เหมยฮวาบัญชาการ นิยาย บท 31

จินเกาหยางและฝูซิ่นฮวาเสนอให้มีการฟื้นฟูเมืองหลันเจาและเฮยเจาที่ถูกเสวียนชิวเผาทำลายกลางที่ประชุมในท้องพระโรง เหล่าขุนนางแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าหลันเจาและเฮยเจาเป็นเพียงเมืองขึ้น ไม่จำเป็นที่ต้าจินจะต้องให้การช่วยเหลือใด ๆ ในขณะที่ขุนนางอีกฝ่ายมองว่าทั้งหลันเจาและเฮยเจาถูกทัพไป๋หู่ยึดครองมาได้ ก็เท่ากับว่าเมืองทั้งสองเป็นเมืองในปกครองของต้าจิน ประชาชนในเมืองก็ถือเป็นคนต้าจินแล้ว ไยจึงจะไม่ให้ความช่วยเหลือ

“คนเหล่านั้นเป็นคนต้าเจา ตายก็เป็นผีต้าเจา หาใช่ธุระของเราชาวต้าจินที่จะต้องไปดูแล” ขุนนางผู้หนึ่งกล่าวอย่างไร้น้ำใจ

“แล้วจะปล่อยให้เมืองที่ทัพไป๋หู่สู้อุตส่าห์ยึดมาได้เป็นเถ้าถ่านอยู่เช่นนั้นรึ”

“ก็เป็นเพราะความสะเพร่าของทัพไป๋หู่มิใช่หรือ ที่ทำให้สองเมืองนั้นถูกเผาทำลายจนเหลือแต่ซาก!”

“ไยจึงคิดเช่นนั้น! ทัพไป๋หู่กรำศึกอยู่ชายแดนเพื่อปกป้องบ้านเมือง นอกจากจะทำให้ต้าจินไม่ต้องเสียดินแดนใดให้ต้าเจาแล้ว ยังยึดครองเมืองเล็กมาได้ถึงสามเมือง ไม่ว่าจะมีสภาพเช่นไร เมืองเหล่านั้นก็ถือเป็นเมืองของเรา!”

ขุนนางสองฝ่ายโต้เถียงกันไปมา จินหยางหลงได้แต่ถอนใจด้วยความเหนื่อยหน่าย พระทัยของพระองค์โอนเอียงไปทางอนุชา เห็นด้วยกับจินเกาหยางที่ว่าเมืองหลันเจาและเฮยเจาควรได้รับการฟื้นฟูเสียที ส่วนเมืองฮุยเจาก็ต้องการการเยียวยาเพราะถูกตีจนแตกพ่าย อย่างไรเสียทั้งสามเมืองก็ตกเป็นของแผ่นดินต้าจินแล้ว จะนิ่งดูดายปล่อยให้ประชาชนในเมืองเดือดร้อนได้อย่างไร

“ฝ่าบาท การฟื้นฟูเมืองทั้งสาม โดยเฉพาะหลันเจากับเฮยเจาต้องใช้งบประมาณจำนวนมิใช่น้อย เกรงว่าเหตุนี้อาจทำให้ชาวต้าจินต้องตกเป็นฝ่ายเดือดร้อนแทนชาวเมืองทั้งสามก็เป็นได้” ฟางเหยียนไฉ ขุนนางราชสำนักอายุราวสามสิบห้าปีออกความเห็น

“ด้วยพระบารมีของฝ่าบาท ในท้องพระคลังมากล้นด้วยทรัพย์สมบัติ แม้สละทรัพย์สินในพระคลังสักส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือเมืองทั้งสาม เราก็ยังไม่เดือดร้อนพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่ยวน เสนาบดีกรมคลังกล่าวเสียงเรียบ

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” จินหยางหลงกล่าว “หลังเจรจาสงบศึก ทางต้าเจาได้ส่งมอบเครื่องบรรณาการมาให้เรามากมาย แบ่งไปฟื้นฟูเมืองสักหน่อยคงไม่เป็นไรกระมัง”

“แต่...”

“ยามนี้ทั้งหลันเจา เฮยเจา และฮุยเจาต่างก็ตกเป็นดินแดนของเราแล้ว การเยียวยาผู้คนให้เกิดความจงรักภักดีเป็นสิ่งที่ควรกระทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเมืองของพวกเขาถูกทำลายด้วยน้ำมือของทหารต้าเจา ก็ยิ่งต้องแสดงให้ผู้คนเหล่านั้นเห็นถึงน้ำใจของต้าจิน และกลายเป็นคนต้าจินโดยสมบูรณ์”

“ฝ่าบาททรงปรีชายิ่งนัก” ฮุ่ยถิงกง ขุนนางชราผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “การทำให้ประชาชนเกิดความภักดีเป็นเรื่องที่พึงกระทำเป็นอย่างยิ่ง กระหม่อมเห็นด้วยกับการเยียวยาเมืองทั้งสาม ให้พวกเขาได้เห็นว่าวันที่เมืองของตนถูกทำลายนั้น เป็นเพราะฝีมือทหารต้าเจา แต่เมื่อถึงคราวฟื้นฟู กลับได้รับการช่วยเหลือจากคนต้าจิน เช่นนี้แล้ว ต้าจินเราก็จะสามารถกุมหัวใจของชาวเมืองทั้งสามไว้ได้อย่างแท้จริง”

เมื่อได้ยินฮุ่ยถิงกงเอ่ยเช่นนี้ ขุนนางหลายคนที่ไม่เห็นด้วยในคราแรกก็เริ่มโอนเอียงมาอยู่ฝั่งเดียวกับจินเกาหยาง เพราะหากชาวเมืองทั้งสามมีความจงรักภักดีต่อต้าจิน ก็เท่ากับว่าต้าจินได้แผ่อำนาจความยิ่งใหญ่ออกไปได้ไกลยิ่งขึ้น

ในที่สุดที่ประชุมก็มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า จะให้ทหารของทัพไป๋หู่ภายใต้การนำทัพของฝูซิ่นเล่อและฝูซิ่นฮวาเป็นผู้ดำเนินการช่วยเหลือชาวเมืองหลันเจา เฮยเจา และฮุยเจา โดยมีเว่ยหยางอ๋องเป็นผู้สนับสนุน งบประมาณทั้งหลายก็ให้ทำเรื่องเบิกจ่ายที่เสนาบดีฟู่ตามที่เห็นสมควร

ฝูซิ่นฮวายิ้มมุมปากด้วยความพึงพอใจ หากแม้ฟื้นฟูเมืองทั้งสามได้ และทำให้ประชาชนในเมืองเกิดความจงรักภักดีได้สำเร็จ นางจะใช้ทั้งสามเมืองเป็นที่มั่นของทัพไป๋หู่ ยามที่ต้องทำศึกกับต้าเจาอีกครั้ง

หลังประชุมเสร็จ จินเกาหยางและฝูซิ่นฮวาก็เตรียมจะกลับตำหนักอ๋อง หากไม่ใช่เพราะฟางเหยียนไฉผู้เป็นหนึ่งในขุนนางที่คัดค้านการฟื้นฟูเมืองทั้งสามเดินเข้ามาหาฝูซิ่นฮวาเสียก่อน

“ขออภัยที่ต้องถามเช่นนี้ แต่ยามนี้ข้าควรเรียกท่านว่าอะไรดี กุนซือฝู? หมิงยู่โหว? หรือพระชายาฝู?” ฟางเหยียนไฉถาม ในน้ำเสียงมีแววเสียดสีชัดเจน

“จะเรียกข้าว่าอะไรนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสถานที่” ฝูซิ่นฮวายิ้มขณะตอบ “ยามอยู่ในกองทัพ ข้าคือกุนซือฝู ยามอยู่ตำหนักอ๋อง ข้าคือพระชายาฝู และยามอยู่ในท้องพระโรง ข้าคือหมิงยู่โหว ขุนนางราชสำนัก หากแม้ใต้เท้าฟางพอจะพิจารณาได้ ก็คงจะทราบดีว่าควรเรียกข้าว่าอะไร”

จินเกาหยางกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ คำตอบของฝูซิ่นฮวาแทบไม่ต่างจากการตบหน้าฟางเหยียนไฉ ว่าเหตุใดเรื่องแค่นี้จึงคิดเองไม่ได้

ฟางเหยียนไฉสีหน้าบิดเบี้ยวไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา

“เช่นนั้นหมิงยู่โหว” ฟางเหยียนไฉเรียก “ข้าใคร่รู้ว่าหลังจากที่ท่านฟื้นฟูเมืองที่ยึดครองมาได้แล้ว ท่านจะทำเช่นไรต่อไป”

“ดูแลให้ชาวเมืองเกิดความจงรักภักดีต่อแผ่นดินต้าจิน” ฝูซิ่นฮวาตอบ

“แน่ใจหรือว่าจะทำเช่นนั้นได้” ฟางเหยียนไฉยิ้มอย่างดูแคลน “ท่านและสามีเป็นผู้ตีเมืองเหล่านั้นจนแตกพ่าย เป็นเหตุให้องค์รัชทายาทแห่งต้าเจาเผาทำลายเมือง เช่นนี้แล้ว ท่านยังคิดว่าชาวเมืองเหล่านั้นจะมีใจภักดีต่อท่านรึ?”

“ใต้เท้าฟางคิดมากเกินไปแล้ว แม้ทัพไป๋หู่ของข้าจะตีเมืองทั้งสามจนแตกพ่าย แต่เราก็ปฏิบัติต่อประชาชนเป็นอย่างดี ไม่เคยทำร้ายหรือฉุดคร่าผู้ใด เราไปเยี่ยงนักรบ ต่อสู้อย่างนักรบ ไม่เคยกระทำสิ่งใดให้ชาวเมืองเดือดร้อน เรื่องเผาเมืองก็เป็นเรื่องที่รัชทายาทและองค์ชายรองแห่งต้าเจาเป็นผู้กระทำ หาใช่ทัพไป๋หู่ แต่ยามนี้ทัพไป๋หู่กำลังจะยื่นมือเข้าไปช่วย เหตุใดพวกเขาจึงจะไม่เปิดใจให้เล่า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ