เดิมพันรักยัยตัวแสบ นิยาย บท 268

ตอนที่268 การแสดงตอนตั้งแคมป์

พูดไปพูดมา พอชูหยุนเฟิงนึกถึงเรื่องในอดีต ปมในใจเขาก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง.....

ปากบางๆของเป่หมิงโม่กระตุกเล็กน้อย “ยังไง นึกถึงเรื่องเศร้าของนายอยู่เหรอ เมื่อกี้ยังทำตัวเป็นอาจารย์สอนความรักอยู่เลยนะ ”

“แหม่ๆ เรื่องความรักเนี่ย....มันเป็นอะไรที่ซับซ้อนจริงๆนะ แต่ว่าถึงจะซับซ้อนอย่างไรก็ไม่เท่ากับความซับซ้อนของผู้หญิงหรอก เป่หมิงเอ้อ ฉันพูดตรงๆนะ นายต้องพาฮอนฮอนตบแต่งเข้าบ้าน นายมีเมีย มีลูกแล้วนะ แบบนี้อะไรๆก็ลงตัวพอดี จะมานั่งกลุ้มอยู่ทำไม”

“แต่งกับเธอ?” เป่หมิงโม่นัยน์ตาลุ่มลึกวูบไหวไปครู่หนึ่ง “นายไม่รู้เหรอว่าถ้าฉันไม่รัก ฉันก็ไม่แต่งหรอกนะ”

“เอ้า นายไม่ได้รักฮอนฮอนหรอกเหรอ”

“ใครบอกว่าฉันรัก รักเธอกับรักที่จะมีอะไรกับเธอมันคนละเรื่องกันนะ”

“อ๋อ.. เข้าใจแล้ว...”

“เข้าใจว่า?”

“รักกับการครอบครองมันคนละเรื่องกัน”

“……………..” ชายบางคนสับสน

ท่าจะไม่ดี วันนี้ได้ยินประโยคนี้ถึงสองครั้งแล้ว

*

คืนนี้ เป่หมิงโม่เมาหัวราน้ำกลับบ้าน ล้มหัวลงก็นอนหลับสนิท ใครมันจะไปมีแรงมานั่งคิดว่าอะไรคือความรัก อะไรคือการครอบครอง แล้วมันแตกต่างกันยังไงอีก

การฟ้องร้องครั้งนี้ เป็นข่าวดังไปทั่วทุกสารทิศ ทางศาลจึงรีบจัดแจงวันและเวลาเพื่อนัดขึ้นศาล

เป่หมิงโม่ยังคงทำตัวลึกลับ กู้ฮอนก็ถ่อมตัวเหมือนเดิม นิตยสารซุบซิบมีข่าวออกมาจนมืดฟ้ามัวดิน ดูเหมือนว่าเป็นข่าวที่นักข่าวกุขึ้นมาและเขียนเองทั้งนั้น แต่ผู้คนก็ยังคงให้ความสนใจและพูดต่อๆถึงคดีความเรื่องดังเรื่องนี้...

ในส่วนของโจทก์และจำเลยของการฟ้องร้องทั้งสองฝ่ายนั้น หลังจากที่ถูกนักข่าวใส่สีตีไข่เข้าไป เขียนเหมือนว่ากลายเป็นศัตรูที่อยู่ร่วมกันไม่ได้ไปเลย

คดีความใกล้เข้าสู่การขึ้นศาลแล้ว

ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องการที่จะนำหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อฝั่งตัวเองมายื่น และเป่หมิงโม่ที่อยู่กับลูกทั้งสองนั้น ก็ดูจะได้เปรียบมากกว่า

แต่จะทำยังไงถึงจะทำหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเขากันล่ะ

ดังนั้น ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศแจ่มใสและเย็นสบายแบบนี้ เป่หมิงโม่จะพาลูกทั้งสองเข้าร่วมกิจกรรมนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต...

กิจกรรมตั้งแคมป์นั่นเอง!

นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นหลักคือกิจกรรมตั้งแคมป์ครั้งนี้ คุณชายรองตระกูลเป่หมิงได้เชิญกลุ่มช่างภาพและทนายไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วย

เหตุผลก็คือ พาเด็กๆไปทำกิจกรรมครอบครัว นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เพียงสามารถให้ลูกๆได้รับการเลี้ยงดูที่ดี เขายังรักและเอาใจใส่ลูกอีกด้วย หลักฐานเหล่านี้เมื่อยื่นต่อศาลแล้ว จะเป็นประโยชน์ต่อเขามาก

คำพูดของเฉิงเฉิง————

นี่คงเป็นการแสดงที่สมบูรณ์แบบเอามากๆ และที่ประชดก็คือ ทั้งครอบครัวแห่ไปแสดงโชว์กันในป่าในเขา

คำพูดของหยางหยาง————

นี่เป็นการเดินทางที่น่าอัศจรรย์ครั้งหนึ่ง ที่น่าดีใจก็คือ ก่อนออกเดินทางเขาได้แอบโทรบอกแม่แล้ว

กู้ฮอนพอได้ข่าวก็ฉุนขึ้นมา “พ่อของลูกนี่สมองมีปัญหาหรือไงกัน พาลูกๆสองคนออกไปเที่ยวแล้วยังจะต้องมีกลุ่มช่างภาพไปด้วยอีก เขาคิดว่าเขาเป็นพระเอกจะไปถ่ายละครหรือยังไงกัน”

ในสายก็ยังคงมีเสียงบ่นต่อของกู้ฮอน

ฉิงฮัวทำหน้าที่เป็นคนขับพาสามพ่อลูกนั่งรถออฟโรดลุยป่า ออกเดินทางอย่างรีบร้อน

และยิ่งไปกว่านั้น ข้างหลังรถพวกเขา ยังมีรถของทีมช่างภาพตามมาอีกสองคัน.....

*

ระหว่างทาง มีแต่เสียงตื่นเต้นของหยางๆที่พูดเจี้ยวจ้าวไม่หยุด ส่วนเป่หมิงโม่กับเฉิงเฉิงนั้นก็เงียบมาตั้งแต่ออกเดินทาง

____________

เงียบจนง่วงหลับไปแบบนั้น

เฉิงเฉิงเริ่มง่วงเป็นเพราะรถโยกไปมา ยิ่งโยกไปมานานเท่าไหร่เด็กก็จะหลับง่ายเท่านั้น

เป่หมิงโม่เริ่มง่วงเป็นเพราะเขาไม่ได้อินหรือชอบกับการเดินทางในครั้งนี้เลย

สำหรับคุณชายรองตระกูลเป่หมิงแล้ว พาผู้หญิงไปเข้าป่า ยังน่ากระตือรือร้นกว่าพาเด็กสองคนนี่มาเข้าค่ายเสียอีก

ใบหน้าของฉิงฮัวดูไร้อารมณ์ไม่รู้สึกรู้สาอะไร เหมือนตัวเองเป็นอากาศ ทำหน้าที่ขับรถของเขาไป

ภายในรถมีสี่คน สามคนทำตัวเหมือนเป็นอากาศ ถึงหยางหยางจะพลังงานเยอะแค่ไหนก็ทนไม่ไหวเช่นกัน———

ไม่ว่าหยางหยางจะเขย่าเฉิงเฉิงยังไง เพื่อให้เฉิงเฉิงได้ตอบสนองเขาบ้าง แต่เฉิงเฉิงกลับง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้น หยางหยางก็ได้แต่ถอดใจ

ส่วนพ่อนิสัยเสียของเขานั้น หยางหยางยังโกรธเขาอยู่ เลยไม่ยอมเข้าไปหาเขาก่อน

ดังนั้นหยางหยางก็ได้แต่ก่อกวนวุ่นวายฉิงฮัวที่เงียบมาตลอดทาง

“ไฮ ลุงฉิงฮัว พวกเราถึงไหนกันแล้วหวา เมื่อไหร่จะถึงเขาฟะราน” หยางหยางถามฉิงฮัวแบบนี้เป็นรอบที่หกแล้ว

“คุณชายน้อยหยางหยาง ภูเขาฟรานถึงจะถูกนะครับ น่าจะนั่งรถอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ” นี่ก็เป็นครั้งที่หกแล้วเช่นกันที่ฉิงฮัวแก้คำผิดให้

“อัยโหยวผมรู้แล้วล่าา แต่ว่าทามมายถึงยังม่ายถึงอีกล่าา?”

“ยังต้องนั่งรถอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะถึงครับ” ฉิงฮัวตอบใจเย็น

“อัยโหยวผมรู้ว ผมถามว่า ทามมายต้องอีกครึ่งชั่วโมงจาถึงล่าา?”

“….ก็เพราะอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะถึงไงครับ...” หน้าผากฉิงฮัวเริ่มมีเหงื่อไหล

“อัยโหยวผมรู้น่าา...”

“หุบปากได้แล้ว เป่หมิงซีหยาง!” คำดุประโยคเดียวของเป่หมิงโม่ ทำให้หยางหยางตกใจจนตัวสั่น เขาเงียบไปทันที

เขาไม่ได้กลัวพ่อนิสัยเสียของเขาหรอกนะ แต่อยู่ดีๆมีเสียงตะคอกแทรกขึ้นมา ทำให้เขาเสียขวัญไปเท่านั้นเอง

เป่หมิงโม่ปิดตาที่ง่วงลงต่อ นวดๆถูๆไปตรงขมับจุดไท่หยางที่เริ่มปวด รถยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง กิจกรรมครอบครัวก็ยังไม่ทันได้เริ่ม กลุ่มช่างภาพก็ยังไม่ได้เริ่มงาน เขากลับมีความรู้สึกอยากจะซิ่งรถกลับไปซะเดี๋ยวนี้

โดยเฉพาะที่ตลอดทางได้ยินคำถามปัญญาอ่อนวนไปวนมาของลูกชายคนเล็กของเขาที่เขาเพิ่งจะรู้จักได้ไม่นานแล้ว คุณชายรองตระกูลเป่หมิงที่อุตส่าห์เก็บกดอารมณ์ ก็ชักจะเริ่มไม่ไหวแล้ว———

“เป่หมิงซีหยาง คราวหลังอย่าให้ฉันได้ยินคำว่า’ล่าา’ที่เหมือนตุ๊ดแบบนี้อีก ไม่งั้นฉันจะตัดลิ้นแกซะ!”

หยางหยางไม่พอใจพ่นลมออกจมูก “จะแกล้งผมที่ไม่ค่อยเก่งภาษาจีนเหรอ คำว่า’ล่าา’ไม่ใช่คำเสริมน้ำเสียงที่ฟังเหมือนตุ๊ดสักหน่อย เป็นคำที่ออกจะดูน่ารักแบ๊วๆมากกว่า”

“แบ๊วๆงั้นเหรอ แกเป็นผู้ชายอกสามศอก มาแบ๊วๆกับผีอะไร ผู้หญิงไหนใครจะมาสนใจแบ๊วหรือไม่แบ๊วฮะ!”

“ผมไม่ใช่ผู้ชายอกสามศอก ผมเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆตะหาก”

“อีกหน่อยแกก็จะกลายเป็นผู้ชายอกสามศอกนั่นแหละ”

“นั่นมันอีกหลายๆๆๆปีในอนาคตต่างหาก”

“เพราะงั้นฉันต้องสั่งสอนแกเรื่องความเคยชินแย่ๆพวกนี้ก่อน เผื่อต่อไปอีกหลายๆๆๆปีในอนาคตแกจะได้ไม่กลายเป็น’ลูกสาว’ไง”

“ถ้าอีกหลายๆๆๆปีในอนาคตผมเปลี่ยนลูกสาว มันก็แค่แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นพ่อพันธุ์ที่ไม่ดี ไม่เกี่ยวอะไรกับผมสักหน่อย”

“แก...........” เป่หมิงโม่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด

ฉิงฮัวแอบเหลือบมองเจ้านายที่ตอนนี้หน้าเขียวปั๊ดนั่งอยู่ด้านข้างที่นั่งคนขับ แล้วก็มองผ่านกระจกมองหลัง มองไปยังคุณชายน้อยหยางหยางที่นี่งตรงที่นั่งด้านหลัง ทบทวนสักพัก ฉิงฮัวจึงพูดห้ามศึก “เอ่อ คุณชายน้อยหยางหยางครับ ความหมายของเจ้านายก็คือว่า ตอนนี้คุณชายน้อยหยางหยางยังเด็ก แล้วท่าทางเป็นผู้หญิงมากเกินไป พอโตมาก็อาจจะทำให้สับสน แล้วถ้ากลายเป็นตุ๊ดเป็นกะเทยขึ้นมาจริงๆ เรื่องมันจะยิ่งแย่นะครับ”

หยางหยางโกรธแก้มป่อง กรอกตาบนไปหนึ่งที เกาหัวตัวเองพลางพูด “ตุ๊ดเคยเป็นแล้วล่ะ แต่กะเทย... อาสามเคยบอกว่ากะเทยต้องตัดจู๋จู๋ออก ผมจะไปทำได้ยังไง อาสามบอกด้วยว่ามีจู๋จู๋ถึงจะไปจีบสาวได้ ผมอยากจีบสาว ผมไม่อยากเป็นกะเทย....”

“เดี๋ยวนะ” เป่หมิงโม่ทำหน้าฉงน ตาหรี่ลง “แกไปเป็นตุ๊ดตอนไหน แล้วแกไปสนิทกับเป่หมิงยันตั้งแต่ตอนไหน”

เฉิงเฉิงสะดุ้งตื่นด้วยคำว่า’เป็นตุ๊ด’ของหยางหยาง

พอได้ยินพ่อถามถึงเรื่องเป็นตุ๊ดแล้ว เฉิงเฉิงรู้สึกขนหัวลุก เขานึกย้อนไปตอนทาหน้าดำเล่นเป็นเด็กหญิงผิวดำในวันนั้น จนถึงวันนี้เขายังรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนจนอยากอาเจียนอยู่เลย

ใครจะไปคิด หยางหยางยังพูดต่ออย่างดีอกดีใจว่า "ฮึ ตอนผมแต่งเป็นตุ๊ดนะเนียนจนคุณยังจำผมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ก็ตอนนั้น..อื้อ...อื้อ...”

เฉิงเฉิงรีบเอามือไปปิดปากมากของหยางหยาง แล้วตอบแทนหยางหยาง “พ่อครับ หยางหยางแค่บ้าเล่นไปหน่อย ต่อไปผมจะเตือนน้องบ่อยๆ อาสามมีครั้งหนึ่งคิดว่าหยางหยางเป็นผม แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วครับ”

พอเป่หมิงโม่ได้ยินเฉิงเฉิงพูดแบบนั้นก็ปล่อยไป แต่ก็เตือนหยางหยางเป็นทางการอีกครั้ง “เป่หมิงซีหยาง คำเสริมว่า’แล้วล่าา’ ที่ฟังดูสาวแบบนี้ ห้ามพูดอีกนะ อย่าให้ฉันได้ยินอีก”

เฉิงเฉิงที่ปิดปากหยางหยางอยู่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ ช่วยพยักหน้ารับ “พ่อครับ ผมว่าหยางหยางคงจะเข้าใจแล้ว”

หยางหยางไม่เต็มใจ โวยวายทั้งที่โดนปิดปาก “อื้อ...อื้อ....”

*

และแล้ว พายุครั้งนี้ก็สงบลงได้เพราะเฉิงเฉิงเข้ามาช่วย

หลังจากนั่งรถมาอีกครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็ถึงจุดหมายปลายทางของที่จะตั้งแคมป์คราวนี้——— ภูเขาฟรานที่มีวิวสวยที่สุดในเมืองAนั่นเอง

“ยู้วฮูว ในที่สุดก็ถึงแย้วว....” หยางหยางพอได้ลงรถ ขาเล็กๆก็รีบวิ่งเล่นทันที ดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำ

เป่หมิงโม่ลงมาจากรถ ได้ยินคำว่า’แย้วว’จากหยางหยาง หน้าของเขาก็เริ่มดำขึ้นมาอีกครั้ง

ห้ามพูดคำว่า’ล่าา’ เขายังกล้าพูดคำที่ฟังดูสาวอีกอย่างคำว่า ‘แย้วว’!

ฉิงฮัวเปิดท้ายรถ เตรียมเอาอุปกรณ์กางเต็นท์ต่างๆลงจากรถ แล้วถามเป่หมิงโม่ “เจ้านายครับ เต็นท์จะให้กางตรงไหนดีครับ?”

เป่หมิงโม่มองไปรอบๆป่าไม้น้อยใหญ่เขียวขจี ภูเขาสูงต่ำสลับกับเป็นแนว เหมือนกับว่าถ้ายื่นมือออกไปก็จะสามารถสัมผัสกับท้องฟ้าสีคราม ยอดเขาที่อยู่ระหว่างกลุ่มเมฆลอยคว้างนั้นได้ เป็นภาพที่ช่างน่าประใจยิ่งนัก

เขายกมือขึ้น พลางชี้ไปตรงพื้นราบฝั่งตรงข้าม “ไปกางตรงนั้น”

ฉิงฮัวพยักหน้ารับ แบกอุปกรณ์กางเต็นท์ไปยังจุดดังกล่าว

จากนั้น กลุ่มช่างภาพที่ตามมาด้วย ก็ถูกเป่หมิงโม่จัดการให้กางเต็นท์อยู่อีกฝั่ง เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชินที่จะมีกล้องอยู่ใกล้ๆตัวอยู่ดี

หลังจากที่เฉิงเฉิงเห็นวิวที่สวยงามแล้ว เขารีบวิ่งกลับไปที่รถ หยิบเอาอุปกรณ์วาดรูป แล้ววิ่งตามฉิงฮัวไปอีกฝั่งของภูเขาด้วยความเร็วราวกับลมพัด

หนึ่งชั่วโมงให้หลัง

ฉิงฮัวกางเต็นท์สามหลังเสร็จ

หลังหนึ่งของเจ้านาย อีกหลังของคุณชายน้อยเฉิงเฉิงและคุณชายน้อยหยางหยาง ส่วนอีกหลังก็ของเขาเอง

ก่อนจะกางเต็นท์ ฉิงฮัวปูเสื่อผืนใหญ่ไว้ผืนหนึ่งก่อน

บนเสื่อผืนใหญ่นั้น วางอาหาร ขนมกองไว้มากมาย

เฉิงเฉิงนั่งหลบมุมอยู่บนเสื่อผืนใหญ่เงียบๆ วาดรูปอยู่ในโลกของเขา

เป่หมิงโม่อุตส่าห์ปล่อยวาง อดทนกับร่างกายที่ต่อสู้กับเซลล์รักความสะอาดในตัวเขา ทั้งตัวสวมชุดสูทเรียบ ค่อยๆเดินอย่างสง่ามานั่งบนเสื่อผืนใหญ่แต่จิตใจกลับพะว้าพะวังไม่เป็นสุข เหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็มซะอย่างนั้น

หยางหยางมองไปเห็นพ่อนิสัยเสียของเขา ปากก็พล่ามออกมาประโยคหนึ่ง “มีใครมาตั้งแคมป์ใส่รัดไปทั้งตัวแบบนั้นกัน”

ชุดสูทตัดเย็บเข้ารูปทั้งเสื้อและกางเกง ในสายตาของหยางหยาง ดูยังไงก็รัดรูปไปทั้งตัว

เป่หมิงโม่ริมฝีปากกระตุก มองขวางหยางหยางไปทีหนึ่ง “แกจะไปรู้อะไร แค่มาตั้งแคมป์ ไม่ได้มาเป็นคนป่าสักหน่อย”

ดูกู้ฮอนผู้หญิงคนนี้สิ สอนลูกยังไงกันเนี่ย

นอกจากจะหยาบกระด้าง หยาบคาย ตะกละ ไร้เดียงสา บ้าพลังแล้ว ยังไร้รสนิยมอีกต่างหาก

หยางหยางเบะปาก หมุนตัวไปทางอื่นไม่อยากเสวนากับเป่หมิงโม่นิสัยเสียคนนี้ ตาของเขาเปล่งแสงประกายออกมา เขาคว่ำตัวลงใส่กองขนมที่ใหญ่เหมือนมหาสมุทร.....

อ่า สิ่งที่น่าดีใจที่สุดก็คือสามารถได้อยู่กับครอบครัว นอนลงบนกองขนมแล้วมองไปบนท้องฟ้าสีครามสดใส สูดอากาศสดชื่นของธรรมชาติเข้าเต็มปอด...

แต่หยางหยางก็ยังรู้สึกขาดอะไรบางอย่างไป เพราะแม่และน้องชายหรือน้องสาวในท้องของแม่ไม่ได้มาด้วย...

พอนึกถึงตรงนี้หยางหยางก็เม้มปากค้างไว้ เขาตัดสินใจเก็บเอาอาหารมาเป็นที่ระบายความเศร้าในครั้งนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เดิมพันรักยัยตัวแสบ