ขุนนางราชสำนักช่างทำตัวน่าปวดหัวนัก!
จินเกาหยางไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงเหน็ดเหนื่อยกับบรรดาขุนนางทั้งหลาย เพราะนอกจากจะมีการแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายคอยตั้งแง่ใส่กันแล้ว ยังชอบเถียงกัน หรือจะเรียกว่าชอบทะเลาะกันกลางท้องพระโรงก็ได้
ที่ผ่านมา แม้รู้เห็นมามากว่าขุนนางเหล่านี้นิสัยเป็นอย่างไร แต่เมื่อจินเกาหยางต้องมานั่งอยู่ในจุดที่ต้องเป็นผู้รับฟังเพื่อตัดสินความและแก้ไขปัญหาแล้ว เขาก็รู้ได้ทันทีว่าภาระนี้ยิ่งใหญ่และชวนให้ปวดเศียรเวียนเกล้ามากกว่าที่คิด
“ฝ่าบาทจะเสด็จกลับมาเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยถาม
“ยังไม่มีกำหนด”
“หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าคิดว่าข้าตอบเจ้าชัดเจนแล้ว” จินเกาหยางตอบ “ที่ผ่านมาฝ่าบาททรงงานเพื่อบ้านเมืองโดยไม่คำนึงถึงพระวรกาย ยามนี้ทรงประชวร ต้องการเสด็จไปพักผ่อน พวกท่านก็มีปัญหาแล้วหรือ?”
“...”
“หรือว่าความจริงแล้วที่พวกท่านไม่พอใจ คือการที่ข้าถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางคนดังกล่าวตอบโดยไม่กล้าสบตาจินเกาหยาง
เมื่อท้องพระโรงเริ่มเงียบลง จินเกาหยางจึงเริ่มออกปากไถ่ถามความเป็นไปของบ้านเมืองจากขุนนางทีละคน ใครจะพอใจหรือไม่พอใจเขาคร้านจะใส่ใจ เพียงต้องการทำหน้าที่แทนฮ่องเต้ให้ดีที่สุด ให้สมกับความไว้วางใจของพระองค์เพียงเท่านั้น
เหตุการณ์ผ่านไปเช่นนี้ราวหนึ่งสัปดาห์ ขุนนางหลายคนเริ่มมีอาการกระสับกระส่าย บ้างก็ไปมาหาสู่กันเพื่อหารือเรื่องที่เว่ยหยางอ๋องซึ่งควรจะอยู่แต่ในเมืองเว่ยหยาง กลับกลายมาเป็นผู้มีอำนาจในแผ่นดิน บ้างก็ว่ายามนี้ฮ่องเต้ทำตัวเหลวไหล ไม่สนใจงานราชการบ้านเมือง เอาแต่มัวเมาอยู่กับอิสตรีที่ตำหนักฤดูร้อน
จงหุยและขุนนางกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งถกกันถึงเรื่องที่จินเกาหยางได้กลายเป็นผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ จงหยวนนั่งอยู่ข้างบิดาขณะฟังขุนนางทั้งหลายออกความเห็น
“เว่ยหยางอ๋องมีหมิงยู่โหวเป็นชายาก็เท่ากับมีกองทัพอยู่ในมือ ยามนี้ยังได้ขึ้นมาเป็นผู้สำเร็จราชการอีก ดีไม่ดี ข้าว่าอาจเป็นเว่ยหยางอ๋องเองที่เป็นฝ่ายบีบบังคับให้ฮ่องเต้ไปประทับที่ตำหนักฤดูร้อน เพื่อที่ตนจะได้ยึดครองอำนาจ” ขุนนางผู้หนึ่งกล่าว
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าฝ่าบาทน่ะหรือจะยอมให้เว่ยหยางอ๋องข่มได้”
“ไยจะข่มไม่ได้ ในเมื่ออ๋องผู้นั้นมีกองทัพทหารม้าสองแสนนายที่สามารถโค่นล้มราชบัลลังก์ได้เพียงแค่พลิกฝ่ามือ”
“ทั้งหมดเป็นเพราะฮ่องเต้ไว้วางพระทัยเว่ยหยางอ๋องกับหมิงยู่โหวมากเกินไป บัดนี้สองคนนั้นคงกำลังคิดการใหญ่อยู่เป็นแน่”
“จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ พวกเราต้องทำอะไรสักอย่าง!”
“ทุกท่านโปรดใจเย็นก่อน” จงหุยกล่าวขึ้น “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ หากเราทำอะไรผลีผลาม เกรงว่านอกจากจะมิอาจช่วยองค์ฮ่องเต้ได้แล้ว ยังอาจถูกเว่ยหยางอ๋องกำจัดอีกด้วย”
“เช่นนั้นท่านเสนาบดีมีความเห็นอย่างไร”
“ระยะนี้ก็คอยจับตาดูเว่ยหยางอ๋องไว้ก่อน ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องมีแผนอะไรซ่อนอยู่ และพวกเราก็จงเตรียมตัวให้พร้อม จะตีทัพให้แตกต้องตีที่ตัวแม่ทัพ หากเราคุมตัวเว่ยหยางอ๋องและหมิงยู่โหวไว้ได้ก็เท่ากับกุมชัยชนะ”
“แต่เว่ยหยางอ๋องและหมิงยู่โหวใช่ว่าจะจับกุมตัวได้ง่าย ๆ รู้หรือไม่ หมิงยู่โหวมีองครักษ์ที่เป็นยอดฝีมือมากถึงเจ็ดสิบคน ที่ผลัดเวรกันมาคอยอารักขาตลอดสิบสองชั่วยามไม่มีว่างเว้น เว่ยหยางอ๋องก็วรยุทธ์เลิศล้ำ ไหนจะยังทหารอารักขาอีก ไม่ง่ายเลยที่จะจับกุมทั้งสองคนนั้นได้”
“ข้าถึงบอกว่าพวกเราต้องใจเย็นกันก่อน ทางที่ดีควรปรึกษากับคนอื่น ๆ ให้มากกว่านี้” จงหุยกล่าว
เรื่องการยุยงขุนนางเพียงไม่กี่คนหาใช่เป้าหมายของเขา การทำให้ขุนนางส่วนใหญ่หวาดระแวงในตัวจินเกาหยางต่างหากที่สำคัญ
“จะปรึกษากับใครก็ต้องเลือกคนให้ดี” ขุนนางคนหนึ่งกล่าว “เพราะบางคนก็อยู่ฝ่ายเว่ยหยางอ๋อง เห็นได้จากยามที่เขาขอเบิกงบประมาณไปฟื้นฟูเมืองทั้งสาม มีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่เลือกยืนข้างอ๋องผู้นั้นและหมิงยู่โหว”
“แน่นอนว่าเราต้องระวัง” จงหุยตอบเสียงเรียบ “พวกท่านมีคนอยู่เท่าใดก็จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเถิด หากเว่ยหยางอ๋องคิดก่อการกบฏเมื่อใด เราจะได้ช่วยเหลือฮ่องเต้ได้ทันท่วงที”
ขุนนางทุกคนรับปากก่อนลากลับจวนของตน จงหุยถึงกับหัวเราะออกมาเมื่ออยู่ตามลำพังกับบุตรชาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ