เป็นค่ำคืนที่ฝนตกกระหน่ำราวฟ้ารั่ว เสียงฟ้าร้องดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ
บุรุษเรือนร่างสูงใหญ่กระโดดลงจากหลังม้า เนื้อตัวเปียกปอนตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ทหารยามถือหอกปลายแหลมชี้มาหาเขาอย่างข่มขวัญ แต่กลับไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้แม้แต่น้อย
“ถอยไป เจ้าไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างเข้ามาในที่แห่งนี้!” ทหารยามตวาด ในขณะที่ทหารอีกหลายคนวิ่งมาล้อมบุรุษใต้ผ้าคลุมสีดำ
“พวกเจ้านั่นแหละที่ต้องถอยไป!” น้ำเสียงขู่กรรโชกดังขึ้น “ข้ามิได้ขี่ม้าฝ่าพายุมาเพื่อเสียเวลากับพวกเจ้า!”
พูดจบชายหนุ่มก็ชูราชลัญจกรขององค์ฮ่องเต้ขึ้น เหล่าพลทหารต่างหน้าซีดเผือด รีบไปตามหัวหน้าองครักษ์มาตรวจราชลัญจกร เมื่อพบว่าเป็นของจริงจึงพากันหลีกทางให้
เบื้องหลังทหารยามคือกำแพงพระราชวังสูงใหญ่แห่งต้าเจา ‘จงหยวน’ บุตรชายคนโตของจงหุยเดินเข้าประตูวังมาอย่างองอาจ หัวหน้าองครักษ์ให้พลทหารนำร่มน้ำมันออกมารับเขาแล้วพาไปยังสถานรับรองเพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นจึงส่งคนไปกราบทูลฮ่องเต้และองค์รัชทายาทว่ามีบุรุษที่มีราชลัญจกรนามจงหยวนมาขอเข้าเฝ้า
หลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็มีทหารมาเชิญจงหยวนให้ไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ รัชทายาท และองค์ชายรองที่กำลังรออยู่
“ถวายบังคมฝ่าบาท” จงหยวนคุกเข่าถวายคำนับ
“ลุกขึ้น”
“เป็นพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะ” จงหยวนลุกขึ้นยืน
“บิดาเจ้าส่งเจ้ามาคราวนี้มีข่าวใหญ่หรือเรื่องอันใดกัน” องค์ฮ่องเต้ถาม
“บัดนี้ทหารลับห้าพันนายที่กระหม่อมเฝ้าฝึกปรือ พร้อมที่จะสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์รัชทายาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จงหยวนกราบทูล
ทหารลับทั้งห้าพันนายที่ถูกกล่าวถึง ส่วนหนึ่งเป็นคนของจงหุย และอีกส่วนเป็นคนของต้าเจาที่เสวียนชิวประทานให้สำหรับเป็นกองกำลังให้จงหุยและจงหยวนใช้ในการก่อกบฏ
“ดี” ฮ่องเต้ยิ้มอย่างพอพระทัย “แล้วพ่อเจ้ามีข่าวอื่นใดอีกหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท หลังจากการฟื้นฟูหลันเจา เฮยเจา และฮุยเจา ดูเหมือนว่าฮ่องเต้จะให้เว่ยหยางอ๋องเข้ามามีบทบาทในราชสำนักมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะต้องการทัพไป๋หู่ที่อยู่ภายใต้การบัญชาการของฝูซิ่นเล่อและฝูซิ่นฮวาไว้เป็นฐานกำลัง ทำให้มีขุนนางบางส่วนเริ่มเป็นกังวลว่าเว่ยหยางอ๋องอาจจะก่อกบฏ ยึดอำนาจจากองค์ฮ่องเต้ด้วยกองทัพทหารม้าสามสองนายที่มีอยู่ในมือพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วจินหยางหลงว่าอย่างไรบ้าง”
“ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัยในตัวพระอนุชายิ่งนัก หากมีขุนนางคนใดไปทูลเตือนเรื่องเว่ยหยางอ๋องเป็นอันต้องถูกกริ้วทุกรายไป”
ฮ่องเต้ต้าเจาลูบเคราพลางครุ่นคิด เสวียนชิวจึงทูลถามความเห็นจากพระบิดา
“เสด็จพ่อคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ที่จินเกาหยางจะคิดหักหลังจินหยางหลง”
“ข้าไม่รู้ว่าจินเกาหยางเป็นคนเช่นไร แต่หากจะว่ากันตามตรง ก็มีโอกาสที่จะเป็นไปได้”
“เช่นนั้นเราควรทำเช่นไรกับสถานการณ์นี้ดีพ่ะย่ะค่ะ”
“หากยุแยงให้จินหยางหลงหวาดระแวงน้องชายจนถึงขั้นฆ่าแกงได้ก็จะเป็นการดี เพราะการกระทำนั้นย่อมทำให้สกุลฝูไม่พอใจ จนจินหยางหลงอาจต้องเสียทัพไป๋หู่ไป แต่ในเมื่อทำไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีกลับกัน”
“อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“เมื่อเหล่าขุนนางไม่ไว้ใจจินเกาหยางอยู่แล้ว ก็จงปลุกปั่นให้เกิดความไม่ไว้วางใจมากยิ่งขึ้น คนเราเมื่อหมดสิ้นความอดทน อาจจะลุกขึ้นมาทำบางสิ่งที่ตนไม่เคยคิดจะทำก็ได้”
“เสด็จพ่อหมายความว่า หากจินเกาหยางถูกเหล่าขุนนางกดดันมาก ๆ เขาก็อาจจะลุกขึ้นมาก่อกบฏก็ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” เสวียนชิงเป็นฝ่ายถามบ้าง
“เรื่องอำนาจไม่เข้าใครออกใคร ไม่ว่าใครก็ปรารถนาที่จะครอบครองอำนาจกันทั้งนั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ