บทที่ 645 : ออกสู่โลกกว้าง!
“เสี่ยวอู๋..สำหรับเรื่องของแก๊งมังกรเขียว ฉันจะพูดคุยกับอาปิงดูก่อน ถ้าดูแล้วอาปิงมีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวจริงๆ ฉันก็จะยกบัญชีทั้งหมดให้เขาเป็นผู้ดูแล หลังจากนั้นนายก็พาเขาไปทำความรู้จักกับพี่น้องในแก๊ง และสอนงานต่างๆให้กับเขา และเมื่อเขาปรับตัวพร้อมที่จะรับตำแหน่งแล้ว นายก็ค่อยๆถ่ายเทอำนาจในแก๊งมังกรงเขียวให้กับอาปิง!”
“ครับพี่หยุน!”
ทันทีที่ได้ยินว่าจะมีคนมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวแทนตนเองแล้วตี้เสี่ยวอู๋ก็รีบพยักหน้ารับคำสั่งด้วยความตื่นเต้นดีใจ!
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและพูดต่อว่า“แต่ถึงยังไงพวกนายสองคนก็ยังต้องช่วยกันเป็นดูแลอยู่ดี! พวกนายสองคนต้องช่วยกันดูแลแก๊งมังกรเขียวในฐานะพี่ใหญ่ ถังเมิ่ง.. นายคอยควบคุมเรื่องบัญชีของแก๊งและเรื่องทั่วไป ส่วนตี้เสี่ยวอู๋.. นายต้องดูแลควบคุมในส่วนของกฏระเบียบในแก๊งมังกรเขียว!”
“แก๊งมังกรเขียวนี้ก่อตั้งโดยลุงหลงถึงแม้ว่าจะเป็นแก๊งอันธพาล และมีเรื่องมีราวเข่นฆ่ากันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายถึงขนาดค้าผงขาว! จำไว้ว่า.. อย่าให้แก๊งมังกรเขียวต้องมาเสื่อมเสียในมือของฉัน พวกนายเข้าใจใช่มั๊ย”
หลิงหยุนย้ำประโยคนี้อย่างหนักแน่นถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋มีหรือจะกล้าเพิกเฉยและไม่ใส่ใจ พวกเขาจะต้องทำตามความต้องการของหลิงหยุนอย่างเคร่งครัด
หลังจากที่หลิงหยุนหาทางแก้ไขปัญหาเรื่องแก๊งมังกรเขียวได้แล้วตี้เสี่ยวอู๋ก็ถึงกับยิ้มร่า เขารู้สึกราวกับว่าได้ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอกของตัวเอง และรู้สึกเบาสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ความจริงแล้วตี้เสี่ยวอู๋อยู่ในแก๊งมังกรเขียวมานานถึงสามปีเขาจึงรู้เรื่องราวภายในของแก๊งมังกรเขียวดีกว่าใครๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ หรือกฏระเบียบต่างๆภายในแก๊ง จึงนับได้ว่าเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวต่อจากหลงคุน แต่ตี้เสี่ยวอู๋กลับหลงใหลในการฝึกวรยุทธและกำลังภายใน อีกทั้งยังต้องการติดตามหลิงหยุน จึงไม่ต้องการมีภาระใดๆผูกติดตนเองไว้กับที่
ดังนั้นเมื่อหลิงหยุนแก้ปัญหาเช่นนี้จึงทำให้ตี้เสี่ยวอู๋มีความสุขอย่างที่สุด และหลังจากหมดเรื่องของตี้เสี่ยวอู๋ไปแล้ว ถังเมิ่งจึงถามขึ้นว่า
“พี่หยุน..แล้วเรื่องของฉันล่ะ”
แทบไม่ต้องพูดถึง..ตอนนี้หลิงหยุนไม่เพียงมีเงินในบัญชีมากมาย แต่ยังมีสินทรัพย์อยู่อีกมากมาย และนั่นก็เพียงพอให้ถังเมิ่งต้องปวดหัวอย่างมาก!
ไม่เพียงแค่บริษัทในเครือที่ท่านเสี่ยวหมอเทวดายกให้กับหลิงหยุนแต่ยังมีร้านเสื้อผ้าตรงข้ามคลินิกสามัญชน และตอนนี้ยังมีธุรกิจจิวเวลรี่ในตลาดค้าของเก่าเพิ่มขึ้นมาอีก..
แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านั้นยังมีที่ดินอีกหนึ่งร้อยไร่ในเขตหลินเจียง และการก่อสร้างที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!
สำหรับคลินิกสามัญชนนั้นความจริงแล้วหลิงหยุนตั้งใจว่าจะเป็นผู้ดูแลกิจการด้วยตัวเอง แต่เพราะตอนนี้มีปัญหามากมายรอคอยให้เขาไปสะสาง หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องรามือ..
ถังเมิ่งนั้นต้องการจะตั้งบริษัทภาพยนตร์และทีวีธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทยา แต่หลิงหยุนนั้นมีงานใหญ่ที่จะต้องให้ถังเมิ่งทำในอนาคตซึ่งก็คือการก่อสร้างโรงหลอมโลหะขนาดใหญ่!
เหตุใดหลิงหยุนจึงต้องการสร้างโรงหลอมโลหะขนาดใหญ่น่ะหรือ!
นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นที่สามารถเล่นแร่แปรธาตุได้แล้วเขาไม่สามารถใช้สวนภายในบ้านทำการหลอมโลหะจำนวนหลายพันตันได้ เขาจึงต้องการสร้างโรงหลอมขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลหูไกลตาผู้คน
ในการหลอมโลหะนั้นต้องมีควันที่เกิดจากการหลอมจำนวนมากมายอีกทั้งในแต่ละวันก็ต้องมีการจัดส่งโลหะวันละหลายรอบ หากเป็นเช่นนี้ ผู้คนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงคงต้องรู้สึกสงสัยอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนจำเป็นต้องเตรียมตัวสำหรับการเล่นแร่แปรธาตไว้ตั้งแต่เนิ่นๆดังนั้นจึงต้องให้ถังเมิ่งหยุดเรื่องความคิดก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไว้ก่อน เพื่อมาจัดการเรื่องก่อตั้งโรงหลอมโลหะให้กับเขาแทน
และเพราะมีงานที่ต้องทำมากมายถังเมิ่งจึงไม่ต้องการแม้แต่จะสอบเอนทรานซ์ แต่ด้วยวัยเพียงแค่สิบแปดปี เป็นไปได้หรือไม่ที่ถังเมิ่งจะบริหารจัดการทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียว
แน่นอนว่า..คำตอบคือเป็นไปไม่ได้!
สำหรับคลินิกรักษาคนไข้ของหลิงหยุนนั้นตอนนี้ยังมีเหมี่ยวเสี่ยวเหมากับเสี่ยวเม่ยหนิงช่วยกันดูแลอยู่ ทำให้เขาไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก ตอนนี้หลิงหยุนจึงอยากให้ถังเมิ่งมารับผิดชอบในเรื่องของการจัดซื้อสมุนไพรและโลหะ
สมุนไพรต่างๆนั้นใช้สำหรับการปลุกเสกยันต์และปรุงโอสถต่างๆ ส่วนโลหะนั้น หลิงหยุนจะนำไปใช้ในการเล่นแร่แปรธาตุ วัตถุดิบเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล และโกดังเก็บของขนาดใหญ่อีกด้วย
ดังนั้นหลิงหยุนจึงสามารถเข้าใจในปัญหาของถังเมิ่งได้ดีและทันทีที่ได้ยินถังเมิ่งโอดครวญเขาก็ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา..
“ถังเมิ่ง..ฉันรู้ว่าตอนนี้นายงานล้นมือและมันเกินกำลังของนาย แต่เท่าที่นายติดตามฉันมา นายก็น่าจะเรียนรู้ได้ว่าเราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง..”
“นายดูอย่างฉันสิ!ไม่เห็นจะยุ่งอะไรมากมายเลย” หลิงหยุนตอบยิ้มๆ
ถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ได้ฟังคำตอบของหลิงหยุนแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่า ‘แน่นอนสิ.. ในเมื่อพวกเขาเป็นคนทำทุกอย่างให้หมดแล้ว’
แต่แน่นอนว่าทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมานอกจากคิดในใจเท่านั้น
“เรื่องการทำธุรกิจเสื้อผ้านายก็ไม่เก่งเท่าหวังหงหยวน เรื่องเครื่องประดับ นายก็ไม่เก่งเท่าลุงซ่งกับเซียนหยก ส่วนเรื่องของธุรกิจยา นายก็ไม่เก่งเท่าลุงเสี่ยวกับตระกูลเฉิง พูดง่ายๆว่า นายไม่มีทางเทียบพวกเขาได้แม้แต่ปลายเล็บ..”
ถังเมิ่งได้ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาของหลิงหยุนก็ถึงกับหน้าแดงด้วยความไม่พอใจ และรู้สึกอับอายขายหน้าจนแทบอยากมุดหนีไปทันที และหากหลิงหยุนพูดอะไรรุนแรงกว่านี้อีกสักสองสามประโยค เขาคงต้องน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างแน่นอน!
“แต่นั่นเป็นเพราะนายไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างพวกเขาและขืนนายปล่อยไปแบบนี้โดยที่ไม่คิดปรับปรุงแก้ไข ฉันรับรองว่านายต้องตกม้าตายสักวัน!”
“พี่หยุน..แล้วฉันควรทำยังไง” ถังเมิ่งแทบจะร้องไห้ออกมาพร้อมกับถามหน้าเศร้า
หลิงหยุนพูดต่อยิ้มๆ“แต่นายอย่างเพิ่งเสียใจในสิ่งที่ฉันพูดไปทั้งหมดก่อนหน้านี้..”
“เพราะถึงแม้นายจะไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญเหมือนอย่างพวกเขาแต่นายก็มีสิ่งหนึ่งที่นับว่าเป็นข้อได้เปรียบในแบบของนายเอง!”
ถังเมิ่งได้แต่แอบดีใจและคิดว่า‘ในที่สุดพี่หยุนก็มองเห็นข้อดีของฉันบ้าง!’ จากนั้นจึงตั้งอกตั้งใจฟังหลิงหยุนเงียบ
“ข้อได้เปรียบของนายก็คือ..นายเป็นคนที่มีวาทศิลป์ในการพูด และรู้จักวิธีการจัดการกับปัญหาและเรื่องยุ่งเหยิงต่างๆให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้ดี!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อว่า“เพราะฉะนั้น.. ฉันไม่ได้ต้องการความเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆจากนาย การที่ฉันให้นายติดตามฉันนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันต้องการให้นายต้องทุ่มเททำงานเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพื่อฉัน!”
“เรื่องธุรกิจเสื้อผ้านายก็ปล่อยให้หวังหงหยวนดูแลไป ส่วนเรื่องธุรกิจเครื่องประดับ นายก็มอบหมายให้ลุงซ่งกับเซียนหยกเป็นผู้ดูแล สำหรับบริษัทยาที่ได้มาจากตระกูลเสี่ยวนั้น ที่ผ่านมาระบบการทำงานเป็นอย่างไร นายก็ปล่อยให้ทุกคนทำงานไปเหมือนเดิม..”
ถังเมิ่งได้ฟังก็เข้าใจทันทีแต่ก็อดที่จะถามสิ่งที่สงสัยไม่ได้ “พี่หยุน.. ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วฉันจะทำอะไรล่ะ”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะพร้อมกับแนะนำว่า“นายก็จัดการรวมธุรกิจทั้งหมดเข้าด้วยกันสิ! ส่วนนายก็ทำหน้าที่บริหารอย่างมืออาชีพ!”
“ในการบริหารนั้นนายต้องเป็นผู้กำหนดทิศทาง แล้วก็ต้องเป็นธรรมกับทุกคน หากทำดีก็ต้องมีการให้รางวัล และหากทำผิดจำเป็นต้องลงโทษก็ต้องทำ! ไม่เห็นจะยากตรงใหนเลย!”
“ถ้านายรู้จักบริหารงานให้เป็นต่อให้นายเปิดอีกสิบหรือร้อยบริษัท หากมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาอาชีพมาช่วย นายก็ไม่ต้องกังวลอะไร”
“ที่ฉันพูดมาทั้งหมดนี้นายเข้าใจหรือยังว่าจะต้องจัดการยังไงต่อไป” หลิงหยุนถามยิ้มๆ
ถังเมิ่งได้แต่คิดในใจว่า‘พี่หยุนช่างเก่งกาจไปซะทุกเรื่องจริงๆ!’ แต่ก็ยังคงมีข้อสงสัยอยู่ จึงรีบถามขึ้นมาทันที
“พี่หยุน..แล้วถ้าผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ เกิดตุกติกกับฉันขึ้นมา ฉันจะทำยังไงล่ะ”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบเสียงราบเรียบ“น้ำที่ใสเกินไปมักจะไม่มีปลา นายจะให้พวกเขาทำงานให้นายโดยไม่ได้รับผลตอบแทน แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นไปได้!”
“ไม่ใช่นายคนเดียวที่ต้องการเงินนี่นา!คนอื่นก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน หากนายจะเอาแต่ได้โดยไม่คิดแบ่งปันให้คนอื่นเลยนั้น มันไม่มีทางเป็นไปไม่ได้!”
หลิงหยุนมองธรรมชาติของมนุษย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่งแม้แต่ถังเมิ่งเองยังถึงกับขนลุก
“แต่นายไม่ใช่ลุงถังที่มีฐานะหน้าตาที่น่าเชื่อถือในสังคมคนอื่นๆอาจจะยังไม่ให้ความเชื่อถือในตัวนาย แต่ถ้านายทำงานในฐานะที่เป็นตัวแทนของฉัน ฉันเชื่อว่าจะไม่มีใครกล้าเพิกเฉยกับนายอย่างแน่นอน!”
ไม่ว่าจะเป็นซ่งเจิ้งหยางอวี้เฉิงจิน หวังหงหยวน หรือแม้แต่ตระกูลเสี่ยว ก็ต้องยอมรับการบริหารงานของถังเมิ่ง เพราะเขาคือตัวแทนของหลิงหยุน!
ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายก็คงไม่มีใครกล้าเมินเฉยใส่ถังเมิ่งอย่างแน่นอน เพราะนั่นย่อมเท่ากับว่าพวกเขากำลังเมินเฉยต่อหลิงหยุนเช่นกัน และใครบ้างที่จะกล้าลองดีกับหลิงหยุน
“ภายในสองสามวันนี้นายก็ไปจัดการรวมธุรกิจต่างๆเข้าด้วยกัน และก่อตั้งเป็นกลุ่มบริษัทเทียนตี้อย่างที่นายใฝ่ฝัน จากนั้นนายก็ทำหน้าบริหารจัดการเองโดยไม่ต้องถามความเห็นของฉัน นายคือผู้บริหารสูงสุด ส่วนฉันจะไม่เข้าไปก้าวก่าย!”
หลิงหยุนเห็นแววตาของถังเมิ่งเป็นประกายขณะที่จ้องมองเขา..
“แล้วฉันจะพานายไปพบกับพวกเขาทีละคนจะได้แจ้งให้ทุกคนได้รู้ว่าฉันได้มอบหมายให้นายดูแลทรัพย์สินและกิจการทุกอย่างของฉัน พวกเขาจะได้ไม่มองว่านายเป็นแค่เด็กน้อยอีกต่อไป เชื่อฉันสิ!”
ในเมื่อหลิงหยุนจัดการกรุยเส้นทางธุรกิจไว้ให้ถังเมิ่งแบบนี้ถังเมิ่งจึงค่อยรู้สึกเบาใจขึ้นมาหน่อย และเริ่มภาคภูมิใจในตัวเองจนยิ้มออกมาได้
“ในเรื่องของความเป็นนักเลงนั้นฉันว่าซ่งเจิ้งหยางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลุงหลงเลย ส่วนเซียนหยกนั้นเรียกได้ว่าเกิดมาเพื่อเป็นนักธุรกิจโดยแท้ เขาเป็นคนที่มีวาทศิลป์ที่ดีมาก ฉันเองก็เคยทดสอบเขามาด้วยตัวเอง นายสามารถให้สองคนนี้เป็นมือขวาของนายได้เลย ยังมีลุงหลี่กับลุงถังอีกคน ใหนจะแก๊งมังกรเขียวอีกที่จะคอยเป็นแบ๊คให้กับนาย แบบนี้แล้วต่อไปมณฑลเจียงหนานทั้งหมดคงตกเป็นของนายอย่างแน่นอน!”
แต่ถังเมิ่งก็รีบพูดแก้ไขให้ถูกต้องอย่างรวดเร็ว“พี่หยุน.. นี่มันเป็นธุรกิจของพี่ ไม่ใช่ของฉัน!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า“มันคือของพวกเราสามคนพี่น้องต่างหาก นายเข้าใจใหม่ด้วย!”
“เอาล่ะ..นายบริหารกิจการในจิงฉูไปอีกสักพัก่อน เมื่อไหร่ที่มีประสบการณ์มากพอ ฉันยังมีงานให้นายทำอีกมากเลยทีเดียว!”
อย่าว่าแต่จิงฉูเลย..หลิงหยุนนั้นมองไกลไปถึงระดับประเทศ และระดับโลกด้วยซ้ำไป!
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า“ตอนนี้นายเข้าใจแล้วใช่มั๊ยว่าควรทำยังไงต่อไป”
“เข้าใจแล้วพี่หยุน!”
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนและเดินไปตบบ่าถังเมิ่งพร้อมกับพูดยิ้มๆ “เข้าใจก็ดีแล้ว เอาล่ะ.. ได้เวลากินข้าวเที่ยงแล้ว!”บทที่ 646 : หงุดหงิดรำคาญ!
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงกันเสร็จแล้วหลิงหยุนจึงสั่งให้ถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋กลับไปทำงานที่คั่งค้างของตนเองได้ ส่วนตัวเขาก็เข้าไปที่คลินิกสามัญชน
เสี่ยวเม่ยหนิงเหมี่ยวเสี่ยวเหมา เหยาลู่ พร้อมด้วยพยาบาลสาวสวยอีกสามคนก็อยู่ที่นั่น..
“โอ้โห..วันนนี้เจ้านายเข้าคลินิกด้วย!”
ชางเสี่ยวเหมิงเป็นคนแรกที่เห็นหลิงหยุนเดินเข้ามาเธอจึงรีบชี้ให้ทุกคนดู และกรีดร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ท่าทางกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจของชางเสี่ยวเหมิงนั้น ทำให้หน้าอกของเธอสั่นจนผู้ชายสองคนที่อยู่ข้างๆ ถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ซันยู่วเจียวที่กำลังจดจ่ออยู่กับคนไข้รอบตัวและกำลังทำงานอย่างจริงจังอยู่นั้น เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนมาแล้ว ก็รีบเหลือบไปมองที่หน้าประตู และใบหน้าก็เริ่มแดงขึ้นเล็กน้อย
“หลิงหยุนมาแล้วเหรอไม่รู้ว่าการสอบเอนทรานซ์เป็นยังไงบ้าง? แต่ฉันว่าต้องได้คะแนนสูงสุดของประเทศแน่เลย?”
หลี่จินเลียนพูดขึ้นมา..เธอเป็นพยาบาลที่อายุมากที่สุดในจำนวนพยาบาลสาวทั้งสามคน จึงมีความใจกล้ากว่าหญิงสาวคนอื่นๆ ทันทีที่หลิงหยุนเดินเข้ามาในคลินิก เธอก็รีบลุกขึ้นเดินส่ายสะโพกเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของหลิงหยุนด้วยความรู้สึกเสียดาย
และเมื่อได้เห็นท่าทางของหลี่จินเหลียนทั้งซันยู่วเจียวและจางเสี่ยวเหมิงต่างก็กรีดร้องอยู่ในใจ ‘เธอกล้าดียังไงถึงได้ไปยืนจ้องหลิงหยุนแบบนั้น แถมยังกอดแขนของเขาไว้ด้วย!’
หลิงหยุนยิ้มให้หลี่จินเหลียนเล็กน้อยจากนั้นจึงหันไปมองคนไข้รอบตัว ส่วนเสี่ยวเม่ยหนิงและเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้น ต่างก็ยุ่งอยู่กับการดูแลรักษาคนไข้ แม้จะได้ยินว่าหลิงหยุนมาถึงแล้ว ก็ยังไม่มีเวลาว่างที่จะเดินมาทักทาย
“สองคนนั้นได้ทานข้าวเที่ยงหรือยัง”หลิงหยุนชี้ไปทางสาวสวยทั้งสองคนซึ่งเป็นหลานของท่านเสี่ยวหมอเทวดาพร้อมกับกระซิบถามเสียงเบา
“จะมีเวลาว่างไปกินได้ยังไง”
หลี่จินเหลียนเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมกับบ่นพึมพำว่า“เจ้านาย.. คุณดูสิคะ! คนไข้นั่งกันเต็มคลินิกแบบนี้ จะเอาเวลาที่ใหนไปกิน!”
ภายในคลินิกตอนนี้มีคนไข้นั่งรออยู่มากมายม้ายาวจากเดิมที่มีอยู่ถึงสี่ตัวนั้น ตอนนี้ก็ไม่เพียงพอแล้ว และได้ซื้อเพิ่มมาอีกแปดตัว รวมเป็นทั้งหมดสิบสองตัว แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่เพียงพออยู่ดี เพราะยังมีคนไข้บางส่วนที่ยังต้องยืนรอ
หลิงหยุนเห็นภาพคนไข้แน่นคลินิกแบบนี้ก็ทั้งโมโหและเศร้าใจ!
เมื่อครั้งที่วางแผนเปิดคลินิกในตอนแรกนั้นหลิงหยุนได้บอกกับเหยาลู่ไว้ว่า เขาจะคิดค่ารักษาผู้ป่วยสามแสนหยวนต่อคน แต่ตอนนี้กลับถูกเสี่ยวเม่ยหนิงและเหมี่ยวเสี่ยวเหมายกเลิกไป!
“อะไรกันพี่หลิงหยุน..สามแสนหยวน! มันไม่ค้ากำไรเกินควรไปหน่อยเหรอ”
นี่เป็นคำอุทานของเสี่ยวเม่ยหนิงเมื่อครั้งที่เธอได้ยินค่ารักษาที่หลิงหยุนตั้งไว้ตั้งแต่แรก!
และเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็ถึงกับกร่นด่าหลิงหยุนอยู่ในใจว่าเขาเป็นคนโลภมากและไร้ยางอายอย่างที่สุด!
สองสาวจึงได้กำหนดค่ารักษาของคลินิกสามัญชนขึ้นมาใหม่และแน่นอนว่ามันได้นำความเจ็บปวดมาให้หลิงหยุนอย่างมาก ทุกวันตั้งแต่เช้าจนดึกจะมีคนไข้เข้ามารอรับการรักษาจนแน่นคลินิกไปหมด ทุกคนจึงไม่มีเวลาแม้แต่จะได้กินข้าว และต้องใช้เวลาทั้งหมดอยู่ที่คลินิก ไม่มีเวลาได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ใหนเลย!
หลิงหยุนขมวดคิ้วขณะที่เดินเข้าไปหาเหยาลู่ในห้องลงทะเบียนเขายิ้มให้กับเหยาลู่พร้อมกับถามขึ้นว่า
“เหยาลู่..วันนี้มีรายได้เข้ามาเท่าไหร่”
เหยาลู่รีบส่งยิ้มสดใสให้กับหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“วันนี้มีคนไข้เกือบเจ็ดสิบราย รวมแล้วก็สามพันหยวน..”
“เฮ้อ..ค่ารักษาครั้งละห้าสิบหยวน!” หลิงหยุนขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม เมื่อคิดว่าค่ารักษาของคลินิกเขานั้นช่างถูกมากเสียเหลือเกิน..
“เหยาลู่..คุณได้ทานข้าวบ้างหรือยัง” หลิงหยุนถามขึ้น
เหยาลู่ยกมือขึ้นชี้ไปทางเสี่ยวเม่ยหนิงกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับส่ายหน้าแต่ก็ไม่พูดอะไร.. และหลิงหยุนก็เข้าใจได้ทันทีว่า ในเมื่อหญิงสาวทั้งสองคนยังไม่ได้กิน เธอจะเลี่ยงไปกินคนเดียวได้อย่างไร
หลิงหยุนเริ่มรู้สึกหงุดหงิดอย่างมากเขารีบเดินไปหาเสี่ยวเม่ยหนิงพร้อมกับร้องบอกไปว่า
“พวกคุณสองคนยุ่งอยู่..ผมจะพาคนที่เหลือไปกินข้าวเที่ยงก่อนนะ!”
พูดจบ..หลิงหยุนก็ดึงเหยาลู่ให้ลุกขึ้น และร้องบอกพยาบาลสาวสวยทั้งสามคนว่า “ไปกัน.. ผมจะพาพวกคุณไปกินมื้อใหญ่!”
“จริงๆเหรอ!”
หลี่จินเหลียนตื่นเต้นดีใจจนตัวสั่นและรีบลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
“ห๊ะ!ไปกินข้าวเหรอ!”
ชางเสี่ยวเหมิงหิวมากจริงๆและเมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนจะพาพวกเธอไปทานอาหาร ก็ถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความหิวทันที แต่เมื่อมองคนไข้ที่อยู่เต็มคลินิกไปหมด พยาบาลสาวทั้งสองคนก็เริ่มลังเล
ซันยู่วเจียวนั้นแทบไม่สนใจฟังคำพูดของหลิงหยุนเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการดูแลคนไข้
หลิงหยุนเห็นท่าทางลังเลของทุกคนก็เริ่มโมโหและคร้านที่จะสนใจอะไรอีก จึงพูดขึ้นว่า
“ผมกับเหยาลู่จะออกไปทานข้าวใครอยากจะกินก็ตามมา แต่ถ้าไม่อยากไปกินก็ทำงานต่อไป..”
เสี่ยวเม่ยหนิงได้ยินว่าหลิงหยุนมาก็ดีใจอย่างมากเพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะมา แต่เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนกำลังจะพาเหยาลู่กับพยาบาลสาวทั้งสามคนไปกินข้าวโดยไม่สนใจเธอกับพี่สาว ก็ถึงกับเจ็บปวดใจจนแทบฝังเข็มไม่ถูก..
“รอเดี๋ยวนะคะ!”
เสี่ยวเม่ยหนิงร้องบอกคนไข้ให้คอยเธอประเดี๋ยวแล้วรีบวิ่งออกมาหาหลิงหยุน ดวงตากลมโตรื้อไปด้วยน้ำตานั้นจ้องมองหลิงหยุนไม่กระพริบ..
น่าแปลก..!เด็กสาวตัวแสบสามารถฝึกวิชาหลิงซีจนสามารถดูดซับพลังชีวิตบางอย่างได้แล้ว อีกทั้งหลังจากได้รับคำแนะนำจากหลิงหยุนอย่างใกล้ชิด ทำให้เธอสามารถใช้เก้าเข็มปลุกชีพรักษาคนไข้ได้อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย
นับว่าทักษะทางการแพทย์ของเสี่ยวเม่ยหนิงนั้นได้ถูกถ่ายทอดทางสายเลือดโดยตรงจากท่านเสี่ยวหมอเทวดา เพราะเวลานี้วิชาเก้าเข็มปลุกชีพของเธอนั้นนับว่าทรงอานุภาพไม่น้อยเลยทีเดียว และหากรักษาที่คลินิกสามัญชนอีกไม่นาน เธอก็คงจะมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน!
“พี่หลิงหยุน..นี่พี่..”
เมื่อสาวน้อยตัวแสบวิ่งออกมาเห็นหลิงหยุนกำลังยืนกอดเอวเหยาลู่ไว้ดวงตากลมโตของเธอก็มีน้ำตาเอ่อขึ้นมาทันที
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่ได้เดินออกมาด้วยเธอยังคงใช้เข็มเงินรักษาให้กับคนไข้ต่อไป แต่เข็มเงินในมือก็หยุดชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุน แต่ก็รีบทำการฝังเข็มให้คนไข้ต่อไปทันที
“คนไข้ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการที่คุณกำหนดค่ารักษาขึ้นมาใหม่แต่ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว ยังไม่มีใครได้กินข้าวเที่ยงเลย ผมจะพาทุกคนไปกินข้าวก่อน ถ้าคุณสองคนอยากจะอยู่รักษาคนไข้ต่อ ก็อยู่ไป!”
และนี่คือราคาที่การเป็นคนดีจะต้องจ่าย!
จนถึงตอนนี้หลิงหยุนเพิ่งจะเข้าใจว่า..เหตุใดในคืนที่เขากลับมาเกิดใหม่อีกครั้งบนโลกใบนี้ในสภาพที่นั่งจมกองเลือดนั้น จึงไม่มีรถคันใหนหยุดช่วยเขาเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งที่มีรถวิ่งผ่านไปผ่านมามากมาย!
ไม่มีเลย..แม้แต่คนเดียว!
หลิงหยุนดึงมือเหยาลู่ออกจากคลินิกไปทันทีโดยไม่สนใจใครอีกเลยและใครอยากจะตามเขามา ก็ตามมา แต่ถ้าใครไม่อยากตามมา ก็ไม่ต้องมา!
หลี่จินเหลียนไม่รีรอเธอรีบวิ่งตามหลิงหยุนออกไปทันที ชางเสี่ยวเหมิงนั้นลังเลเล็กน้อย แต่แล้วก็วิ่งตามออกไปเช่นกัน ภายในคลินนิกจึงเหลือเพียงแค่เหมี่ยวเสี่ยวเหมา เสี่ยวเม่ยหนิงที่ยืนน้ำตาไหลอาบแก้ม และซันยู่วเจียวเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อยและเดินโอบเหยาลู่ออกไปทันที เสี่ยวเม่ยหนิงก็ถึงกับสะอื้นด้วยหัวใจที่แตกสลาย
ทางด้านนอกคลินิกนั้น..
“สวัสดี..ผมได้ยินว่าที่คลินิกนี้มีหมอเก่งมาก แล้วก็คิดค่ารักษาไม่แพงด้วย ไม่ทราบว่าเป็นความจริงมั๊ย”
รถหรูหราคันหนึ่งมาจอดอยู่ที่หน้าประตูคลินิกและชายวัยกลางคนท่าทางร่ำรวยมากคนหนึ่งก็เดินออกมาจากรถ และหยุดถามหลิงหยุนที่เดินมาพร้อมกับสาวๆอีกสามคนด้วยท่าทางสุภาพ
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับไปว่า“จริง! ที่นี่มีหมอเก่งมาก แต่ราคาไม่ได้ถูกมาก ตรงกันข้าม.. ค่ารักษาแพงมากต่างหาก!”
“ค่ารักษาห้าสิบหยวนนี่แพงแล้วเหรอหรือผมเข้าใจอะไรผิดไป?” ชายวัยกลางคนถามอย่างประหลาดใจ
“คุณไม่ได้เข้าใจอะไรผิดหรอกครับแค่จำราคาค่ารักษาผิดไปเท่านั้น ที่นี่ค่ารักษาอยู่ที่สามแสนหยวน.. ไม่ใช่ห้าสิบหยวน!” หลิงหยุนตอบหน้าตาเฉย
“ห๊ะ!สามแสนหยวน!” ชายวัยกลางคนท่าทางร่ำรวยถึงกับอึ้งไป
“นี่คุณอย่ามาล้อเล่นหน่อยเลย..คลินิกที่ใหนกันคิดค่ารักษาครั้งละสามแสน!”
ชายวัยกลางคนท่าทางร่ำรวยเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเพราะคิดว่าหลิงหยุนกำลังล้อเขาเล่น
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับยกมือชี้ไปที่ป้ายคลินิกแล้วตอบไปว่า “ผมเป็นหมอและเป็นเจ้าของคลินิกแห่งนี้ คุณคิดว่าผมจะพูดล้อเล่นงั้นเหรอ”
“บ้าไปแล้ว!”ชายวัยกลางคนท่าทางร่ำรวยถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในรถด้วยความไม่พอใจ แล้วขับออกไปทันที!
แม้แต่หลี่จินเหลียนและชางเสี่ยวเหมิงเองก็ถึงกับอึ้งไปเช่นกัน..‘สามแสนหยวน!’
หญิงสาวทั้งสองคนหันกลับไปมองที่คลินิกนึกถึงเงินเดือนที่หลิงหยุนจ่ายให้กับพวกเธอ แล้วก็นึกถึงเหตุการณ์ในวันเปิดคลินิก ทั้งคู่ได้แต่นึกสับสนอยู่ในว่าหลิงหยุนนั้นเป็นคนเช่นไรกันแน่
นี่หลิงหยุนไม่ใช่คนใจบุญ..เขาเปิดคลินิกขึ้นมาเพื่อหาเงิน และต้องการหาเงินให้ได้มากๆด้วย!
หลิงหยุนไม่ได้ออกไปกินไกลนักเขาหาร้านอาหารซีฟู้ดใกล้ๆ และให้เหยาลู่สั่งอาหารซีฟู้ดมื้อใหญ่มากินกัน หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงทุกคนก็กลับไปที่คลินิก
เมื่อทั้งสี่คนเดินกลับมาถึงคนไข้ที่อยู่ในคลินิกก็ลดจำนวนลงมากแล้ว เหลือเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้นที่กำลังรอให้เสี่ยวเม่ยหนิง และเหมี่ยวเสี่ยวเหมาทำการรักษา
หลิงหยุนจงใจพูดกับชางเสี่ยวเหมิงเสียงดัง“หลังจากนี้ไป ถ้ามีคนไข้เข้ามา ให้บอกไปว่าที่นี่คิดค่ารักษาพยาบาลครั้งละสามแสน แล้วก็ลดไม่ได้แม้แต่หยวนเดียว เข้าใจมั๊ย”
ชางเสี่ยวเหมิงได้ยินคำสั่งของหลิงหยุนก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆเป็นไก่จิกข้าวเปลือกทันที..
“ไปเหยาลู่..ขึ้นไปข้างบนแล้วก็ช่วยเตรียมชาชั้นเยี่ยมมาให้ผมด้วย เสร็จแล้วก็มาช่วยนวดให้ผมหน่อย ที่ร้านอาหารซีฟู้ดนั่น อาหารทะเลก็อร่อยดีอยู่หรอก แต่ชารสชาติแย่มาก!”
จากนั้นหลิงหยุนก็พาเหยาลู่เดินขึ้นไปชั้นสองและยังคงไม่สนใจเสี่ยวเม่ยหนิง ราวกับว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย
แทบไม่ต้องพูดถึง..เสี่ยวเม่ยหนิงนั้นเสียใจอย่างมาก ดวงตากลมโตนั้นแดงก่ำและมีน้ำตาไหลพรากในระหว่างที่ทำการฝังเข็มให้กับคนไข้
หลิงหยุนเดินขึ้นไปชั้นสองระหว่างที่เหยาลู่ไปเตรียมน้ำชาให้นั้น เขาก็นั่งลงบนโซฟาพร้อมกับแสยะยิ้มและพึมพำออกไปว่า
“ค่ารักษาห้าสิบหยวนงั้นเหรอ!”
เหยาลู่จัดการยกชามาให้หลิงหยุนเรียบร้อยแล้วจึงเริ่มนวดผ่อนคลายให้กับเขา
“เหยาลู่คุณนวดเก่งขึ้นมากเลยนี่..”
เหยาลู่ยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“ฉันเสียเงินไปเรียนนวดกับอาจารย์ที่เก่งที่สุดเชียวนะ! จะได้เอาไว้ใช้นวดให้คุณไง”
ครึ่งชั่วโมงผ่านไประหว่างที่หลิงหยุนกำลังมีความสุขอยู่นั้น เขาก็เห็นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาลากเสี่ยวเม่ยหนิงขึ้นมาชั้นสองพร้อมกับร้องตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
“หลิงหยุน!ฉันต้องการคำอธิบาย!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร