เหมยฮวาบัญชาการ นิยาย บท 40

จงหุยกำลังนั่งครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆ อยู่คนเดียวในห้อง ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมา

สามปีก่อน ฮ่องเต้เสด็จประพาสนอกวัง ยามนั้น พระองค์ได้พบกับบุตรีวัยสิบหกปีของบัณฑิตยากจนผู้หนึ่ง นาม ‘สือลี่อิน’ ด้วยความงามที่หญิงสาวชาวบ้านทั่วไปมิอาจเทียบเทียม ทำให้ชายหนุ่มต่างหมายปองสือลี่อิน และพยายามฉุดคร่านางไปจากบิดามารดา จินหยางหลงที่ปลอมเป็นสามัญชนเห็นดังนั้นจึงเข้าช่วยเหลือ และไม่รู้ว่าพระองค์ทรงถูกชะตาหรือต้องพระทัยในความงามของนาง จึงได้รับนางเข้ามาเป็นสนมตำแหน่งกุ้ยเหริน

ฮองเฮาโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก เมื่อเห็นฮ่องเต้พาหญิงชาวบ้านเข้ามาเป็นสนม ทั้งยังถกเถียงกับฮ่องเต้ ถึงขั้นขึ้นเสียงกับพระองค์ว่าสือลี่อินเป็นเพียงหญิงบ้านนอก ได้เป็นเพียงตาอิ้ง ก็นับว่าดีเท่าไหร่แล้ว จากเรื่องไม่เป็นเรื่อง จึงกลายเป็นเรื่องขึ้นมา

ทั้งชีวิตของจินหยางหลงไม่เคยมีใครขึ้นเสียงกับพระองค์มาก่อน ทำให้ทรงกริ้วไม่น้อย แต่พระองค์ก็หาได้โต้ตอบโดยการขึ้นเสียงหรือลงไม้ลงมือกับฮองเฮา แต่กลับเลื่อนขั้นให้สือลี่อิน จากกุ้ยเหรินเป็นพระสนมขั้นผิน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าฮองเฮาฉาดใหญ่ เป็นเหตุให้ฮองเฮาชิงชังสือลี่อินนับจากนั้น

ในระยะเวลาไม่ถึงปี สือลี่อินก็ตั้งครรภ์และได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพระชายาขั้นเฟย ฮองเฮาแค้นเคืองถึงขั้นขัดขาสือเฟยจนนางลื่นล้มตกบันได ตอนที่ทั้งสองบังเอิญพบกันที่หอเจ้าแม่กวนอิม เป็นเหตุให้สือเฟยแท้งบุตรและไม่เคยตั้งครรภ์อีกเลย

พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ ณ ขณะนั้นล้วนเป็นคนของฮองเฮา ทั้งหมดพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสือเฟยลื่นล้มตกบันไดเอง ทำให้ไม่มีใครสามารถเอาผิดฮองเฮาได้ แต่ฮ่องเต้ทรงทราบดีแก่พระทัยว่าฮองเฮาเป็นคนเช่นไร และสือเฟยเป็นคนเช่นไร พระองค์ทรงเชื่อคำพูดของสือเฟยที่ว่าฮองเฮาเป็นผู้ขัดขานาง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับฮองเฮาเกิดรอยร้าวจนยากจะประสาน

มาวันนี้ สือเฟยได้เลื่อนขั้นเป็นสือกุ้ยเฟย ทั้งยังเป็นผู้ที่ฮ่องเต้โปรดมากที่สุด ถึงขั้นมีคนกล่าวกันว่า สาเหตุที่ฮ่องเต้ไม่ยอมมีโอรสกับฮองเฮาหรือสนมคนอื่น ก็เพราะพระองค์ต้องการโอรสที่เกิดจากสือกุ้ยเฟยคนเดียวเท่านั้น

คิดมาถึงตรงนี้ จงหุยก็ปัดถ้วยชาตกแตกด้วยความโมโห เพราะมีโอรสกับสือกุ้ยเฟยไม่ได้ จึงไม่ยอมมีโอรสกับบุตรีของเขาเช่นนั้นหรือ

“ในเมื่อไม่ปรารถนาจะมีโอรสกับลูกสาวข้า เช่นนั้นก็จงไม่มี... ตลอดกาล!”

จินหยางหลงวางฎีกาฉบับสุดท้ายที่เพิ่งตรวจเสร็จลงบนโต๊ะ พลางเอนหลังพิงเก้าอี้ ระยะหลังมานี้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ไหนจะสงครามที่เพิ่งจบไป การฟื้นฟูเมืองที่ยึดครองมาได้ การเยียวยาประชาชน แล้วยังมีเรื่องในวังหลังให้ปวดหัวอีกไม่รู้เท่าไหร่ สงสารก็แต่สือกุ้ยเฟยที่ไม่เคยทำอะไรใคร แต่เป็นผู้ถูกกระทำมาโดยตลอดนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในวังหลวง กระทั่งบัดนี้ก็ยังมีผู้ที่คิดไม่ดีกับนาง กล่าวหาว่าเป็นเพราะนางไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ฮ่องเต้จึงไม่ยอมมีโอรสกับสนมคนอื่น ทั้งที่ความจริงแล้ว เป็นพระองค์เองที่ไม่ปรารถนาจะมีโอรส เพื่อให้เว่ยหยางอ๋องขึ้นเป็นฮ่องเต้ต่อจากพระองค์ได้อย่างไร้ข้อกังขา และเพื่อไม่ให้ผู้ใดฉวยโอกาสขึ้นมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินผ่านเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์ได้

“ฝ่าบาท หม่อมฉันให้ห้องเครื่องตุ๋นโจ๊กรังนกกับโสมบำรุงพระวรกายมาถวาย เสวยสักหน่อยนะเพคะ” สือกุ้ยเฟยถือถาดใส่โจ๊กรังนกเข้ามาในห้องทรงพระอักษรด้วยตัวเอง

จินหยางหลงเห็นนางเดินเข้ามาก็ยิ้มรับพลางครุ่นคิด ปีนี้สือกุ้ยเฟยเพิ่งอายุได้สิบเก้าปี นับว่ายังไม่มาก หากวันหน้าพระองค์เป็นอะไรไป ก็หวังเพียงมีคนมาช่วยดูแลนาง ไม่ให้นางต้องลำบากเช่นที่อยู่ในวังหลวงอย่างทุกวันนี้

“ลี่อิน” จินหยางหลงเรียก สือกุ้ยเฟยชะงักไปเล็กน้อย เพราะไม่เคยได้ยินฮ่องเต้เรียกนามเดิมของตนมาเนิ่นนานแล้ว

“เพคะ” สือกุ้ยเฟยขานรับ ขณะวางถาดใส่โจ๊กรังนกลงบนโต๊ะ

“มาหาข้าตรงนี้สิ”

ไม่รอให้ฮ่องเต้ต้องเรียกซ้ำ สือกุ้ยเฟยเดินจากโต๊ะที่เพิ่งวางถาดใส่โจ๊กรังนกไปยังโต๊ะทรงพระอักษร พระสวามีสอดพระหัตถ์กอดเอวบางไว้หลวม ๆ ขณะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหวานที่ใครต่อใครต่างกล่าวขานกันว่างดงามเกินสตรีใดในแผ่นดินต้าจิน

“ข้าเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วสำหรับเกาหยาง เหลือเพียงเจ้าเท่านั้นที่ข้ายังเป็นกังวล”

“เรื่องของหม่อมฉันหามีสิ่งใดให้ต้องกังวลเพคะ” สือกุ้ยเฟยยิ้ม “เท่าที่ได้ถวายการรับใช้ฝ่าบาท ก็นับเป็นวาสนาของหม่อมฉันแล้ว อย่าให้เรื่องของหม่อมฉันต้องทำให้กังวลพระทัยอีกเลย”

“เป็นเพราะข้าที่ทำให้เจ้าต้องถูกกลั่นแกล้ง แม้แต่ชีวิตลูกของเจ้า ข้าก็มิอาจรักษาเอาไว้ได้ ให้ข้าได้ชดเชยให้เจ้าบ้างเถิด”

สือกุ้ยเฟยยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าทั้งน้ำตา

“เท่าที่ฝ่าบาทเมตตาทุกวันนี้ ก็เป็นพระกรุณามากแล้วเพคะ หากไม่มีฝ่าบาท ก็ไม่รู้ว่าป่านนี้หม่อมฉันจะมีชะตาชีวิตเช่นไร ดีไม่ดี อาจถูกจับไปขายที่หอนางโลมแล้วก็ได้”

สือกุ้ยเฟยคุกเข่าลงพลางกอดพระวรกายของฮ่องเต้เอาไว้ “หม่อมฉันเพียงแค่อยากติดตามไปถวายการรับใช้ในทุกที่ที่ฝ่าบาทเสด็จไป นับตั้งแต่สิ้นท่านพ่อท่านแม่ ชีวิตหม่อมฉันก็ไม่เหลือใครนอกจากฝ่าบาท หม่อมฉันไม่อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยว”

“ลี่อิน เจ้ายังสาว รูปโฉมก็งามล้ำ ยังมีบุรุษอีกมากที่พร้อมจะดูแลเจ้า อย่าได้จมปรักอยู่กับข้าเลย” แม้จะรับสั่งเช่นนั้น แต่พระทัยของจินหยางหลงเจ็บปวดนัก เมื่อคิดว่าสือกุ้ยเฟยต้องตกเป็นของผู้อื่น

“ต่อให้ต้องทรมานจนตาย หม่อมฉันก็ไม่มีวันเป็นของผู้อื่น ชีวิตนี้หม่อมฉันถวายแด่พระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น”

“เด็กโง่” จินหยางหลงพูด ก่อนจะดึงร่างเล็กให้ลุกขึ้นแล้วกอดนางไว้แนบอก

“ฝ่าบาท อย่ารับสั่งให้หม่อมฉันไปเป็นของผู้ใดอีกเลยเพคะ เพียงเท่านี้ หม่อมฉันก็เจ็บปวดเหลือเกินแล้ว” สือกุ้ยเฟยกอดฮ่องเต้ไว้แน่น น้ำตายังคงไหลไม่ขาดสาย เจ็บปวดหัวใจยิ่งนักเมื่อคิดว่าพระสวามีจะยกนางให้เป็นของผู้อื่น

จินหยางหลงถอนหายใจเบา ๆ พลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ดูเหมือนพระองค์จะดูถูกหัวใจของสตรีที่มีใจรักมั่นอย่างไม่น่าอภัย ที่ผ่านมา นางต้องเจ็บปวดเพราะพระองคมากมายสารพัด แล้วครั้งนี้ยังจะทำร้ายจิตใจนางเช่นนี้อีก

“หากเจ้าไม่อยากแต่งงานใหม่ก็ไม่ต้องแต่ง” จินหยางหลงกล่าวออกมาในที่สุด “ข้าจะให้สมบัติเจ้าเลี้ยงชีพไปตลอดชีวิต จะหาองครักษ์ที่ซื่อสัตย์และภักดีคอยดูแลปรนนิบัติเจ้า ไม่ให้เจ้าต้องลำบากแม้แต่น้อย”

สือกุ้ยเฟยไม่เอ่ยตอบสิ่งใด ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลอยู่เงียบ ๆ

การที่ต้องฟังพระสวามีวางแผนหลังการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ นับว่าทรมานจิตใจนางมากมายเหลือเกินแล้ว สือกุ้ยเฟยได้แต่หวังว่าสวรรค์จะเมตตา แม้จินหยางหลงจะป่วยหนักจนมิอาจครองบัลลังก์ต่อไปได้ แต่ก็ขอให้พระองค์มีพระชนม์ชีพที่สงบสุขต่อไปอีกสักหน่อย ให้สมกับที่ทรงงานเพื่อบ้านเมืองตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด นางก็ขอเป็นผู้ถวายการดูแลพระองค์ด้วยตนเอง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ