ฉันเบิกตากว้างเมื่อได้สติแล้วรู้ว่าพี่ลีวายปล่อยใน ก่อนจะ
จิกเล็บลงบนแท่นแขนแกร่งอย่างแรง
“โอ้ย!!” พี่ลีวายร้องออกมาเสียงดังพร้อมจ้องตาเขม็งอย่าง
ไม่พอใจ “ฉันเจ็บ!!”
พูดจบเขาก็ปัดมือฉันอย่างแรงพร้อมพลักตัวออกทำให้น้ำสีขุ่น
ที่ถูกปล่อยเข้ามาไหลออกจากร่องแคบจนเปรอะเปื้อนท่อนขาแกร่ง
ฉันก้มมองน้ำเชื้อสีขุ่นที่ไหลเปื้อนอยู่บนท่อนขาของพี่ลีวาย
แล้วถาม “ปล่อยในทำไมคะ”
“แล้วทำไมไม่ถามตั้งแต่ตอนฉันใกล้เสร็จ หรือใจจริงเธอก็อยากให้ปล่อยใน”
“มิลินไม่เคยคิดแบบนั้น” ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวหาฉันก็รีบแก้ตัวทันทีเพราะไม่เคยคิดอยากให้เขาปล่อยในเลยสักนิด
“อ่า! เปื้อนหมดแล้ว”
ฉันรีบลุกขึ้นจากตัวเขาก่อนจะหยิบเอาทิชชูมาเช็ด
ทำความสะอาดบริเวณจุดสำคัญโดยมีสายตาคมจ้องมองอยู่
“ม… มองทำไมรีบใส่เสื้อผ้าสิคะ”
“ฉันจะไปอาบน้ำ”
“คะ? อาบน้ำเหรอแต่มิลินรีบนะ” ฉันขมวดคิ้วมองพี่ลีวาย
อย่างไม่เข้าใจ เหมือนเขากำลังจะยื้อเวลาที่ไม่เข้าใจก็คือทำไปเพื่ออะไร
“ไม่เห็นหรือไงว่ามันเปื้อนหมดแล้ว” เขาชี้นิ้วมาบนท่อนขาแกร่งของตัวเองที่มีน้ำสีขุ่นเปื้อนอยู่
“ถ้าอย่างนั้นมิลินจะให้ลุงคนขับรถไป…” ยังพูดไม่ทันจบคนที่นั่งข้าง ๆ ก็ตวาดบอกเสียงแข็ง “รออยู่ที่รถ!!”
“…” ฉันเม้มปากแน่น หากไม่เผื่อเวลาไว้คงไม่มีทางไปทันแน่ ๆ
บรรยากาศภายในรถกลับมาเงียบสงัดทั้งฉันและพี่ลีวาย
ต่างแต่งตัวอย่างไม่พูดไม่จา กลัวเหลือเกินว่าคนที่บ้านจะมีใครสงสัย
ว่าทำไมรถของพี่ลีวายยังจอดอยู่นี่มันก็ผ่านมานานนับครึ่งชั่วโมงแล้ว ไหนเขาจะไปอาบน้ำอีก
“ถ้ากลับมาแล้วไม่เจอ ฉันจะตามเธอไปต่างประเทศ”
“…” เหมือนรู้ทันว่าฉันคิดอะไรอยู่ พี่ลีวายถึงได้ขู่แบบนั้น
“รู้ใช่ไหมว่าฉันสามารถทำอย่างที่พูดได้”
“ค่ะ” แน่นอนว่าไม่อยากให้พี่ลีวายตามไปถึงต่างประเทศ
จึงจำใจต้องรอ
บางทีก็แอบคิดหวั่นใจอยู่เหมือนกัน ว่าคนอย่างพี่ลีวาย
คงไม่ปล่อยฉันไปง่าย ๆ เพราะเขาเกลียดฉันมากขนาดนั้น คงอยากจะทำให้ฉันทรมานมากที่สุด
ฉันรออยู่ในรถประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงได้พี่ลีวายก็เดินกลับมาในรถหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จ
ในที่สุดรถหรูก็ขับออกไปจากบ้านสักที ไม่รู้ว่าจงใจหรือเปล่าเพราะพี่ลีวายขับรถช้ามาก ๆ ถึงแม้ว่าฉันจะเผื่อเวลาเอาไว้แต่ถ้าขับช้าแบบนี้มีหวังไปไม่ทันเครื่องแน่
“ช่วยขับเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหมคะ”
“ฉันหิว อยากแวะกินข้าวสักหน่อย”
“ว… ว่าไงนะคะ”
“ไม่ได้ยินที่พูด?” สายตาคมหันมามองฉันอย่างหาเรื่อง
“แต่ตอนนี้มัน…”
“อ่า! ร้านนั้นก็ดี”
“พี่ลีวาย!!” ฉันพูดชื่อคนที่กำลังขับรถอยู่ด้วยความโกรธ
แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะนั่งรถมากับเขาแล้ว
คิดว่าถ้ายอมมีอะไรด้วยมันก็จะจบ แต่เปล่าเลยพี่ลีวายก็ยัง
ไม่ยอมไปส่งฉันง่าย ๆ ทำเอาอยากรู้เหตุผลที่แท้จริงว่าอีกฝ่ายกำลัง
คิดอะไรอยู่ถึงได้ทำแบบนี้
ดูเหมือนเธอจะหน้าแตกอยู่เหมือนกันที่ถูกผลักแบบนั้น แถม
คนในร้านก็ยังมองอีก
“กลับไปนั่งโต๊ะของเธอซะ”
หลังประโยคนั้นก็เธอรีบเดินกลับโต๊ะของตัวเองทันที และฉันก็ไม่ได้พูดอะไรทำเหมือนไม่สนใจ ทั้งที่ข้างในมันร้อนรุ่มราวกับถูกเปลวไฟแผดเผา
หลังจากกินข้าวเสร็จพี่ลีวายก็ขับรถมุ่งหน้าไปสนามบินต่อ
โดยที่เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยตั้งแต่อยู่ที่ร้านอาหาร
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ เขาทำราวกับว่าไม่อยากให้ฉันไป
แต่ก็ยังใจร้ายไม่ยอมพูดจาดี ๆ ด้วย คงเป็นเพราะเกลียดฉันมาก ๆ อยากให้อยู่ต่อเพื่อระบายอารมณ์ได้ตามที่ตัวเองต้องการ อย่างที่เคย
พูดไว้ว่าจะย่ำยีฉันจนกว่าจะพอใจ
ในที่สุดก็มาถึงสนามบินจนได้และไม่เกินเวลาแต่ก็เกือบไม่ทันแล้ว แต่พอจะเปิดประตูรถมันกลับล็อก
“ปลดล็อกให้มิลินหน่อยค่ะ”
“เอื้อมมาปลดเองสิ” คำพูดที่ยียวนทำให้ฉันเริ่มโกรธ
มันโกรธที่ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าพี่ลีวายกำลังคิดอะไรอยู่ การที่
เขาทำแบบนี้มันทำให้ฉันแอบคิดลึก ๆ ว่าเขาไม่อยากให้ไปเพราะรู้สึกอะไรบางอย่าง ถึงจะหาเหตุผลอื่นมาหักล้างแต่ก็ยังคิดบ้า ๆ อยู่ดี
“ถ้าไม่อยากให้ไปก็พูดกับมิลินดี ๆ สิคะ ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย” ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ ให้มันรู้กันไปเลย
“หึ! ใช่! ฉันไม่อยากให้เธอไป”
“…” ตึกตัก! ตึกตัก! คำตอบที่ได้กลับมาทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ ของฉันมันเต้นแรงอย่างไร้เหตุผล
แต่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นคำพูดต่อไปของพี่ลีวายก็ทำให้ฉัน
รู้สึกว่าตัวเองโง่ที่คิดว่าเขาไม่อยากให้ไปเพราะรู้สึกดี “การได้ทรมานเธอมันเป็นเรื่องสนุกสำหรับฉัน”
“…”
“คือเหตุผลที่ฉันไม่อยากให้เธอไป ไม่ใช่เพราะรู้สึกดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เด็กดื้อคนโปรด (ของมาเฟีย) BAD