผอมลงเท่านั้น!”
“ดูคิ้วสิ..เหมือนกันเปี๊ยบเลย! เธอเข้าห้องสอบได้!”
ครูผู้คุมสอบทั้งสองคนก็ไม่กล้าเสี่ยงเหมือนกันจึงตัดสินใจให้หลิงหยุนเข้าห้องสอบทันที
หลิงหยุนเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะของตนเองและเห็นเฉิงเมี่ยนหันหลังมามองเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าหลิงหยุนต้องขอบคุณเธอ!
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มและไม่พูดอะไรอีก จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ามีโต๊ะสอบว่างอยู่ตัวหนึ่งหนึ่ง คือโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าของฉีเสี่ยวชิง หลี่เทียนไม่ได้มาสอบ!
“วันนี้ร้อนจริงๆเลย..”
“ห้องสอบก็ไม่มีแอร์..ร้อนจะตายอยู่แล้ว!”
“ต่อให้มีแอร์ก็เปิดไม่ได้เพราะเสียงมันจะดังรบกวนการสอบของนักเรียนในห้อง”
“แต่อากาศร้อนก็มีผลต่อการสอบของพวกเราเหมือนกันนะ..”
“โชคร้ายชะมัดฟ้าครึ้มฝนตกมาตลอดครึ่งเดือน แต่พอวันสอบเอนทรานซ์กลับแดดออกจ้าซะงั้น..”
ในสภาพอากาศที่อุณหภูมิสูงถึงสามสิบแปดองศาเช่นนี้นักเรียนที่เข้าสอบภายในห้องกว่าสี่สิบคนต่างก็พากันนั่งเหงื่อตก และบ่มกันพึมพำ
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า‘เป็นโชคดีของข้าสินะ’
หลิงหยุนแอบเดินพลังลับหยินหยางทำให้ร่างกายของเขาเย็นสบาย และอุณหภูมิภายในห้องสอบก็ค่อยๆลดลงเกือบสิบองศาเลยทีเดียว
“เอ๊ะ!ทำไมจู่ๆอากาศถึงเย็นลงได้ล่ะ มีใครเปิดแอร์งั้นเหรอ?”
“สบายจัง..กำลังสบายเลย อากาศแบบนี้เหมาะกับการทำข้อสอบจริงๆ”
หลายคนพากันร้องอุทานออกมาอย่างแปลกใจหลิงหยุนได้แต่แอบยิ้ม!
และเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้นก็เป็นสัญญาณว่าการสอบเอนทรานซ์กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว และสนามสอบก็ไม่ต่างจากสนามแข่งม้า ที่เมื่อถูกปล่อยออกจากคอก ม้าทุกตัวต่างก็แข่งกันวิ่งอย่างบ้าระห่ำ
วิชาแรกที่สอบในวันนี้ก็คือภาษาจีนหลิงหยุนใช้จิตหยังรู้กวาดดูคำถามทั้งหมดในข้อสอบ เมื่อเห็นว่ามีการให้เขียนเรียงความด้วย เขาจึงได้แต่แอบหัวเราะอยู่ในใจ หลิงหยุนได้ท่องจำเรียงความดีๆมาจำนวนมากมาย ก็แค่เลือกที่เขียนไว้ดีและน่าประทับใจมาสักอัน
สำหรับข้อสอบในส่วนอื่นนั้นก็ยิ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับหลิงหยุน เพราะนอกจากเขาจะท่องหนังสือเรียนมาทุกเล่มแล้ว เขายังท่องดิกชันนารีภาษาจีน และสำนวนมาทั้งหมดแล้ว จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับเขาอย่างมาก
‘เด็กๆ!’หลิงหยุนคิดอยู่ในใจ
ที่เหลือก็คือการคัดอักษรจีนและตัวหนังสือที่หลิงหยุนคัดออกมานั้น ก็สวยงามราวกับปรมาจารย์ด้านการเขียนอักษรจีนมาเขียนด้วยตัวเอง
หลิงหยุนเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะพลังและฝึกตนตามหลักเต๋า เขาประยุกต์เพลงดาบของตนเองเข้ากับการคัดอักษรจีน แต่ละเส้นที่ตวัดลงไปนั้นจึงคมชัดราวกับเขียนด้วยปลายดาบ ทำให้แต่ละเส้นไม่ว่าจะเป็นเส้นตรงหรือเส้นนอน ก็ล้วนแล้วแต่นุ่มนวลงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หลิงหยุนไม่เพียงคัดตัวอักษรจีนได้อย่างงดงามแต่ยังเขียนได้รวดเร็วอีกด้วย เพราะด้วยพลังของจิตหยั่งรู้ ทำให้หลิงหยุนไม่ต้องคอยมองตัวอักษรต้นแบบอยู่บ่อยๆ และเพียงแค่หนึ่งในสามของเวลาทั้งหมด เขาก็สามารถจัดการทำข้อสอบได้เสร็จหมดทุกข้อ
‘คิดว่าอย่างมากข้าก็โดนหักสองสามคะแนนในเรื่องของการเขียนเรียงความ..’หลิงหยุนคิดในขณะที่กำลังวางปากกาในมือลง
และก็เป็นอย่างที่หลิงหยุนคิดเพราะในวิชาภาษาจีนนี้ เขาทำได้คะแนนได้สมบูรณ์แบบยอดเยี่ยม และโดนหักคะแนนเล็กน้อยจากการเขียนเรียงความเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะใช้เวลาในการทำข้อสอบไปเพียงแค่หนึ่งในสามหลิงหยุนก็ไม่รีบร้อนออกจากห้องสอบ เขาใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูกระดาษคำตอบของเฉิงเมี่ยน จากนั้นจึงส่งกระแสจิตบอกกับเธอว่า
–น้องเมีย..ฟังนะ! สิ่งที่ผมพูดกับคุณอยู่นี้ เราจะได้ยินกันเพียงแค่สองคนเท่านั้น–
-เอาล่ะ..ผมจะบอกคำตอบคุณแล้วนะ เตรียมเขียนคำตอบลงไปในกระดาษได้เลย ใจเย็นๆ ทำใจให้สบาย รับรองว่าถูกหมดอย่างแน่นอน..-
เฉิงเมี่ยนถึงกับตกใจสุดขีดแต่เธอก็ก้มหน้าก้มตาฟังคำตอบจากหลิงหยุนทีละข้อโดยไม่หันกลับไปมองเขา คำพูดของหลิงหยุนชัดราวกับมายืนพูดอยู่ข้างหูของเธอ
หลังจากบอกคำตอบในส่วนที่เป็นปรนัยไปแล้วหลิงหยุนยังคงช่วยเฉิงเมี่ยนต่อในเรื่องของการเขียนเรียงความ เขาอ่านทีละประโยคให้เฉิงเมี่ยนเขียนตาม และเพียงไม่นานเรียงความแปดร้อยตัวอักษรก็เสร็จเรียบร้อย
หลังจากที่เฉิงเมี่ยนทำข้อสอบเสร็จทุกข้อแล้วหลิงหยุนก็ไม่สนใจเธออีก เขาจัดการใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูกระดาษคำตอบของฉีเสี่ยวชิง และหลิงหยุนก็ถึงกับตกใจ!
ฉีเสี่ยวชิงเป็นนักเรียนสายศิลป์เช่นเดียวกับหลิงหยุนเขาตกใจสุดขีดเมื่อพบว่าเรียงความของเขาและเธอนั้นเหมือนกับเกือบหมด!
‘เด็กสาวคนนี้เรียนเก่งมากทีเดียว!’หลิงหยุนได้แต่นึกชื่นชมอยุ่ในใจ
……….
การสอบเอนทรานซ์สองวันครึ่งภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้าและอุณหภูมที่สูงกว่าสามสิบแปดองศา นักเรียนแต่ละคนที่อยู่ในห้องสอบล้วนมีสภาพไม่ต่างจากอยู่ในห้องอบซาวน์น่า มีเพียงห้องสอบของหลิงหยุนเท่านั้นที่เย็นสดชื่นราวกับเปิดเครื่องปรับอากาศ
ไม่สนใจว่าจะเป็นวิชาใหนหลิงหยุนก็จะเป็นคนแรกที่ทำข้อเสร็จก่อนเสมอ จากนั้นจึงเริ่มช่วยเฉิงเมี่ยน ทั้งสองคนช่วยกันโกงอย่างหน้าไม่อาย ทั้งคู่เชื่อมั่นว่าคะแนนสอบเอนทรานซ์ของเฉิงเมี่ยนนั้นน่าจะสูงพอที่จะเข้ามหาวิยาลัยหวงจิงในปักกิ่งได้อย่างแน่นอน
และในเช้าของวันที่9 มิถุนายน.. หลังจากเสียงกริ่งสอบเสร็จวิชาสุดท้ายดังขึ้น ภารกิจในโรงรียนมัธยมของหลิงหยุนก็สิ้นสุดลงเช่นกัน!บทที่ 644 : หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวคนใหม่!
สิ้นสุดวิชาสุดท้ายของการสอบเอนทรานซ์หลิงหยุนได้จัดการใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองขจัดความรู้ขยะในสมองออกไป จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินยิ้มออกไปจากห้องสอบ
“จากนี้ไปก็เป็นเวลาไล่ล่าสังหารศศัตรูของข้าแล้ว!”น้ำเสียงที่หลุดออกมานั้นมีแต่ความเฉยชา
“พี่เขย!”
ดูเหมือนว่าเฉิงเมี่ยนจะเริ่มคุ้นเคยกับการเรียกหลิงหยุนว่าพี่เขยมากเข้าไปทุกทีและทุกครั้งที่เธอเรียกเขาว่าพี่เขย เลือดลมในกายของเธอก็จะพลุ่งพล่านอย่างไม่สามารถอธิบายได้
หลิงหยุนยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเขาจ้องมองเฉิงเมี่ยนพร้อมกับถามขึ้นว่า “เป็นไงบ้าง ทำข้อสอบได้มั๊ย?”
“พี่เขย..นี่ล้อเลียนฉันรึงไง..”
เฉิงเมี่ยนเดินเข้าไปเกาะแขนหลิงหยุนอย่างสนินทสนมพร้อมกับตัดพ้อ“รู้อยู่แล้วยังจะแกล้งถามฉันอีก ไปกันเถอะ!”
เฉิงเมี่ยนเดินกอดแขนหลิงหยุนไปพร้อมกับยิ้มสดใส..
ฉีเสี่ยวชิงเดินออกมาจากห้องสอบก่อนคนอื่นแต่เธอยังไม่กลับในทันที และได้ยืนคอยหลิงหยุนอยู่ที่หน้าระเบียง
“หลิงหยุน..ขอบคุณมาก..”
เมื่อฉีเสี่ยวชิงเห็นหลิงหยุนเดินออกมาจากห้องสอบก็รีบโค้งคำนับพร้อมกับเอ่ยขอบคุณหลิงหยุนทันที
และนี่เป็นการขอบคุณจากหัวใจ!
หลิงหยุนจ้องมองหญิงสาวที่มีใบหน้างดงามจนเป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดแล้วจึงตอบกลับไปยิ้มๆ
“เรื่องเล็กน้อย..ไม่จำเป็นต้องขอบคุณผมอีกแล้วล่ะ! ขอแสดงความยินดีด้วย คุณทำข้อสอบได้ดีทีเดียว!”
“ห๊ะ..เอ่อ.. ขอบคุณค่ะ!”
ถึงแม้ว่าฉีเสี่ยวชิงจะประหลาดใจมากว่าหลิงหยุนรู้ได้อย่างไรแต่เธอก็รีบเอ่ยขอบคุณหลิงหยุนมาจากใจจริง
“พี่ใหญ่คะ!”
หนิงหลิงยู่วิ่งออกมาจากห้องสอบแต่เมื่อเห็นเฉิงเมี่ยนกอดแขนหลิงหยุนอย่างสนิทสนม สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หลิงยู่..ทำข้อสอบได้มั๊ย”
เมื่อเห็นหนิงหลิงยู่เดินเข้ามาหาหลิงหยุนก็ไม่ยอมให้เฉิงเมี่ยนกอดแขนของเขาอีก และรีบดึงแขนออกจากการเกาะกุมทันที แล้วเดินตรงเข้าไปลูบไหล่หนิงหลิงยู่อย่างอ่อนโยน
“ไม่มีอะไรยากนี่!รีบไปกันเถอะพี่ใหญ่ น้าหญิงกำลังรอพวกเราอยู่..” หนิงหลิงยู่เร่งเร้าหลิงหยุนให้รีบกลับไปที่รถ และพยายามปกปิดความรู้สึกที่อยู่ด้านในของตนเอง
“รอฉางหลิงก่อน..เธอกำลังจะมาที่นี่พอดี แล้วพวกเราค่อยเดินไปพร้อมกัน!”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็หันไปพูดกับฉีเสี่ยวชิง“ฉีเสี่ยวชิง.. คุณต้องการให้พวกเราไปส่งมั๊ย”
ฉีเสี่ยวชิงจ้องมองหนิงหลิงยู่ก่อนจะตอบกลับไปพร้อมกับส่ายหน้า“ไม่เป็นไรค่ะ.. ขอบคุณ!”
ฉีเสี่ยวชิงที่เชื่อมั่นมาตลอดว่าความสวยของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าหญิงสาวคนใหนนั้นถึงกับตกใจเมื่อได้เห็นรูปร่างหน้าตาที่งดงามชวนฝันของหนิงหลิงยู่
หลิงหยุนเองก็ไม่ไม่คะยั้นคะยอและไม่ได้เอ่ยถามฉีเสี่ยวชิงซ้ำ เมื่อฉางหลิงมาถึง ทั้งสี่คนก็เดินลงบันไปทันที
“เฮ้อ..รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย!”
“ตอนนี้ก็มีเวลาแชทคุยกับเพื่อนมีเวลาได้ดูหนัง แล้วก็เล่นเกมแล้ว..”
“ถ้าครั้งนี้สอบไม่ติด ฉันก็จะสอบใหม่ปีหน้า!”
ในวันสุดท้ายของสอบเอนทรานซ์นี้นักเรียนมัธยมปลายที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปี ต่างก็รู้สึกราวกับว่าได้โยนภาระที่หนักอึ้งนี้ออกจากบ่าของตนเองเสียที ทุกคนต่างก็ตื่นเต้น และบางคนถึงกับร้องไห้ออกมาทีเดียว
“ในที่สุดก็จบลงซะที!ไม่ต้องมานั่งอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลังตลอดทั้งวันเหมือนเดิมอีกแล้ว ตอนนี้ฉันจะกินจะเล่นให้เต็มที่ จะไปเดินช้อปปิ้ง แล้วก็นอนตื่นสายๆ..”
หนิงหลิงยู่ได้ฟังฉางหลิงระบายออกมาก็ถึงกับเราะคิกคักพร้อมกับพูดออกไปตรงๆ“ระวังจะอ้วนเอาล่ะ..”
“หลิงยู่..ปิดเทอมเธอจะไปเที่ยวที่ใหน”
หนิงหลิงยู่ตอบเสียงเบา“เรื่องนี้แล้วแต่พี่ใหญ่! ถ้าพี่ใหญ่ไปใหน ฉันก็ไปด้วย..”
หลิงหยุนได้ฟังคำตอบของหนิงหลิงยู่ก็ได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรสำหรับหนิงหลิงยู่นั้น หลังจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฝึกวิชา แทนที่จะติดตามเขาไปใหนต่อใหน!
ทั้งสี่คนเดินคุยกันอยู่ไม่นานก็มาถึงที่จอดรถและฉินตงเฉี่วยก็กำลังนั่งคอยอยู่พอดี
รถที่มาส่งเฉิงเมี่ยนก็จอดอยู่ไม่ไกลกันนักและดูเหมือนเธอจะหวาดกลัวฉินตงเฉี่วยอยู่ไม่น้อย เมื่อมาถึงที่รถเธอจึงรีบร้องทักทายฉินตงเฉี่วย แล้วรีบร่ำลาหลิงหยุน และวิ่งไปที่รถของตนเองทันที
“ว่าไงพี่หยุน!ทำข้อสอบได้เปล่า มั่นใจว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยหยางจิงได้มั๊ย?”
ถังเมิ่งรีบทิ้งบุหรี่ในมือและวิ่งไปหาหลิงหยุนทันที ตลอดสองสามวันนี้เขากับตี้เสี่ยวอู๋ก็มีหน้าที่ขับรถรับส่งหลิงหยุน
หลิงหยุนหนิงหลิงยู่ และฉินตงเฉี่วย ทั้งสามคนได้นั่งมาในรถของถังเมิ่ง เมื่อหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ขึ้นห้องสอบไป ภายในรถก็เหลือเพียงถังเมิ่งกับฉินตงเฉี่วย และรังสีของฉินตงเฉี่วยก็ดูเหมือนจะน่ากลัวจนถังเมิ่งไม่กล้าในอยู่ในรถ ดังนั้นตลอดระยะเวลาของการสอบ ถังเมิ่งจึงต้องเลี่ยงออกไปหาที่สูบบุหรี่ หรือไม่ก็ไปนั่งในรถของตี้เสี่ยวอู๋แทน
“ฉันไม่ใช่คนตรวจข้อสอบแล้วก็ไม่ใช่คนให้คะแนน นายถามฉัน.. แล้วฉันจะไปถามใคร ช่างมันเถอะน่า! ใหนๆก็สอบเสร็จแล้ว ผลจะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะน่า!” หลิงหยุนตอบอย่างไม่ใส่ใจ..
“พี่หยุน!แต่เรายังมีเดิมพันเรื่องนี้อยู่หนึ่งร้อยล้านนะ จะปล่อยให้เสียไปฟรีๆได้ยังไง..”
หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปทันที“ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงเงินเดิมพันหนึ่งร้อยล้าน แต่ไม่ต้องห่วง นายไม่มีทางเสียมันไปแน่นอน!”
ถังเมิ่งได้รับคำยืนยันเช่นนี้ก็สามารถสงบจิตสงบใจ และหันไปยิ้มและพูดกับหลิงหยุนได้ต่อ
“ถ้างั้นก็รีบกลับบ้านกันดีกว่า..”
อุณหภูมิภายในเมืองจิงฉูวันนี้สูงถึงสี่สิบองศา และร้อนไม่ต่างจากเตาอบ ทุกคนต่างก็เหงื่อออกไปทั่วทั้งตัว และที่นี่ก็วุ่นวายหนวกหูจนหลิงหยุนไม่อยากอยู่ต่อแม้แต่วินนาทีเดียว
เมื่อทุกคนขึ้นไปบนรถแล้วถังเมิ่งก็รีบขับออกจากสถานที่สอบทันที และแวะไปส่งฉางหลิงที่บ้านก่อน แล้วจึงขับกลับไปยังบ้านเลขที่-1
ฉินตงเฉี่วยกับหลิงหลิงยู่นั้นทันทีที่กลับถึงบ้าน ทั้งคู่ต่างก็เดินไปที่ห้องของตนเอง และจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
ส่วนหลิงหยุนเดินตรงไปหาต้นสมุนไพรชีฉียู่และเมื่อเห็นว่าใบของมันมีจุดสีน้ำตาลขึ้นถึงหกจุดแล้ว ก็ตื่นเต้นอย่างมาก และรีบเรียกกล่องหยกที่ทิ้งไว้เข้าไป และเรียกกล่องหยกใบใหม่ออกมาวางไว้อีกถึงสามกล่อง
“วันนี้แดดแรงมากจริงๆ”
หากดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าแบบนี้อีกสักสองวันจุดสีน้ำตาลนี้คงจะต้องขึ้นจนครบเจ็ดจุดอย่างแน่ และนั่นก็หมายความว่าสมุนไพรชีฉียู่ได้โตเต็มวัยแล้ว
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความเข้มข้นของพลังชีวิตที่ปลดปล่อยออกมาจากสมุนไพรชีฉียู่เขาวางกล่องหยกทั้งสามใบไว้เพื่อให้มันดูดซับเอาพลังชีวิตที่เข้มข้นจนเป็นของเหลวนี้เข้าไปเห็บไว้
ป้าเหมยจัดการเปิดเครื่องปรับอากาศภายในบ้านไว้ที่ยี่สิบสามองศาซึ่งไม่หนาวและไม่ร้อนจนเกิน ภายในบ้านจึงกำลังเย็นสบาย
“นี่พี่หยุน..พี่สามารถทำกำไรได้ถึงหนี่งร้อยล้านในเวลาเพียงแค่สองวันครึ่ง ช่างเป็นการค้าที่มีกำไรงดงามมากจริงๆ! ไว้ฉันจะหาเดิมพันแบบนี้ให้พี่อีก..” ถังเมิ่งร้องบอก
หลิงหยุนถลึงตาใส่ทันที“จะบ้าหรือยังไง ใครบอกนายว่าแค่สองวันครึ่ง! รวมเตรียมตัวก่อนสอบด้วยทั้งหมดก็ยี่สิบวันต่างหาก!”
หลิงหยุนยกมือขึ้นปิดปากเป็นการส่งสัญญาณให้หยุดพูดเรื่องสอบเอนทรานซ์เสียทีจากนั้นจึงหันไปพูดกับถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ว่า
“ใหนๆพวกนายอยู่พร้อมหน้ากันพอดี..ฉันก็จะพูดเรื่องของแก๊งมังกรเขียวเลยก็แล้วกัน”
“ถังเมิ่ง..ตอนนี้เสี่ยวอู๋ไม่อยากเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวแล้ว นายรู้จักใครที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะหน้าที่นี้แทนเสี่ยวอู๋ได้มั๊ย”
เมื่อพูดเรื่องานขึ้นมา..สีหน้าท่าทางของถังเมิ่งก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที เขาเกาศรีษะพร้อมกับตอบไปว่า
“พี่หยุน..ฉันว่ามีคนคนหนึ่งที่เหมาะจะทำหน้าที่นี้มากเลย!”
ถังเมิ่งพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า“พี่หยุน.. ฉันว่าอาปิงน่าจะเหมาะสมกับหน้าที่นี้มากที่สุด!”
ทันทีที่ได้ฟังคำพูดของถังเมิ่งภาพของอาปิงก็ปรากฎขึ้นในความคิดของหลิงหยุนทันที
ร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรรูปร่างผอมแต่สง่างาม และปากคาบบุหรี่อยู่ตลอดเวลา ดวงตาคมราวกับเหยี่ยวนั้น นอกจากจะดูเย็นชาแล้ว ยังมีแววเฉลียวฉลาดอีกด้วย และถึงแม้ว่าจะเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีวาทะศิลป์ที่ดีมากคนหนึ่ง
“จริงด้วย..เด็กหนุ่มคนนี้มีคุณสมบัติเหมาะสมจริงๆ!” หลิงหยุนพึมพำออกมา
แต่จู่ๆเขาก็พูดขึ้นว่า“แต่ฉันมีความกังวลใจอยู่ทั้งหมดสามเรื่อง เรื่องแรก.. นายเคยบอกฉันว่าอาปิงมาจากครอบครัวทหารไม่ใช่เหรอ แล้วคนที่มาจากครอบครัวทหารอย่างเขาจะสามารถทำงานพวกนี้ได้งั้นเหรอ ข้อที่สอง.. อาปิงไว้ใจได้มากแค่ใหน? และข้อสุดท้าย.. เขาจะสามารถดูแลพี่น้องแก๊งมังกรเขียวที่มีเรื่องจนถึงขั้นฆ่ากันตายได้หรือเปล่า?”
หลิงหยุนไม่เสียเวลาพูดไร้สาระและถามตรงเข้าประเด็นทันที
ถังเมิ่งยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า..
“ข้อแรก..อาปิงเป็นลูกชายคนโตที่เติบโตมาในครอบครัวทหารตั้งแต่เล็ก และเรียนรู้การยิงปืนมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงเหมาะสมกับงานลักษณะนี้ที่สุด!”
“ข้อสอง..เรื่องความไว้วางใจอย่าลืมว่าพี่ยังมีฉันกับเสี่ยวอู๋อยู่ หากอาปิงกล้าคิดไม่ซื่อ ฉันก็จะไม่ไว้หน้าเขาเหมือนกัน พี่เองก็เห็นกับตาในวันเปิดคลินิก อีกอย่างฉันกับอาปิงเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ฉันรู้จักนิสัยของเขาดี!”
“ส่วนข้อสุดท้ายพ่อของอาปิงเคยให้เขาไปฝึกร่วมกับหน่วยรบพิเศษ เขาคนเดียวสามารถจัดการกับคนธรรมดาได้พร้อมกันถึงห้าหกคน แต่พี่ก็สามารถสอนวิชาให้เขาได้นี่!”
หลังจากได้ฟัง..หลิงหยุนก็เห็นด้วย และคิดว่าถังเมิ่งนั้นวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุมีผล เขาจึงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าและสั่งว่า
“ดีมาก!ถ้างั้นคืนนี้นายก็พาอาปิงมาหาฉันได้เลย”
ถังเมิ่งตอบกลับทันที“ได้! ความจริงฉันเองก็คิดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ยังไม่ได้บอกพี่เท่านั้นเอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร