ม้าเร็วเร่งนำสารด่วนจากฝูซิ่นฮวาไปถวายฮ่องเต้ ทันทีที่ความทราบถึงพระเนตรพระกรรณว่ามีคนคิดวางยานางและคนในกองทัพด้วยการใส่ยาพิษลงในข้าวสาร จินหยางหลงก็แทบจะลากคอคนที่เขารู้ดีแก่ใจว่าเป็นใครไปฆ่าทิ้งเสีย
จงหุยถูกทหารคุมตัวเข้าวังในทันที บัดนี้ทั้งเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฮองเฮาต่างคุกเข่าอยู่ในห้องทรงพระอักษร ชายชรายืนกรานหนักแน่นว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ส่วนฮองเฮาก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ขอความเป็นธรรมให้บิดา
เดิมทีฝูซิ่นฮวาคิดจะส่งตัวเซ่าจิงกลับมาเมืองหลวง เพื่อให้เขาสารภาพว่าทำตามคำสั่งของจงหุย แต่เมื่อนางลองข่มขู่โดยการบังคับให้เขากินข้าวที่เจือยาพิษ เซ่าจิงก็ยังไม่ยอมเอ่ยถึงผู้เป็นนายแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเขาซื่อสัตย์ต่อนายของตน ยอมตายแต่ไม่ยอมพูด เปล่าประโยชน์ที่จะส่งตัวกลับมา นางจึงใช้กฎของกองทัพในการประหารเซ่าจิงเสียในค่าย โดยการให้กินข้าวที่มียาพิษตามที่นางได้พูดไว้
“ฝ่าบาท กระหม่อมยอมรับว่ายังโกรธแค้นหมิงยู่โหว แต่กระหม่อมรู้ดีว่านางเป็นคนสำคัญของต้าจิน จึงไม่เคยแม้จะคิดฆ่านาง” จงหุยที่คุกเข่าอยู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด
“ฝ่าบาท ท่านพ่อของหม่อมฉันภักดี ไม่เคยคิดเป็นอื่น ไหนเลยจะคิดวางยาหมิงยู่โหวและทหารในทัพไป๋หู่ได้เพคะ” ฮองเฮาเกาะข้อพระบาทฮ่องเต้พลางร้องไห้อ้อนวอน “หมิงยู่โหวมีศัตรูมากมาย อาจจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น”
“ศัตรูมากมาย? ฝูซิ่นฮวาน่ะหรือมีศัตรูมากมาย” จินหยางหลงแค่นหัวเราะ “เท่าที่ข้าเห็น ฝูซิ่นฮวามีศัตรูเพียงสองตระกูล คือตระกูลเสวียนกับตระกูลจงของเจ้า!”
“ฝ่าบาท! กระหม่อมทราบดีว่าหมิงยู่โหวเป็นผู้มีคุณต่อแผ่นดิน แม้โกรธแค้นนางเพียงใดก็ไม่เคยเห็นนางเป็นศัตรู เรื่องในครั้งนี้ กระหม่อมหาได้รู้เห็นแต่อย่างใด ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย” พูดจบจงหุยก็โขกศีรษะลงกับพื้น
จินหยางหลงถอนหายใจอย่างหงุดหงิดพระทัย เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีหลักฐานให้เอาผิดจงหุยได้ อีกทั้งคนร้ายก็ไม่ยอมปริปากเอ่ยถึงผู้เป็นนาย แม้แน่พระทัยเพียงใดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดคือจงหุย แต่ก็ยังไม่สามารถเอาผิดชายชราได้อยู่ดี
ช่างน่าเจ็บใจนัก!
“ได้! ในเมื่อพวกเจ้าบอกว่าไม่ได้ทำ ข้าก็จะเชื่อว่าเรื่องครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้า” จินหยางหลงพูดเสียงเรียบ
“เป็นพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะ” จงหุยโขกศีรษะลงกับพื้น แสร้งทำน้ำเสียงและสีหน้าซาบซึ้ง
“แต่จงจำไว้ พี่น้องสกุลฝูและทัพไป๋หู่คือกำลังหลักที่ทำให้ต้าจินเข้มแข็ง หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหรือแม้แต่พลทหารสักคน ข้าไม่สนว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ แต่ข้าจะลากคอคนที่น่าสงสัยมากที่สุดมาลงโทษให้จงได้ จำไว้!”
“พ่ะย่ะค่ะ” จงหุยกัดฟันรับคำด้วยความเจ็บแค้น
ยามนี้แม้แต่เขาที่เป็นถึงพ่อตาของฮ่องเต้ก็ยังเทียบไม่ได้กับพลทหารแล้วอย่างนั้นหรือ!
“เอาละ พวกเจ้าจะไปไหนก็ไป ข้ามีงานต้องทำ” จินหยางหลงโบกพระหัตถ์ ก่อนก้มลงอ่านฎีกาบนโต๊ะ
“เช่นนั้นกระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” จงหุยถวายบังคมลา ชายสูงวัยหันไปมองหน้าบุตรีแล้วพยักหน้าให้นางเล็กน้อย ก่อนจะออกจากห้องทรงพระอักษร
แม้บิดาจะทูลลากลับไปแล้ว แต่ฮองเฮายังนั่งคุกเข่าอยู่แทบพระบาท ไม่ยอมไปไหน
“เจ้ามีอะไรหรือฮองเฮา” จินหยางหลงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเย็นชา
“หม่อมฉันอยากขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเชื่อใจสกุลจงเพคะ”
“เฮอะ!” จินหยางหลงส่งเสียงในลำคอ “นั่นเพราะข้าไม่มีหลักฐานต่างหาก”
“ฝ่าบาท!” ฮองเฮาร้องออกมาอย่างตกใจ
“เจ้าเองก็อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ไม่เห็นนะฮองเฮา ว่าเจ้าหาเรื่องรังแกสนมคนอื่น ๆ อย่างไรบ้าง”
“หม่อมฉัน…” ฮองเฮาอ้ำอึ้ง ก้มหน้าหลบสายพระเนตรของฮ่องเต้
“ในเมื่อเจ้าเป็นถึงฮองเฮา ก็จงทำตัวให้คู่ควรกับตำแหน่งของตน หาไม่ ข้าจะหาคนอื่นที่คู่ควรมาเป็นฮองเฮาแทนเจ้าให้รู้แล้วรู้รอดไป!”
ทางด้านของฝูซิ่นฮวา นางได้รับแจ้งจากเฉาเทียนที่บัดนี้เป็นผู้ดูแลกองทัพไป๋หู่ที่อยู่ในเมืองหลวงว่า เขาได้สั่งให้ทหารลับลอบสังเกตการณ์และคอยสืบเรื่องในจวนของเสนาบดีจง หากมีใครเข้าออกจวน ไม่ว่าจะเป็นนายหรือบ่าว จะถูกทหารลับแห่งทัพไป๋หู่ตามสะกดรอยทั้งสิ้น ต่อให้เป็นแมลงก็มิอาจรอดพ้นจากสายตาของพวกเขาไปได้ ส่วนเรื่องที่นางกราบทูลฮ่องเต้ไปในจดหมาย พระองค์ก็มีลายพระหัตถ์ตอบมาแล้วเช่นกัน
“ฝ่าบาททรงตักเตือนสกุลจงหนนี้ พวกเขาคงจะยอมอยู่เฉยอีกสักพัก” ฝูซิ่นฮวาพูดขณะวางลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ลงบนโต๊ะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ