ฝูซิ่นฮวาจัดเตรียมทหารห้าพันนายไปคุ้มกันเสบียงที่ถูกส่งมาถึงเมืองลั่วชิว เพื่อนำเสบียงกลับมาที่ค่ายและแจกจ่ายให้บรรดาทหารและชาวบ้านที่อดอยาก
เสบียงรอบแรกที่จินเกาหยางส่งมานั้นไม่น้อยเลย ทั้งวัวและแกะถูกต้อนให้เดินตามกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อไปให้ถึงค่าย โดยไม่มีตัวใดหลุดหายไประหว่างทาง กองเสบียงเคลื่อนพลไปอย่างช้า ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เสบียงเกิดความเสียหาย พอตกค่ำก็หยุดพักกันกลางทาง มีการผลัดเวรคอยคุ้มกันแน่นหนา ด้วยว่าในการศึกสงครามนั้น เสบียงคือยอดปัจจัย หากไร้ซึ่งเสบียงก็เท่ากับเป็นการพ่ายแพ้
“จะว่าไป ท่านกุนซือแต่งให้เว่ยหยางอ๋องก็ดีไปอย่าง กองทัพเราเหมือนมีเมืองเว่ยหยางทั้งเมืองเป็นกองหนุน คอยส่งข้าวส่งน้ำให้ มิได้ขาดแคลนแม้แต่น้อย” พลทหารคนหนึ่งพูดกับเพื่อนที่เข้าเวรด้วยกัน
“เว่ยหยางอ๋องเองก็โชคดีที่ได้แต่งกับท่านกุนซือ” อีกคนเอ่ยตอบ
“ข่าวลือว่าท่านอ๋องกลัวท่านกุนซือ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ”
“ข้าว่าจริง ผู้ใดบ้างไม่กลัวท่านกุนซือ แม้แต่ท่านแม่ทัพยังกลัวนางเลย”
พูดจบพลทหารทั้งสองก็หัวเราะให้กัน ระหว่างนั้นเอง จู่ ๆ เศษหินดินทรายที่อยู่บนพื้นก็สั่นระรัว ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังสะเทือนไปทั่ว
“คุ้มกันเสบียง!” นายกองผู้ควบคุมกองทหารคุ้มกันเสบียงตะโกนขึ้น เมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
พลทหารทุกคนรีบลุกจากที่พัก กระโดดขึ้นหลังม้าแล้วตั้งแถวเรียงราย หอก ดาบ อาวุธล้วนพรั่งพร้อม เบื้องหน้ามีฝุ่นฟุ้งกระจายราวพายุทรายโหมกระหน่ำ ทว่าชั่วพริบตาเดียวก็มีกองทัพทหารม้าจำนวนนับหมื่นกระโจนฝ่าพายุดินทรายเหล่านั้นออกมา พร้อมเสียงร้องตะโกนข่มขวัญ
“รีบนำเสบียงไป!”
พลทหารส่วนหนึ่งรีบคุ้มกันเสบียงหนี ในขณะที่พลทหารอีกส่วนหนึ่งเตรียมพร้อมต่อสู้กับทหารฝ่ายศัตรูจำนวนนับหมื่นที่พุ่งเข้ามาหา
“พลธนู!” นายกองตะโกนสั่งการ พลธนูต่างเล็งเป้าหมาย “ยิง!”
ทหารต้าเจาจำนวนมากถูกยิงตกจากหลังม้า กระทั่งม้าบางตัวก็ถูกยิงจนล้มลงกับพื้น พาให้ม้าตัวอื่นเสียหลักล้มไปตาม ๆ กัน แต่ไม่ว่าจะล้มลงสักเพียงใด จำนวนทหารต้าเจาที่กำลังควบม้าเข้ามานั้น ก็ดูเหมือนว่าจะมิได้ลดน้อยลงเลยสักนิด
“ไป! รีบไป!” ทหารที่กำลังต่อสู้เพื่อถ่วงเวลาหนีของกองเสบียงร้องตะโกน
ชั่วอึดใจต่อมา ทหารสองฝ่ายก็ปะทะกัน แต่จำนวนทหารที่มีน้อยกว่าของทัพไป๋หู่นั้นมิอาจต้านทานได้นาน เมื่อฝ่ายตรงข้ามยกพลมาถึงห้าหมื่น เสวียนชิงนั่งตัวตรงอยู่บนหลังม้า มองดูทหารของตนโอบล้อมทหารของทัพไป๋หู่ไว้ ราวกับจะไม่ยอมให้มีผู้ใดหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว
ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจ ที่ได้เห็นทหารทัพไป๋หู่พลาดท่าเสียบ้าง!
“ฆ่าให้หมด อย่าให้เหลือรอดไปได้แม้แต่คนเดียว” เสวียนชิงสั่งการทหารข้างกาย
“ขอรับ รองแม่ทัพ!”
ทหารกล้าแห่งทัพไป๋หู่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องเสบียงให้ไปถึงพวกพ้อง แต่ความกล้าหาญเพียงอย่างเดียวมิอาจทำให้ได้รับชัยชนะ พวกเขากำลังเสียเปรียบทัพต้าเจาที่มีจำนวนมากกว่าเป็นสิบเท่าแต่กระนั้นพวกเขาก็ยังสู้
พลส่งข่าวของฝูซิ่นฮวาไม่ตอบ ทั้งยังถ่มน้ำลายใส่หน้าองค์ชายรองแห่งต้าเจา
“ไอ้บัดซบ!” เสวียนชิงชกหน้าพลส่งข่าวอย่างแรง ทว่าผู้ถูกต่อยกลับหัวเราะเยาะเขา
“องค์ชายรองแห่งต้าเจาช่างมือไม้อ่อนนัก มีเรี่ยวแรงเพียงเท่านี้เองน่ะหรือ”
“โอหัง! จะตายอยู่รอมร่อยังไม่รู้จักเจียมตัว!”
“พวกเจ้านั่นแหละ จะตายอยู่แล้วยังไม่รู้จักเจียมตัว” พลส่งข่าวยิ้มหยัน “เมื่อใดที่กุนซือฝูกับแม่ทัพฝูทราบว่าเสบียงถูกปล้น โทสะของพวกเขาจะตามเผาผลาญพวกเจ้าไปทุกที่ จนแม้แต่แผ่นดินก็จะไม่มีให้กลบหน้าพวกเจ้า ไอ้ลูกสุนัขต้าเจา!”
“โทสะของพวกมันหรือจะสู้ความอดอยากได้” เสวียนชิงและทหารทัพต้าเจาต่างพากันหัวเราะ “ไร้เสบียงก็ไร้ซึ่งกำลัง ยามนี้แม่ทัพกับกุนซือของเจ้าเดือดร้อนแล้ว ใครกันแน่ที่เป็นลูกสุนัข!”
พลส่งข่าวเหยียดยิ้ม “พยัคฆ์ก็คือพยัคฆ์อยู่วันยังค่ำ เช่นเดียวกับสุนัข ที่ไม่ว่าเมื่อใดก็เป็นได้เพียงสุนัข!”
สิ้นสุดคำนั้น พลส่งข่าวของฝูซิ่นฮวาก็ถูกรุมซ้อมอย่างหนัก กระนั้นเขาก็ยังหัวเราะเยาะพวกต้าเจาที่กำลังจะพบกับหายนะครั้งยิ่งใหญ่ หัวเราะพวกต้าเจาที่กำลังจะพ่ายแพ้และตายด้วยแรงพิโรธของฝูซิ่นฮวาและฝูซิ่นเล่อ
เขายังคงยิ้มจนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ตราบที่ลมหายใจสิ้นสุดลง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ