จินเกาหยางและฝูซิ่นฮวาถูกสาวใช้เข้ามาปลุกในยามอิ๋น เนื่องด้วยไทเฮาทรงมีลายพระหัตถ์มาแจ้งพระอาการประชวรของฮ่องเต้ และเรียกตัวพวกเขาเข้าวังอย่างเร่งด่วน
ณ ตำหนักบูรพาที่จินหยางหลงประทับมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นรัชทายาท จนถึงทุกวันนี้ที่เป็นฮ่องเต้แล้วก็ยังไม่ยอมย้ายไปไหน ทั้งไทเฮา สือกุ้ยเฟย จิ้งกงกงผู้เป็นคนสนิทของฮ่องเต้ และหมอหลวงอีกสามคนที่รู้ความลับเรื่องพระอาการประชวรกำลังตรวจชีพจรของจินหยางหลง จากนั้นจึงหันมาปรึกษากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ถวายพระพรเสด็จแม่” จินเกาหยางและฝูซิ่นฮวาถวายคำนับ
“มาเถอะ ยามนี้ไม่ต้องมากพิธีหรอก”
จินเกาหยางรีบลุกไปประคองไทเฮา ในขณะที่ฝูซิ่นฮวาลุกไปยืนข้างสือกุ้ยเฟย ในใจนางหวาดหวั่นต่อพระอาการของฮ่องเต้ไม่ต่างจากคนอื่น
“ว่าอย่างไรบ้าง” ไทเฮารับสั่งถามทันทีที่หมอหลวงเดินออกมาจากแท่นบรรทม
“ทูลไทเฮา ยามนี้ฝ่าบาทพระอาการไม่คงที่ เกรงว่าหากยังฝืนทรงงานหนักเช่นนี้ อาจไม่เป็นผลดีต่อพระวรกาย” หมอหลวงกราบทูล
“เฮ้อ” ไทเฮาถอนหายใจก่อนจะหันมาทางจินเกาหยาง “เจ้าเข้าไปพูดคุยกับพี่เจ้าเสียหน่อย ยามนี้เห็นทีจะมีแต่เจ้าที่พอจะพูดคุยเรื่องการบ้านการเมืองได้”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
จินเกาหยางเดินเข้าไปถวายคำนับจินหยางหลง ก่อนจะลงนั่งที่ข้างแท่นบรรทม
“เสด็จพี่ หมอหลวงบอกว่าการทรงงานหนักในยามนี้ไม่ส่งผลดีต่อพระวรกาย หากมีสิ่งใดให้กระหม่อมช่วยก็รับสั่งมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไม่ต้องไปฟังพวกหมอหลวงมากนัก ข้าหาได้เป็นอะไร” จินหยางหลงตอบทั้งที่ยังไม่ลืมพระเนตร
“ทรงประชวรมากน้อยเพียงใดก็แจ้งแก่พระทัย” คำพูดยอกย้อนเช่นนี้ นอกจากไทเฮาแล้วก็มีเพียงจินเกาหยางเท่านั้นที่กล้า หากไม่เพียงไม่ทำให้ฮ่องเต้กริ้ว แต่กลับทำให้พระองค์สรวลออกมาเสียอย่างนั้น
“ก็เพราะรู้อยู่แก่ใจจึงต้องรีบทำงานให้ไว จะได้ตายอย่างหมดห่วง”
“ฮ่องเต้!” ไทเฮาเรียกเสียงดุ “จะพูดจะจาอะไรก็นึกถึงใจแม่ นึกถึงใจกุ้ยเฟยของเจ้าบ้าง”
จินหยางหลงลืมพระเนตรขึ้น ก่อนจะหันมาหาไทเฮา “ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่”
ไทเฮาถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ยามนี้มีอะไรให้เกาหยางทำได้ ก็จงให้น้องเจ้าทำไปก่อน ส่วนเจ้าก็พักผ่อนให้มาก บ้านเมืองของเจ้าไม่หนีไปไหนหรอก”
“…”
“ยังจะเงียบอีก เด็กคนนี้!”
“เสด็จแม่อย่าได้กริ้ว” จินหยางหลงยิ้มให้ไทเฮา “ลูกเพียงแต่กำลังคิดว่าจะให้เกาหยางทำสิ่งใดดี”
“ให้เกาหยางออกว่าราชการแทนเจ้าได้หรือไม่”
“ช่วงนี้เจ้าก็ถือโอกาสแสดงให้ขุนนางพวกนั้นเห็นว่าเจ้าสามารถเป็นฮ่องเต้ได้ ไม่แน่ ขุนนางทั้งหลายอาจจะเห็นว่าเจ้ามีความสามารถมากกว่าข้าก็เป็นได้” จินหยางหลงกล่าว
“เสด็จพี่อย่าได้รับสั่งเช่นนั้น ความสามารถของกระหม่อมไม่อาจเทียบได้กับเสด็จพี่ อีกทั้งเหล่าขุนนางก็ซื่อสัตย์และจงรักภักดี ไม่มีใครคิดแปรพักตร์หรอกพ่ะย่ะค่ะ” จินเกาหยางพูดอย่างถ่อมตัว
“แน่ใจหรือว่าไม่มี?” ฮ่องเต้รับสั่งถาม
“คนที่คิดแปรพักตร์ถูกพวกเราจับตาเพื่อซ้อนแผนอยู่เพคะ ฝ่าบาทอย่าได้กังวล” ฝูซิ่นฮวากล่าว
“มีจอมวางแผนสองคนช่วยกันคิดเช่นนี้ ข้าก็เบาใจ” ไม่เพียงแค่รับสั่ง แต่จินหยางหลงรู้สึกเบาใจตามที่กล่าว รู้สึกยินดียิ่งนักที่อนุชาของพระองค์ได้ชายาอย่างฝูซิ่นฮวา
“เสด็จแม่ก็ไปพักผ่อนด้วยกันดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” จินหยางหลงหันมาทูลถามไทเฮา
“ก็ดีเหมือนกัน” ไทเฮาพยักหน้ารับ “ระยะนี้ให้เกาหยางกับเหมยเหมยช่วยกันดูแลบ้านเมือง สู้รบกับขุนนางพวกนั้นไป ส่วนเราสามคนก็ไปพักผ่อนกันให้เต็มที่เถิด”
ถ้อยรับสั่งของไทเฮาทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาได้ จินหยางหลงวางพระหัตถ์ลงบนบ่าของจินเกาหยางพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าว
“ต้าจินเป็นของเจ้าแล้ว น้องข้า”
ยามนี้องค์ฮ่องเต้วางความเชื่อมั่นและแผ่นดินของพระองค์ไว้ในมือของอนุชา และคาดหวังว่าเขาจะสามารถนำพาบ้านเมืองไปสู่จุดสูงสุดให้จงได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ