พลส่งข่าวควบม้ามาจนถึงทัพไป๋หู่ที่กำลังรอคอยเสบียงอาหาร ชายหนุ่มให้เพื่อนทหารช่วยนำทางไปหากุนซือที่กำลังเคร่งเครียด เนื่องด้วยเสบียงมาถึงล่าช้ากว่ากำหนด
“ท่านกุนซือขอรับ พลส่งข่าวมีข่าวมารายงาน” พลทหารที่นำทางมากล่าว
ฝูซิ่นฮวาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองพลส่งข่าวคนเดิมที่นางคุ้นเคย
“คำนับท่านกุนซือ” พลส่งข่าวประสานมือขึ้น “ข้าน้อยมีข่าวจากเมืองหลวงมารายงาน”
“ว่ามา”
“เรียนท่านกุนซือ ก่อนที่ข้าน้อยจะออกจากเมืองหลวงมานั้น ยังไม่มีการตระเตรียมเสบียงใด ๆ สำหรับส่งมาให้ทัพไป๋หู่ เนื่องจาก... เอ่อ...”
“เนื่องจากอะไร” ฝูซิ่นฮวาพูดเสียงเย็น เช่นเดียวกับใบหน้าที่เยือกเย็นลงหลายส่วน
“ยามนี้เว่ยหยางอ๋องลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับบรรดาคุณหนูทั้งหลาย มิปรารถนาให้ท่านกลับไปยังเมืองหลวง เขาต้องการให้ท่านเสียชีวิตในสนามรบ เพื่อแต่งตั้งบุตรีของแม่ทัพจูเชวี่ยเป็นชายาเอกขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ” ฝูซิ่นฮวาถามเสียงเรียบ สีหน้าดูไม่ออกว่านางกำลังรู้สึกเช่นไร
พลทหารที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ต่างหยุดมองกุนซือฝูและพลส่งข่าว บรรยากาศบริเวณนี้ดูเหมือนจะเยือกเย็นลงจนพวกเขารู้สึกหนาวสะท้าน
“แม่ทัพจูเชวี่ยมีบุตรีสามคน คนใดเล่าที่เจ้าว่าสามีข้าปรารถนาจะแต่งตั้งเป็นชายาเอกแทนข้า” ฝูซิ่นฮวาถาม
“เป็นคุณหนูรองขอรับ”
“ที่แท้เป็นนาง” ฝูซิ่นฮวาพยักหน้ารับ “นอกจากนี้ยังมีใครอีกหรือไม่”
“ข้าน้อยไม่กล้าพูด”
“ข้าสั่งให้เจ้าพูด ก็จงพูดมา!”
“เรียนท่านกุนซือ ยามนี้มีสตรีเข้าถวายตัวจำนวนมาก จนข้าน้อยจำได้ไม่หมดว่ามีใครอีกบ้างขอรับ”
“สารเลว!” ฝูซิ่นฮวาร้องออกมาด้วยความโมโห “จับตัวชายผู้นี้!”
พลทหารคนอื่นแม้จะงุนงง แต่ก็รีบปฏิบัติตามคำสั่งของฝูซิ่นฮวาทันที
“ท่านกุนซือ ข้าน้อยทำผิดอะไร!” พลส่งข่าวดิ้นรนขณะถาม
“เจ้าสังหารพลส่งข่าวของข้า ขโมยใบหน้าของเขา แล้วยังกล้าใส่ความสามีข้าอีก ต่อให้สับเจ้าเป็นหมื่นชิ้น ก็ยังไม่สมต่อความแค้นของข้าด้วยซ้ำ!”
ทหารทั้งหมดต่างนิ่งอึ้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งพลส่งข่าวที่กำลังถูกตั้งข้อหา
“ข้าไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดเรื่องอันใด ข้าเป็นคนของท่าน”
“คนของข้าจะวิ่งเข้ามาหาข้าพร้อมคำว่า ‘รายงาน’ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ผู้อื่นแจ้ง”
“ข้าเพียงเป็นห่วงสภาพจิตใจของท่าน หากทราบเรื่องเว่ยหยางอ๋องลุ่มหลงสุรานารี จึงทำผิดพลาดไปบ้าง”
“เจ้าอ้างว่าสามีข้าต้องการแต่งบุตรีคนรองของแม่ทัพจูเชวี่ยขึ้นเป็นชายาเอก ทั้งที่แม่ทัพจูเชวี่ยมีบุตรีเพียงคนเดียวน่ะหรือ!”
“ข้า...”
“กระชากหน้ากากของมันออกมา! ข้าไม่ต้องการให้คนต่ำช้าเช่นนี้อยู่ภายใต้ใบหน้าทหารของข้า!”
ฝูซิ่นฮวายามนี้ดูดุดันยิ่งนัก นางมองพลทหารดึงหน้ากากของพลส่งข่าวออกมาจากพลส่งข่าวตัวปลอม ลักษณะโครงหน้าของชายผู้นี้บ่งบอกชัดเจนว่าเขาเป็นคนต้าเจา
“นับว่าเจ้าเฉลียวฉลาดสมเป็นกุนซือแห่งทัพไป๋หู่” ชายคนร้ายแสยะยิ้ม “แต่ต่อให้ฉลาดเพียงใด ก็มิอาจสู้กับพระปรีชาสามารถขององค์ชายรองแห่งต้าเจาได้”
“เจ้าหมายถึงเจ้าลูกสุนัขเสวียนชิงที่หนีตายไป หลังจากข้ายึดครองฮุยเจาน่ะหรือ” ฝูซิ่นฮวายิ้มเหี้ยม
“บังอาจ!” ชายคนร้ายตะคอก “เจ้ามันก็แค่โสเภณีจากต้าจิน กล้าดีอย่างไรกล่าววาจาเช่นนั้นถึงองค์ชายรอง”
ผลัวะ!
นายกองคนหนึ่งชกหน้าคนร้ายอย่างรุนแรงที่บังอาจลบหลู่กุนซือแห่งทัพไป๋หู่
“ต่อให้ท่านกุนซือคิดจะต่อว่าฮ่องเต้สุนัขของเจ้า นางก็มีสิทธิ์!”
“ไอ้พวกบัดซบ!”
ชายคนร้ายถูกชกอีกรอบ ฝูซิ่นฮวามิได้เอ่ยห้ามคนของตนแต่อย่างใด นางเดินเข้ามาใกล้คนร้าย ก่อนเอ่ยถามในสิ่งที่ต้องการรู้
พลทหารคุ้มกันเสบียงทั้งสองคุกเข่าลงเบื้องหน้าฝูซิ่นเล่อและฝูซิ่นฮวา
“ท่านแม่ทัพ ท่านกุนซือ พวกเรามีความผิด มิอาจรักษาเสบียงไว้ได้ ขอท่านแม่ทัพและท่านกุนซือโปรดลงโทษด้วยขอรับ” พลทหารทั้งสองโขกศีรษะกับพื้น
รางวัลของการปล้นเสบียงจากฝั่งศัตรูได้นั้นมีจำนวนสูงเพียงใด การปล่อยให้เสบียงถูกปล้นก็มีโทษทัณฑ์หนักเพียงนั้นเช่นกัน ดังนั้นโทษของพลทหารที่ต้องทำหน้าที่คุ้มกันเสบียงจึงไม่น้อยเลย แต่ฝูซิ่นฮวาก็มีเหตุผลมากพอในการตัดสินโทษพวกเขา
“เรื่องนี้โทษเจ้าไม่ได้” ฝูซิ่นฮวากล่าวหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เสวียนชิงลงทุนนำกองทัพทหารห้าหมื่นมาเพื่อปล้นเสบียง ราวกับจะทำการรบ ในขณะที่พลส่งเสบียงและพลคุ้มกันเสบียงมีจำนวนห้าพัน ลำพังพวกเจ้าย่อมมิอาจต้านทานได้”
“หามิได้ขอรับ” พลทหารคนหนึ่งเอ่ยคัดค้าน “อย่างไรเสียก็ยังนับเป็นความผิด หากไม่ลงโทษพวกเราให้เป็นแบบอย่าง ภายหลังอาจมีทหารอื่นนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปใช้เป็นข้ออ้างได้”
“กฎของกองทัพคือความศักดิ์สิทธิ์สูงสุดที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันได้อย่างมีวินัย ประโยคนี้พวกเราล้วนท่องจำจนขึ้นใจ” พลทหารอีกคนกล่าวสำทับผู้เป็นเพื่อน
“กรณีนี้ข้าถือเป็นข้อยกเว้น” ฝูซิ่นเล่อพูด “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุ่มเทกำลังอย่างเต็มที่ที่จะปกป้องเสบียง พวกเจ้าบาดเจ็บถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังกลับมารายงานเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งที่รู้ว่ามีโทษใดรออยู่ คนซื่อสัตย์เช่นพวกเจ้า ข้าจะปล่อยให้ตายได้เช่นไร”
“ข้าน้อยซาบซึ้งในความเมตตาของท่านแม่ทัพและท่านกุนซือ แต่กฎนั้นต้องเป็นกฎ พวกเราเป็นทหารกล้าแห่งทัพไป๋หู่ ไม่เคยหวาดกลัวต่อความตาย”
“หากการรอดชีวิตของเราทั้งสองจะทำให้กฎระเบียบในกองทัพสูญสิ้นความศักดิ์สิทธิ์ พวกเราขอยอมตายขอรับ”
ฝูซิ่นฮวากับฝูซิ่นเล่อมองหน้ากันอย่างหวั่นใจ พลทหารทั้งสองยิ้มออกมา จากนั้นจึงหยิบมีดพกออกมาแล้วแทงเข้าที่หัวใจของตนอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีใครห้ามได้ทัน
“พวกเจ้า!” ฝูซิ่นเล่อและเฉาเทียนรีบรับร่างของพลทหารทั้งสองไว้ ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของทหารมากมายในกองทัพ
“แด่ทัพไป๋หู่”
“แด่แผ่นดินต้าจิน”
พลทหารทั้งสองสิ้นใจทั้งที่ยังลืมตาอยู่ ฝูซิ่นฮวาหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ
“ทำศพให้อย่างสมเกียรติ” กุนซือแห่งกองทัพสั่ง ก่อนหมุนตัวจากไปทั้งน้ำตา ราวกับมิอาจฝืนทนมองภาพตรงหน้าได้
พลทหารทั้งหลายต่างมองพี่น้องร่วมกองทัพด้วยความรู้สึกนับถือ ทหารสองนายนี้ยอมแลกชีวิต แต่ไม่ยอมให้กองทัพเสียกฎระเบียบ พวกเขาจะจดจำวันนี้เอาไว้ และจดจำว่าพวกต้าเจาคือสาเหตุที่ทำให้พี่น้องของพวกเขาที่อยู่ ณ ตรงนี้ และพี่น้องอีกห้าพันนายต้องตายระหว่างการขนส่งเสบียง
พวกเขาจะต้องแก้แค้นแทนพี่น้องของตนให้จงได้!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ