จงหุยกำลังนั่งครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆ อยู่คนเดียวในห้อง ท่ามกลางสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมา
สามปีก่อน ฮ่องเต้เสด็จประพาสนอกวัง ยามนั้น พระองค์ได้พบกับบุตรีวัยสิบหกปีของบัณฑิตยากจนผู้หนึ่ง นาม ‘สือลี่อิน’ ด้วยความงามที่หญิงสาวชาวบ้านทั่วไปมิอาจเทียบเทียม ทำให้ชายหนุ่มต่างหมายปองสือลี่อิน และพยายามฉุดคร่านางไปจากบิดามารดา จินหยางหลงที่ปลอมเป็นสามัญชนเห็นดังนั้นจึงเข้าช่วยเหลือ และไม่รู้ว่าพระองค์ทรงถูกชะตาหรือต้องพระทัยในความงามของนาง จึงได้รับนางเข้ามาเป็นสนมตำแหน่งกุ้ยเหริน
ฮองเฮาโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก เมื่อเห็นฮ่องเต้พาหญิงชาวบ้านเข้ามาเป็นสนม ทั้งยังถกเถียงกับฮ่องเต้ ถึงขั้นขึ้นเสียงกับพระองค์ว่าสือลี่อินเป็นเพียงหญิงบ้านนอก ได้เป็นเพียงตาอิ้ง ก็นับว่าดีเท่าไหร่แล้ว จากเรื่องไม่เป็นเรื่อง จึงกลายเป็นเรื่องขึ้นมา
ทั้งชีวิตของจินหยางหลงไม่เคยมีใครขึ้นเสียงกับพระองค์มาก่อน ทำให้ทรงกริ้วไม่น้อย แต่พระองค์ก็หาได้โต้ตอบโดยการขึ้นเสียงหรือลงไม้ลงมือกับฮองเฮา แต่กลับเลื่อนขั้นให้สือลี่อิน จากกุ้ยเหรินเป็นพระสนมขั้นผิน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าฮองเฮาฉาดใหญ่ เป็นเหตุให้ฮองเฮาชิงชังสือลี่อินนับจากนั้น
ในระยะเวลาไม่ถึงปี สือลี่อินก็ตั้งครรภ์และได้เลื่อนตำแหน่งเป็นพระชายาขั้นเฟย ฮองเฮาแค้นเคืองถึงขั้นขัดขาสือเฟยจนนางลื่นล้มตกบันได ตอนที่ทั้งสองบังเอิญพบกันที่หอเจ้าแม่กวนอิม เป็นเหตุให้สือเฟยแท้งบุตรและไม่เคยตั้งครรภ์อีกเลย
พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ ณ ขณะนั้นล้วนเป็นคนของฮองเฮา ทั้งหมดพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสือเฟยลื่นล้มตกบันไดเอง ทำให้ไม่มีใครสามารถเอาผิดฮองเฮาได้ แต่ฮ่องเต้ทรงทราบดีแก่พระทัยว่าฮองเฮาเป็นคนเช่นไร และสือเฟยเป็นคนเช่นไร พระองค์ทรงเชื่อคำพูดของสือเฟยที่ว่าฮองเฮาเป็นผู้ขัดขานาง ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับฮองเฮาเกิดรอยร้าวจนยากจะประสาน
มาวันนี้ สือเฟยได้เลื่อนขั้นเป็นสือกุ้ยเฟย ทั้งยังเป็นผู้ที่ฮ่องเต้โปรดมากที่สุด ถึงขั้นมีคนกล่าวกันว่า สาเหตุที่ฮ่องเต้ไม่ยอมมีโอรสกับฮองเฮาหรือสนมคนอื่น ก็เพราะพระองค์ต้องการโอรสที่เกิดจากสือกุ้ยเฟยคนเดียวเท่านั้น
คิดมาถึงตรงนี้ จงหุยก็ปัดถ้วยชาตกแตกด้วยความโมโห เพราะมีโอรสกับสือกุ้ยเฟยไม่ได้ จึงไม่ยอมมีโอรสกับบุตรีของเขาเช่นนั้นหรือ
“ในเมื่อไม่ปรารถนาจะมีโอรสกับลูกสาวข้า เช่นนั้นก็จงไม่มี... ตลอดกาล!”
จินหยางหลงวางฎีกาฉบับสุดท้ายที่เพิ่งตรวจเสร็จลงบนโต๊ะ พลางเอนหลังพิงเก้าอี้ ระยะหลังมานี้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ไหนจะสงครามที่เพิ่งจบไป การฟื้นฟูเมืองที่ยึดครองมาได้ การเยียวยาประชาชน แล้วยังมีเรื่องในวังหลังให้ปวดหัวอีกไม่รู้เท่าไหร่ สงสารก็แต่สือกุ้ยเฟยที่ไม่เคยทำอะไรใคร แต่เป็นผู้ถูกกระทำมาโดยตลอดนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในวังหลวง กระทั่งบัดนี้ก็ยังมีผู้ที่คิดไม่ดีกับนาง กล่าวหาว่าเป็นเพราะนางไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ฮ่องเต้จึงไม่ยอมมีโอรสกับสนมคนอื่น ทั้งที่ความจริงแล้ว เป็นพระองค์เองที่ไม่ปรารถนาจะมีโอรส เพื่อให้เว่ยหยางอ๋องขึ้นเป็นฮ่องเต้ต่อจากพระองค์ได้อย่างไร้ข้อกังขา และเพื่อไม่ให้ผู้ใดฉวยโอกาสขึ้นมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินผ่านเลือดเนื้อเชื้อไขของพระองค์ได้
“ฝ่าบาท หม่อมฉันให้ห้องเครื่องตุ๋นโจ๊กรังนกกับโสมบำรุงพระวรกายมาถวาย เสวยสักหน่อยนะเพคะ” สือกุ้ยเฟยถือถาดใส่โจ๊กรังนกเข้ามาในห้องทรงพระอักษรด้วยตัวเอง
จินหยางหลงเห็นนางเดินเข้ามาก็ยิ้มรับพลางครุ่นคิด ปีนี้สือกุ้ยเฟยเพิ่งอายุได้สิบเก้าปี นับว่ายังไม่มาก หากวันหน้าพระองค์เป็นอะไรไป ก็หวังเพียงมีคนมาช่วยดูแลนาง ไม่ให้นางต้องลำบากเช่นที่อยู่ในวังหลวงอย่างทุกวันนี้
“ลี่อิน” จินหยางหลงเรียก สือกุ้ยเฟยชะงักไปเล็กน้อย เพราะไม่เคยได้ยินฮ่องเต้เรียกนามเดิมของตนมาเนิ่นนานแล้ว
“เพคะ” สือกุ้ยเฟยขานรับ ขณะวางถาดใส่โจ๊กรังนกลงบนโต๊ะ
“มาหาข้าตรงนี้สิ”
ไม่รอให้ฮ่องเต้ต้องเรียกซ้ำ สือกุ้ยเฟยเดินจากโต๊ะที่เพิ่งวางถาดใส่โจ๊กรังนกไปยังโต๊ะทรงพระอักษร พระสวามีสอดพระหัตถ์กอดเอวบางไว้หลวม ๆ ขณะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหวานที่ใครต่อใครต่างกล่าวขานกันว่างดงามเกินสตรีใดในแผ่นดินต้าจิน
“ข้าเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วสำหรับเกาหยาง เหลือเพียงเจ้าเท่านั้นที่ข้ายังเป็นกังวล”
“เรื่องของหม่อมฉันหามีสิ่งใดให้ต้องกังวลเพคะ” สือกุ้ยเฟยยิ้ม “เท่าที่ได้ถวายการรับใช้ฝ่าบาท ก็นับเป็นวาสนาของหม่อมฉันแล้ว อย่าให้เรื่องของหม่อมฉันต้องทำให้กังวลพระทัยอีกเลย”
“เป็นเพราะข้าที่ทำให้เจ้าต้องถูกกลั่นแกล้ง แม้แต่ชีวิตลูกของเจ้า ข้าก็มิอาจรักษาเอาไว้ได้ ให้ข้าได้ชดเชยให้เจ้าบ้างเถิด”
สือกุ้ยเฟยยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าทั้งน้ำตา
“เท่าที่ฝ่าบาทเมตตาทุกวันนี้ ก็เป็นพระกรุณามากแล้วเพคะ หากไม่มีฝ่าบาท ก็ไม่รู้ว่าป่านนี้หม่อมฉันจะมีชะตาชีวิตเช่นไร ดีไม่ดี อาจถูกจับไปขายที่หอนางโลมแล้วก็ได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ