ฝูซิ่นฮวาเขียนแจ้งมาในจดหมายด้วยลายมือของนางว่า ชาวต้าเจาตามเมืองต่าง ๆ ที่ทัพไป๋หู่ยึดมาได้ มีความลำบากยากแค้นยิ่งกว่าที่นางคิดเอาไว้ บางบ้านถึงกับต้องนำก้อนกรวดมาคั่วกับเกลือกินกับผักหญ้า ลูกเล็กเด็กแดงของแต่ละบ้านร่างกายผ่ายผอม เสื้อผ้าเก่าขาดวิ่น นางเห็นแล้วอดเวทนาไม่ได้ จึงต้องการขอเสบียงและเสื้อผ้าอาภรณ์จากเมืองหลวงเพิ่มก่อนกำหนด เพื่อนำมาแบ่งปันให้ชาวเมืองซึ่งบัดนี้นับได้ว่าเป็นคนของต้าจินแล้ว
เมื่อจินเกาหยางได้รับแจ้งว่าทัพไป๋หู่ต้องการเสบียงเพิ่มทั้งที่ยังไม่ถึงกำหนดส่งเสบียง ชายหนุ่มก็รีบคำนวณปริมาณเสบียงที่สะสมไว้ เพื่อตรวจดูว่าหากมอบเสบียงให้ฝูซิ่นฮวานำไปเลี้ยงผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น เขาจะมีเสบียงเหลือสำหรับเลี้ยงทหารในกองทัพไปได้อีกกี่เดือน
“ยามนี้มีผู้คนมากขึ้น เสบียงที่เตรียมไว้จึงต้องจ่ายออกไปมากกว่าเดิม หากเป็นไปได้ ควรเตรียมการเจรจาขอซื้อเสบียงกับแคว้นข้างเคียงเอาไว้ด้วย เผื่อว่าบรรดาเมืองที่ทำหน้าที่ส่งเสบียงให้เราจะส่งเสบียงได้ไม่ทันกาล” จินเกาหยางกล่าวในที่ประชุม
“ในยามสงครามเช่นนี้ ข้าวยากหมากแพง เกรงว่าแคว้นอื่นจะฉวยโอกาสโก่งราคากับเรา” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ย
“แคว้นใดคิดโก่งราคามากก็จงอย่าเจรจาให้เสียเวลา เพราะทางเราก็ใช่ว่าจะขาดแคลนถึงเพียงนั้น เสบียงที่ข้าเตรียมไว้ยังมีพอให้ทัพไป๋หู่อยู่ต่อไปได้อีกหลายเดือน ข้าเพียงต้องการให้เรามีเสบียงสำรองพร้อมสำหรับยามฉุกเฉิน”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
“เตรียมเสบียงชุดแรกส่งไปให้ทัพไป๋หู่ภายในมะรืนนี้ พร้อมเสื้อผ้า ยา และผ้าพันแผลที่จำเป็น” จินเกาหยางสั่งการ โดยปกติแล้ว เขาจะส่งเสบียงให้ฝูซิ่นฮวาครั้งละสามชุด เพื่อให้ไพร่พลมีเวลาคัดเสบียงที่มีคุณภาพส่งไป สิ่งใดดีไม่พอ ก็ไม่อาจส่งให้ทหารได้ เพราะบุคคลเหล่านั้นคือผู้ที่กำลังแบกรับภาระหน้าที่ใหญ่หลวงในการปกป้องบ้านเมือง
“ส่วนขากลับก็รับคนเจ็บกลับมาด้วย ให้สำนักหมอหลวงเตรียมพร้อมสำหรับจำนวนผู้บาดเจ็บที่เพิ่มขึ้น”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
จากนั้นจินเกาหยางก็หารือกับขุนนางต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องการบ้านการเมืองอีกหลายเรื่อง กว่าจะประชุมเสร็จก็กินเวลาไปค่อนวัน ชายหนุ่มเดินมานั่งทิ้งตัวอย่างเหนื่อยล้าในห้องหนังสือ รู้สึกได้ว่าภาระหน้าที่ของตนนั้นหนักขึ้นทุกวัน ปัญหาที่ต้องรับมือก็มีมาก ไหนจะต้องดูแลทหารที่ชายแดน ไหนจะต้องรับมือกับขั้วอำนาจต่าง ๆ ในราชสำนัก
ไม่รู้ว่าจินหยางหลงทนต่อสู้กับเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร
“ฮ่องเต้เสด็จ!” เสียงขันทีตะโกนขึ้น
จินเกาหยางยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เมื่อนึกถึงพระเชษฐา พระองค์ก็เสด็จมา ทั้งยังมาด้วยพระพักตร์เบิกบาน ดูมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ขึ้นไม่น้อย
“ถวายบังคมเสด็จพี่”
“จะมากพิธีไปไย ลุกขึ้นเถิด”
“เป็นพระกรุณา” จินเกาหยางลุกขึ้นยืน
“ได้ยินว่าบรรดาสนมของข้าที่ยังไม่เคยถวายตัวพากันมาหาเจ้าหรือ?” จินหยางหลงถาม
“ที่เคยถวายตัวแล้วก็มาพ่ะย่ะค่ะ” จินเกาหยางตอบอย่างเหนื่อยหน่าย ทว่าพระเชษฐากลับสรวลออกมาทันที
“แล้วเจ้าจัดการกับพวกนางเช่นไรเล่า” ฮ่องเต้ยังคงรับสั่งถามอย่างอารมณ์ดี
“กับพระสนมที่ยังไม่ได้ถวายตัว กระหม่อมบอกไปว่า กระหม่อมชอบสตรีที่สามารถต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารในสนามรบได้อย่างฝูซิ่นฮวา หากผู้ใดคิดจะอยู่กับกระหม่อม ต้องผ่านบททดสอบโดยการไปร่วมรบกับทหารทัพไป๋หู่ในยามนี้ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่ามาให้กระหม่อมเห็นหน้าอีก มิฉะนั้นกระหม่อมจะทำให้พวกนางหายหน้าไปเอง”
“แล้วพวกที่เคยถวายตัวแล้วล่ะ”
“เป็นถึงพระสนม แต่คิดเอาใจออกห่างจากพระสวามี บางคนกระหม่อมเนรเทศไปใช้แรงงานที่ชายแดน แต่บางคนก็ส่งไปอยู่ตำหนักเย็นพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้จินเกาหยางไม่ได้นำความเรื่องพระสนมเหล่านั้นไปกราบทูลองค์ฮ่องเต้ เนื่องจากพระองค์ยังคงประชวรด้วยโรคเกี่ยวกับพระหทัย เขาจึงไม่อยากนำความนี้ไปกราบทูลให้ทรงขุ่นเคือง
ฮ่องเต้สรวลออกมาด้วยความพอพระทัย
“ตัดสินได้ดี” จินหยางหลงพยักหน้าไปพลาง “ข้ายังไม่ตายแท้ ๆ แต่หญิงแพศยาพวกนั้นกลับไม่เห็นหัวข้าแม้แต่น้อย เจ้าลงโทษพวกนางเช่นนั้นก็นับว่าควรแล้ว”
“เป็นพระกรุณาที่เสด็จพี่ไม่ถือสากระหม่อม”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ