เหมยฮวาบัญชาการ นิยาย บท 19

“เหลวไหล!”

เสียงจินหยางหลงดังออกมานอกห้องหนังสือส่วนพระองค์ จนบรรดานางกำนัลและขันทีทั้งหลายต่างพากันสะดุ้ง เมื่อฮองเฮามาเข้าเฝ้าพร้อมกับกราบทูลเรื่องที่นางไม่ไว้ใจจินเกาหยาง

“ฝ่าบาท เรื่องการแย่งชิงอำนาจในราชสำนักมีมาทุกยุคทุกสมัย แม้เว่ยหยางอ๋องจะเป็นพระอนุชาร่วมสายพระโลหิต ก็มิอาจไว้วางพระทัยได้นะเพคะ”

“ข้ารู้จักน้องข้าดี ไม่ต้องให้เจ้ามาสั่งสอน!”

“ฝ่าบาท หม่อมฉันมิบังอาจล่วงเกิน แต่ที่หม่อมฉันมาทูลเตือนก็ด้วยความหวังดีนะเพคะ”

“หวังดีหรือเป็นห่วงตัวเองกันแน่”

“ฝ่าบาท!”

ฮองเฮามองจินหยางหลงด้วยแววตาตัดพ้อ นางรู้ดีว่าจินหยางหลงรักพระอนุชาคนเดียวมากเพียงใด แต่การกระทำของเว่ยหยางอ๋องในยามนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่เห็นว่าไม่น่าไว้ใจทั้งสิ้น

“ฮองเฮา ข้าเข้าใจว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่ไว้ใจน้องข้า แต่เชื่อข้าเถอะ คนอย่างจินเกาหยางไม่เคยสนใจลาภยศ หากเขาคิดจะทรยศข้า คงทำตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นแม่ทัพแห่งทัพจูเชวี่ยไปแล้ว”

สมัยก่อนจินเกาหยางเคยเป็นแม่ทัพทหารม้าแห่งกองทัพทิศทักษิณของต้าจิน นามทัพจูเชวี่ย แต่เพราะมีขุนนางหลายคนไม่ไว้วางใจในตัวเขา ชายหนุ่มจึงยอมออกจากกองทัพ และมาเป็นเว่ยหยางอ๋องผู้ปกครองเมืองเว่ยหยาง เพื่อความสบายใจของเหล่าขุนนางตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

“เรื่องอำนาจไม่เข้าใครออกใครนะเพคะ” ฮองเฮายังคงไม่ยอมแพ้

จินหยางหลงถอนหายใจ

“ฮองเฮา ยามนี้สิ่งที่เว่ยหยางอ๋องทำ เป็นเพียงแค่การเกี้ยวพานหญิงงาม ไม่ใช่การพยายามช่วงชิงราชบัลลังก์ไปจากข้าหรอก” จินหยางหลงพยายามอธิบายอย่างใจเย็น

“แต่...”

“เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้ายังมีฎีกาต้องตรวจอีกมาก” จินหยางหลงตัดบท

ฮองเฮาเหลือบมองสือกุ้ยเฟยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โต๊ะทรงพระอักษร รู้สึกขายหน้ายิ่งนักที่จินหยางหลงปฏิเสธที่จะเชื่อในคำเตือนของนางต่อหน้าสือกุ้ยเฟย แต่ที่นางรู้สึกเสียหน้ามากที่สุดก็คือ การที่ฮ่องเต้มีรับสั่งให้นางไปพัก แต่กลับเลือกให้สือกุ้ยเฟยอยู่ถวายการรับใช้

ราวกับจินหยางหลงอ่านสายตาของฮองเฮาที่มองไปยังสือกุ้ยเฟยออก จึงมีรับสั่งต่อ

“ข้ารู้ว่าเรื่องในตำหนักในทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เมื่อมีเวลาเจ้าก็ไปพักผ่อนเถิด ทางนี้ให้กุ้ยเฟยอยู่ดูแลข้าแทนเจ้าไปก่อน ตรวจฎีกาเสร็จเมื่อไหร่ ข้าจะไปหา”

“เพคะ” ฮองเฮารับคำอย่างไม่เต็มใจนัก “เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลลา”

ฮองเฮายอบกายถวายคำนับแล้วเดินออกจากห้องหนังสือส่วนพระองค์ โดยไม่ลืมเหลียวกลับมามองสือกุ้ยเฟยอีกครั้ง

“อย่าใส่ใจนางเลย” จินหยางหลงเอ่ยขึ้นเมื่อฮองเฮาจากไปแล้ว “นางก็เป็นเช่นนี้”

“เพคะ” สือกุ้ยเฟยยิ้มรับ

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้หนึ่งเดินเข้ามาคุกเข่าเบื้องพระพักตร์ “หลี่ซิ่งโหว ชงซื่อโหว และโจวปั๋วมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

“มีเรื่องอะไร”

“เห็นว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเว่ยหยางอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

“อีกแล้วเรอะ!” จินหยางหลงวางฎีกาลงบนโต๊ะอย่างไม่พอพระทัย “ขุนนางพวกนี้มีปัญหาอันใดกับน้องข้ากันนัก!”

“ฝ่าบาทพระทัยเย็นก่อนเพคะ อาจไม่ใช่เรื่องที่ทรงคิดก็เป็นได้” สือกุ้ยเฟยพยายามปลอบ

“มาพบข้าด้วยเรื่องเว่ยหยางอ๋อง จะเป็นเรื่องอะไรได้อีก ตั้งแต่เมื่อวานซืนจนถึงวันนี้ ล้วนมาด้วยเหตุผลเดียวกันทั้งสิ้น!”

“เช่นนั้นฝ่าบาทลองอธิบายให้พวกเขาฟัง ดังเช่นที่อธิบายให้ฮองเฮาฟังดีหรือไม่เพคะ”

จินหยางหลงถอนหายใจยาวราวกับพยายามสงบสติอารมณ์

“ได้! ไปตามสามคนนั้นมาพบข้า!”

“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนเดิมรับพระบัญชาแล้วถอยหลังออกไป

ไม่นานนัก ขุนนางทั้งสามที่มาขอเข้าเฝ้าก็พากันเดินเข้ามา จินหยางหลงนิ่งรอฟังว่าจะใช่เรื่องที่พระองค์คาดการณ์ไว้ในพระทัยหรือไม่ และทันทีที่ขุนนางทั้งสามเอ่ยปากพูดเรื่องจินเกาหยางกับฝูซิ่นฮวาออกมา จินหยางหลงก็แทบอยากจะไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเสีย

“เห็นหรือยังล่ะกุ้ยเฟย เจ้าพวกนี้ดีแต่ระแวงน้องข้า ยุแยงให้ข้ากับน้องแตกคอกัน” จินหยางหลงพูดอย่างอ่อนใจ เมื่อหลี่ซิ่งโหว ชงซื่อโหว และโจวปั๋วทูลลากลับไปแล้ว

“ฝ่าบาท หากมองในแง่ดี เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่าทุกคนล้วนเป็นห่วงฝ่าบาทนะเพคะ” สือกุ้ยเฟยพยายามหาเหตุผลให้ฮ่องเต้พระทัยเย็น

“เฮ้อ เจ้าก็เป็นเสียแบบนี้” จินหยางหลงถอนหายใจ “จริงสิ ได้ยินว่าวันนี้เกาหยางมาเข้าเฝ้าเสด็จแม่ ไม่รู้ว่าป่านนี้กลับไปหรือยัง”

“หม่อมฉันจะให้คนไปดูให้เพคะ”

“ไม่ต้อง” ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ “ข้าตั้งใจจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่อยู่แล้ว เราไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน”

จินหยางหลงเดินเข้ามานั่งกับไทเฮาและจินเกาหยาง ส่วนสือกุ้ยเฟยยืนอยู่ข้างพระวรกาย

“เลือกได้หรือยังล่ะ ของที่จะให้ฝูซิ่นฮวาน่ะ”

“ก็ยังน่ะสิ น้องเจ้าเรื่องมากยิ่งนัก ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่เอา” ไทเฮาตอบแทนจินเกาหยางที่ยกมือขึ้นเกาศีรษะเบา ๆ

“จะให้ของที่มีค่ามาก ลูกก็กลัวว่านางจะคิดว่าเราเอาสมบัติไปซื้อใจนาง อยากจะให้ของที่ดูธรรมดา แต่ก็ดูไม่ด้อยค่าจนเกินไป”

“เจ้านี่นะ” จินหยางหลงส่ายหน้า “กุ้ยเฟย เจ้าช่วยเกาหยางเลือกหน่อยสิ”

“เพคะ” สือกุ้ยเฟยรับคำแล้วขยับเข้ามาใกล้โต๊ะวางหีบใส่เครื่องประดับของไทเฮา “ปกติแล้วหมิงยู่โหวชมชอบสวมเครื่องประดับใดบ้างเพคะท่านอ๋อง”

“ข้าเคยเห็นนางใช้แค่ปิ่นปักผมกับต่างหูไข่มุก”

“เช่นนั้นเลือกปิ่นมุกให้นางดีหรือไม่เพคะ”

“ข้าถามแล้ว แต่เจ้าลูกคนนี้กลับอยากได้ปิ่นที่สลักลายดอกเหมย เพราะฝูซิ่นฮวามีชื่อเล่นว่าเหมยเหมย” ไทเฮากล่าว “ของเช่นนั้นมีที่ไหนกัน”

“เช่นนั้นเราก็สั่งทำปิ่นที่ว่าขึ้นมาใหม่ แล้วใช้ไข่มุกที่เป็นของตกทอดประดับเข้ากับปิ่นด้ามนั้นดีหรือไม่เพคะ”

“น่าสนใจ” จินเกาหยางตอบ “ขอบพระทัยกุ้ยเฟยที่ช่วยข้า”

“ด้วยความยินดีเพคะ” สือกุ้ยเฟยยอบกายให้จินเกาหยาง แล้วจึงเดินกลับไปยืนเคียงข้างพระสวามีตามเดิม

“ฝูซิ่นฮวามีทีท่าอย่างไรกับเจ้าบ้าง” จินหยางหลงถาม

“ถ้าให้กระหม่อมตอบ ก็ขอเข้าข้างตัวเองว่านางน่าจะเริ่มมีใจให้กระหม่อมบ้างแล้ว เพียงแต่ยังไม่ยอมรับ”

“มีสตรีที่ไม่ยอมรับว่าชอบเจ้าด้วยหรือ?”

“เหมยเหมยคงเป็นคนแรกพ่ะย่ะค่ะ”

“แต่เจ้าแน่ใจแล้วใช่ไหมว่านางมีใจให้เจ้าแน่”

“กระหม่อมเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น”

“ดี” จินหยางหลงกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นข้าจะเขียนราชโองการให้นางแต่งกับเจ้าเสีย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ