เสวียนชิวและเสวียนชิงสองพี่น้องมาหารือร่วมกันในห้องหนังสือ เสวียนชิงนั้นมีลักษณะหลายประการที่คล้ายฝูซิ่นฮวา หนึ่งคือมีความอ่อนแอทางร่างกาย สองคือความใฝ่รู้ ทั้งยังสนใจศึกษาด้านยุทธศาสตร์การรบเพื่อเป็นกำลังหลักให้ผู้เป็นพี่ แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วองค์ชายรองจะประชวรบ่อยจนแทบช่วยเหลืออะไรเสวียนชิวไม่ได้เลยก็ตาม
“แม้เสด็จพ่อจะไม่พอพระทัยเรื่องที่เราเผาหลันเจาและเฮยเจา แต่ข้าไม่เคยคิดโทษเจ้าในเรื่องนั้น” เสวียนชิวเอ่ย “การเผาเมืองทั้งสองเป็นสิ่งที่แม้แต่ฝูซิ่นฮวาเองก็คิดไม่ถึง และเกือบทำให้เราได้ชัยชนะมาแล้วจริง ๆ ผิดที่ข้าเองไม่รอบคอบ ต้องกลศึกของจินเกาหยางกับฝูซิ่นฮวาเข้าจนได้”
“ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่ไม่ถือโทษข้า” เสวียนชิงกล่าว
“แต่ยามนี้เราเสียทั้งเมืองและความจงรักภักดีของผู้คนไปแล้ว หากจะชิงเมืองกลับมาก็ต้องหาทางให้ชาวเมืองกลับมาภักดีต่อเราด้วย”
“ได้ยินท่านพูดในท้องพระโรงว่าท่านจะส่งไฟกลับลงในมือของฝูซิ่นฮวา แล้วเยียวยาชาวเมืองด้วยมือของท่าน คำพูดเปรียบเปรยนี้หมายความว่าอย่างไร”
“เราต้องหาทางพลิกสถานการณ์ให้ชาวเมืองทั้งหลายเห็นฝูซิ่นฮวาเป็นศัตรู และเราคือผู้ที่เข้ามาช่วยเหลือ”
“เรื่องนี้ไม่ง่าย” เสวียนชิงกอดอกครุ่นคิด “การที่ฝูซิ่นฮวาช่วยเหลือชาวเมืองทั้งหลาย พวกเขาย่อมมีความปลาบปลื้มและซาบซึ้งใจในตัวนาง การจะเปลี่ยนความคิดของพวกเขาให้เชื่อว่าฝูซิ่นฮวาเป็นคนร้ายนั้นไม่ง่ายเลย”
“ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้” เสวียนชิวตอบ “ความคิดคนเราน่ะเปลี่ยนง่ายนิดเดียว ต่อให้เจ้าทำดีต่อผู้อื่นมาสิบหน หากหนที่สิบเอ็ดเจ้าทำไม่ดีกับพวกเขา พวกเขาก็จะเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเจ้าไปในบัดดล”
เสวียนชิงเริ่มเห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นพี่
“เช่นนั้นเราก็มาวางแผนกันเถิดว่าจะทำเช่นไรให้ประชาชนเห็นฝูซิ่นฮวาเป็นศัตรูได้”
รอยยิ้มร้ายกาจดุจจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากของสองพี่น้อง ขณะช่วยกันคิดหาหนทางสารพัดวิธีที่จะพลิกสถานการณ์ในเมืองหลันเจาให้ได้
หลันเจาต้องกลับมาเป็นของพวกเขาอีกครั้ง
หลังจากที่จินเกาหยางกลับไปเมืองเว่ยหยาง ฝูซิ่นฮวากับน้องชายก็ประชุมกับทุกฝ่ายเรื่องการวางแนวป้องกันและสร้างฐานที่มั่นขึ้นที่หลันเจาขึ้น
“หลังซ่อมแซมกำแพงเมืองเรียบร้อยแล้ว ข้าเห็นว่าควรขุดคูคลองไว้รอบนอกกำแพงเมือง ไม่แน่ว่าอาจใช้ป้องกันข้าศึกศัตรูได้” ฝูซิ่นฮวาออกความเห็น
“ข้าเห็นด้วยกับท่านพี่ อย่างน้อยก็ทำให้ฝ่ายศัตรูเข้าถึงกำแพงเมืองได้ยากยิ่งขึ้น” ฝูซิ่นเล่อพยักหน้า
“สะพานที่ใช้ข้ามเข้าออกและประตูเมืองก็ไม่ต้องกว้างมากนัก หากข้าศึกบุกมาจริง ต่อให้ยกทัพมายิ่งใหญ่เพียงใด ก็เข้าเมืองได้ครั้งละไม่กี่คน”
ฝูซิ่นเล่อนึกภาพตามที่พี่สาวของเขาพูดแล้วอดขำไม่ได้ ต่อให้ต้าเจายกพลมานับแสน แต่เข้าเมืองมาได้เพียงครั้งละไม่กี่คน เมื่อต้องมาเจอกับกองทัพใหญ่ที่รออยู่ในเมืองแล้ว ทัพต้าเจาจะมีสภาพเช่นไร
“หากเรารวมหลันเจากับเฮยเจาเป็นหนึ่งเดียวกันได้สำเร็จ ก็จะสามารถสร้างค่ายทหารสำหรับทหารสองแสนนายได้ อย่างไรเสียอยู่หลังกำแพงเมืองก็ย่อมปลอดภัยกว่าการออกไปตั้งค่ายนอกเมือง”
“ท่านพี่อย่าได้ห่วง ข้าได้สั่งการให้รวมเมืองทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวแล้ว อีกไม่นานทั้งหลันเจาและเฮยเจาก็จะกลายอันหนึ่งอันเดียวกัน” ฝูซิ่นเล่อตอบ
“ดี” ฝูซิ่นฮวาพยักหน้า “อย่าลืมเรื่องการป้องกันเมืองตลอดแนวกำแพงตั้งแต่หลันเจาไปถึงเฮยเจา ต้องมีทหารรักษาการณ์ตลอดเวลา เพราะการฟื้นฟูเมืองครั้งนี้ เราใช้งบประมาณไปมาก จะปล่อยให้พวกต้าเจากลับมาเผาเมืองซ้ำเป็นครั้งที่สองไม่ได้ จะให้พวกนั้นมายึดคืนไปก็ไม่ได้ ส่วนที่ฮุยเจาแม้ไม่ได้รับความเสียหายมาก แต่ก็ต้องป้องกันให้ดี ทั้งยังต้องทำให้ผู้คนในเมืองภักดีต่อเรา ดังเช่นในหลันเจาและเฮยเจา”
“ขอรับ”
“เจ้ามีแผนการอะไรในใจเกี่ยวกับฮุยเจาบ้างหรือยังน้องข้า”
ฝูซิ่นเล่อยิ้มรับ แม้พี่สาวของเขาจะได้ชื่อว่าเป็นผู้วางกลศึกและแผนการรบ แต่นางก็ไม่ได้บงการเขาไปเสียทุกเรื่อง นางยังคงรับฟังความคิดเห็นและให้สิทธิ์ในการตัดสินใจแก่เขาในฐานะแม่ทัพเสมอ
“ข้าคิดว่าจะส่งทหารสามพันนายไปประจำที่ฮุยเจา วางแนวป้องกัน ทำกับดักในส่วนที่เป็นพื้นดิน ส่วนในพื้นที่ที่เป็นดินโคลนมีสนามเพลาะเดิมอยู่แล้ว น่าจะใช้ป้องกันหน้าประตูเมืองได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ