ฝ่ายเสวียนชิวได้รับรายงานว่าทัพไป๋หู่เคลื่อนพลไปตีเมืองหยินเจา แต่ถอยทัพกลับเพราะหมดสิ้นด้วยเสบียงก็พิโรธนัก ศัตรูล่าถอย แต่กองทัพที่อยู่หลังกำแพงกลับหวาดกลัว มิกล้าไล่ตามไป ทั้งที่การไล่ล่าข้าศึกที่กำลังถอนทัพจากการขาดแคลนเสบียงนั้นมีความได้เปรียบอยู่หลายส่วน
“พวกขี้ขลาด!” เสวียนชิวตวาดลั่น “ศัตรูถอยหนี แทนที่จะตามไปต่อตีให้แตกพ่าย กลับเอาแต่มุดหัวอยู่หลังกำแพง!”
“เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยเกรงจะต้องกลลวงของพวกต้าจิน จึง...”
“จึงยอมให้มันหนี ทั้งยังส่งจดหมายมาเยาะเย้ยได้เช่นนั้นหรือ!”
“ท่านแม่ทัพได้โปรดใจเย็นก่อน อย่างน้อยเหตุการณ์ครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นว่า แผนการรบที่องค์หญิงซินเอ๋อร์ขโมยมาได้เป็นของจริง” รองแม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ยังวางใจไม่ได้” เสวียนชิวกล่าว “พวกต้าจินมากเล่ห์ ยังไม่ควรด่วนสรุปว่าแผนที่ได้มาเป็นของจริงหรือปลอม”
“เช่นนั้นท่านแม่ทัพวางแผนจะทำสิ่งใดต่อไปขอรับ”
เสวียนชิวก้มลงอ่านแผนการรบในมือแล้วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง
“แผนการรบที่ได้มานี้บอกว่าทัพไป๋หู่จะทำทีเป็นเคลื่อนพลไปเทียนหลันเจา แท้จริงแล้วตั้งใจจะส่งกองทัพไปยึดครองไป๋เจาที่อยู่ติดกับเมืองลั่วชิว เพื่อรวมสองเมืองให้เป็นหนึ่ง”
“มีความเป็นไปได้หลายส่วน แผนรบใกล้แต่แสร้งตีเมืองไกล เป็นกลศึกที่ฝูซิ่นฮวาชอบใช้” นายกองคนหนึ่งออกความเห็น
“เกรงว่าเล่ห์เหลี่ยมของนางจะมีมากกว่านั้น” นายกองอีกคนไม่เห็นด้วย “จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ข้าคิดว่าฝูซิ่นฮวาเป็นสตรีมากเล่ห์ ไม่ควรวางใจในแผนการของนางง่าย ๆ”
“เช่นนั้นควรรับมืออย่างไรเล่า ในเมื่อความเป็นได้ที่แผนการนั้นจะเป็นของจริงมีมากพอ ๆ กับความเป็นไปไม่ได้”
“แบ่งกองกำลังเป็นสองฝ่าย รอตั้งรับทั้งไป๋เจาและเทียนหลันเจา”
“แล้วถ้าเมืองทั้งสองคือแผนลวงทั้งคู่ แต่ความจริงแล้วพวกนั้นหมายจะไปเมืองอื่นล่ะ”
ที่ประชุมของทัพต้าเจาเคร่งเครียดลงทุกขณะ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนแต่ต้องระแวงแผนการของฝูซิ่นฮวาทั้งสิ้น จนพวกเขาอยากจะจับหญิงผู้นั้นมาสับให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้นยิ่งนัก
“ส่งสายสืบไปคอยจับตาทัพไป๋หู่ว่าเคลื่อนพลไปที่ใดบ้าง” เสวียนชิวสั่ง
“ขอรับท่านแม่ทัพ!” นายกองรับคำแล้วรีบออกจากกระโจมไป
เสวียนชิวเองก็เดินออกจากกระโจมที่ประชุมไป ทั้งที่ยังไม่ได้สรุปความอะไร แต่กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยคัดค้าน ด้วยรู้ดีว่าพายุอารมณ์ของท่านแม่ทัพในยามนี้ พร้อมจะถาโถมใส่ทุกคนได้ทุกเมื่อ
ทั้งหมดได้แต่มองตากันแล้วถกเถียงกันต่อ โดยไร้ซึ่งผู้เป็นแม่ทัพอยู่ร่วมในการถกเถียงครั้งนี้ด้วย
และหนึ่งในบรรดาเรื่องที่เหล่านายทหารกำลังถกกันอยู่นั้น ก็มีเรื่องเกี่ยวกับสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในกองทัพ ผู้ต้องประสบกับชะตากรรมอันน่าเวทนาจากความโหดร้ายของพี่ชายร่วมสายเลือดรวมอยู่ด้วย
“ไม่รู้ว่าป่านนี้เสวียนชิวจะฆ่าแกงองค์หญิงซินเอ๋อร์อย่างไรบ้าง” ฝูซิ่นฮวาถอนหายใจ แม้นางจะเป็นคนวางแผนทั้งหมดขึ้นมา แต่ลึก ๆ ก็อดเป็นห่วงหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ผู้นั้นไม่ได้
“เรากำลังจะทำตามแผนที่นางได้ไป นางคงไม่เป็นไรหรอกกระมัง” ฝูซิ่นเล่อว่า และคาดหวังให้เป็นจริงตามที่ตนคิด
“น้องข้า ข้าขอถามเจ้าตามตรงเถิด เจ้ามีใจให้องค์หญิงซินเอ๋อร์บ้างหรือไม่” ผู้เป็นพี่ถามอย่างไม่อ้อมค้อมพลางพินิจดูทีท่าของน้องชาย
“ไม่ขอรับ” ฝูซิ่นเล่อตอบโดยไม่มีแววโกหกแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นใครกันที่อยู่ในใจของเจ้า ใช่ผู้ที่เจ้าวาดภาพนางอยู่เป็นประจำหรือไม่”
“ใครเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “หรือว่าเจ้าพลทหารน่าตายนั่น!”
ฝูซิ่นฮวายิ้มแทนคำตอบ “นางเป็นใครกัน”
ฝูซิ่นเล่อถอนหายใจ ก่อนจะยอมเปิดปาก “ข้าเรียกนางว่าเหลียนเอ๋อร์”
“หลังยึดครองไป๋เจาได้ จงปฏิบัติต่อผู้คนในเมืองให้ดี ช่วยเหลืออะไรได้ก็จงช่วย ให้พวกเขาเป็นปฏิปักษ์กับเราให้น้อยที่สุด”
“ขอรับ”
“ขอให้เจ้ากลับมาพร้อมชัยชนะ”
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” ฝูซิ่นเล่อกล่าว ก่อนจะค้อมศีรษะให้พี่สาวแล้วเดินออกจากกระโจมไป
เมื่อน้องชายออกจากประโจมไปแล้ว ฝูซิ่นฮวาจึงหยิบจดหมายที่ได้รับจากจินเกาหยางขึ้นมาอ่าน ในที่สุดสามีของนางก็สามารถจัดการกับสกุลจงได้หมดสิ้นเสียที เหลือเพียงขั้วอำนาจแต่ละฝ่ายเท่านั้นที่ยังคงเป็นปัญหา แต่นางก็เชื่อมั่นว่าจินเกาหยางจะต้องสามารถจัดการกับปัญหาทุกอย่างได้
หญิงสาวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือ แต่ฉับพลันนั้นเอง นางก็เกิดอาการหน้ามืดจนต้องทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง
“พระชายา!” ซูจื่อลู่กับซูก้านลู่ร้องขึ้นพร้อมกัน ขณะวิ่งมาหาฝูซิ่นฮวา
“เป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ” ซูจื่อลู่ถามอย่างเป็นกังวล
“หม่อมฉันจะไปตามท่านหมอ” ซูก้านลู่ทำท่าจะวิ่งออกไปจากกระโจม
“ไม่ต้อง” ฝูซิ่นฮวาปฏิเสธ “ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว เพียงแค่ลุกเร็วไปเท่านั้น”
“แต่...”
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้วจริง ๆ” หญิงสาวยืนกราน พร้อมกับยิ้มให้สองสาวใช้ที่เป็นห่วงนาง
ฝูซิ่นฮวาลุกขึ้นยืนเพื่อพิสูจน์ว่านางไม่ได้เป็นอะไร จากนั้นจึงเดินไปยังโต๊ะหนังสือ แม้ว่าระหว่างทางที่เดินไปจะรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย แต่นางก็พยายามไม่ใส่ใจ เพราะยามนี้มีเรื่องมากมายให้ต้องใส่ใจมากกว่าอาการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้
แต่สิ่งที่ฝูซิ่นฮวาอาจนึกไม่ถึงก็คือ อาการหน้ามืดเวียนหัวที่นางกำลังเผชิญอยู่ในยามนี้ หาใช่อาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ