เหมยฮวาบัญชาการ นิยาย บท 80

บทที่ 82 บทเพลงข่มขวัญ

ทัพไป๋หู่และกองทัพทหารทั้งสิบเมืองหกมาตั้งค่ายชั่วคราวปักหลักอยู่ไม่ไกลจากค่ายของทัพต้าเจา หากความเป็นอยู่นั้นกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กองทัพจากต้าจินมีอาหารการกินสมบูรณ์พรั่งพร้อม ในขณะที่กองทัพจากต้าเจาแทบไม่มีสิ่งใดให้ประทังความหิว

ท่ามกลางความมืดนั้น ต่างฝ่ายต่างเฝ้าระวังซึ่งกันและกัน ด้วยหวาดระแวงว่าจะถูกบุกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แม้จะมีสารท้ารบให้มาประลองกันในวันพรุ่งก็ตาม

ในช่วงเวลาที่ควรแก่การพักผ่อน ทหารทุกคนล้วนพบว่าเป็นเรื่องยากยิ่งนักที่จะข่มตาให้หลับ เมื่อศัตรูตั้งค่ายอยู่ไม่ไกล และในช่วงเวลานั้นเองที่บทเพลงหนึ่งดังมาจากค่ายของทหารต้าจิน

โลหิตหลั่งเลือดเนื้อนั้นเพื่อชาติ

ทรราชมิอาจยอมให้ครองฟ้า

จะขอสู้ด้วยจิตและวิญญาณ์

ด้วยน้ำตาดั่งธาราที่หลั่งริน

ขอสู้ตายแม้มลายกลายเป็นผง

ต้าจินคงคู่หล้าโลกถวิล

ถึงวิญญาณปลิดร่วงจากดวงจินต์

ด้วยชีวินมอบไว้ให้ระบือ

ณ ยามนี้สิบหกเมืองแสนปรองดอง

เป็นพี่น้องผูกพันมั่นนับถือ

ตายหรือเป็นฝากไว้ให้โลกลือ

ว่าเราคือต้าจินแม้นแสนเกรียงไกร

มิยอมเปลี่ยนแปรพักตร์จากต้าจิน

ข้าวและน้ำที่มีกินต้าจินให้

ขอตอบแทนด้วยจิตและด้วยใจ

จดจำไว้ว่าพวกเราคือต้าจิน

เสียงเพลงขับขานประสานเสียงจากชาวเมืองทั้งสิบหกแห่งต้าเจา ที่ขับร้องเพื่อตอกย้ำว่าบัดนี้ตนได้กลายเป็นคนของต้าจินแล้ว ทำให้ทหารต้าเจาที่ได้ฟังล้วนแต่ขวัญหาย ราวถูกพวกพ้องกระชากความฮึกเหิมที่เคยมีออกจากใจ ในขณะที่ทั้งเสวียนชิวและเสวียนชิงที่ได้ยินต่างเจ็บแค้น จนแทบบันดาลโทสะยกทัพไปบดขยี้พวกกบฏที่กำลังร้องเพลงอยู่นั้นให้สิ้นไป

“ไอ้พวกทรยศ เป็นกบฏต่อสู้กับพวกพ้อง ข้าจะเอาเลือดพวกมันมาสังเวยวิญญาณบรรพชนให้จงได้!” เสวียนชิวขว้างจอกเหล้าด้วยความโมโห หากในใจกลับบังเกิดความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่อยากจะยอมรับขึ้นมา

ความหวาดกลัว

ศึกที่ผ่านมาไม่ว่าแพ้หรือชนะ เสวียนชิวไม่เคยกลัว ตลอดชีวิตเขาไม่เคยกลัวสิ่งใด แม้กระทั่งความตาย มาบัดนี้บทเพลงสั้น ๆ กลับทำให้เขาบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาได้ มิใช่กลัวว่าตนจะต้องตาย แต่กลัวว่าตนกำลังจะสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างไปต่อหน้าต่อตา

เสียงเพลงที่ดังมาจากค่ายทหารชั่วคราวของฝ่ายตรงข้ามเร่งจังหวะรัวเร็วขึ้น เสียงกลองกระหึ่มรับกับจังหวะเพลงที่ปลุกเร้าราวกลองศึกดุดันฮึกเหิมและเปี่ยมไปด้วยความกล้าในน้ำเสียง

“เสด็จพี่” เสวียนชิงเรียกผู้เป็นพี่ แต่เสวียนชิวไม่สนใจ

ยามนี้แม่ทัพใหญ่เพียงต้องการปิดหูของตัวเองจากเสียงเพลงนั่น มันทำให้จิตใจของเขาไม่เป็นสุข ราวกับจะไม่สามารถควบคุมสติของตนเอาไว้ได้

วันพรุ่งนี้เขาจักต้องทำลายเสียงเพลงนั่น ทำลายทุกผู้ทุกคนที่ร่ำร้องขับขานมันออกมา เขาจะต้องทำให้เพลงนั่นเงียบหายไปให้ได้

เพลงนั้นจักต้องเงียบไป เช่นเดียวกับผู้ขับร้องที่จะต้องมอดไหม้ไปกับมัน!

บทที่ 83 ฟังเสียงกลองรบ

เมื่ออรุณรุ่งมาเยือน ทหารต้าเจาก็เตรียมตัวพรั่งพร้อม ด้วยความต้องการที่จะทำลายเสียงเพลงที่ได้ยินในคืนที่ผ่านมาให้หมดสิ้นไปจากใจ

เสียงกลองรบจากฝั่งต้าเจาดังกระหึ่ม หากฝูซิ่นเล่อเพียงนั่งจิบชากับพี่สาวและพี่เขยในค่าย ราวกับกำลังฟังเสียงกลองที่นักบรรเลงเพลงชั้นเลิศกำลังบรรเลงขับกล่อม

“ท่านแม่ทัพ ฝ่ายต้าเจาลั่นกลองรบแล้วนะขอรับ” เฉาเทียนเอ่ยเตือน

พลทหารทั้งหมดที่ตั้งแถวเตรียมพร้อมล้วนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เมื่อไม่มีคำสั่งจากท่านแม่ทัพ พวกเขาก็มิอาจกรีธาทัพได้ ทว่าท่านแม่ทัพในยามนี้กลับทำใจเย็นนั่งจิบชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ฟังเสียงกลองรบฝ่ายเรามานาน เปลี่ยนเป็นฟังเสียงกลองจากฝ่ายตรงข้ามบ้างก็ดีเหมือนกัน” ฝูซิ่นเล่อตอบหน้าตาเฉย

เฉาเทียนหันไปหาฝูซิ่นฮวา ฝ่ายผู้ถูกมองนั้นมีรอยยิ้มบาง ๆ ประดับบนใบหน้า นางวางถ้วยชาสมุนไพรที่ช่วยลดอาการแพ้ท้องลง พร้อมเอ่ยถามนายกองคนสนิท

“มองหน้าข้าเช่นนี้ มีอะไรติดหน้าข้าหรือ?”

“หามิได้ขอรับ เอ่อ... ศัตรูลั่นกลองรบแล้ว”

“แล้วอย่างไร” นางถาม

เฉาเทียนอ้าปากค้างนิด ๆ ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากฝูซิ่นฮวา แม้ทราบดีว่าก่อนการศึกทุกครั้ง ฝูซิ่นฮวามักให้ความสำคัญกับลมฟ้าอากาศ แต่นางก็ไม่ถึงกับเอาเรื่องแดดแรงมาเป็นข้ออ้างมิให้ทหารออกรบ

ที่สำคัญแดดในยามนี้เรียกได้ว่าห่างไกลจากคำว่า ‘แดดแรง’ ยิ่งนัก

ฝูซิ่นเล่อเพียงส่งพลธนูออกไปเล็งยิง และส่งทหารกองหนึ่งออกไปป้องกันแนวรบมิให้อีกฝ่ายบุกเข้ามาได้ แล้วเฝ้ามองสถานการณ์ภายนอกด้วยตัวเอง ขณะฟังเสียงกลองรบของอีกฝ่ายไปพลางอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่พลทหารของเขาจิตใจแทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว

ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม เสียงกลองรบฝั่งต้าเจาก็เงียบลง ในขณะที่ทหารทัพไป๋หู่เริ่มร้อนรุ่มอยากควบม้าออกจากค่ายไปต่อตีกับฝ่ายศัตรูยิ่งนัก แต่กุนซือของพวกเขากลับพูดเสียงเรียบว่า

“ยังไม่ถึงเวลา”

แล้วนางก็มิพูดสิ่งใดอีก นอกจากจิบชาสมุนไพรและอ่านตำราในมือต่อ

ฝ่ายต้าเจานั้นหลังจากลั่นกลองรบไปแล้วถึงสองครั้ง แต่กลับได้รับเพียงความนิ่งเฉยกับจำนวนทหารเพียงหยิบมือที่ออกมายั่วยุเล็กน้อย ก็ทั้งเดือดดาลทั้งหวาดระแวงในแผนการของฝ่ายตรงข้ามจะบุกเข้าไปก็เกรงจะต้องกลลวง จึงทำได้เพียงรอแล้วรอเล่า รอจนเหล่าทหารที่พร้อมออกศึกในคราแรกเริ่มเกิดความเหนื่อยหน่ายอิดหนาระอาใจ รออยู่อีกราวสองชั่วยาม เสวียนชิวจึงสั่งให้ลั่นกลองรบขึ้นอีกครั้ง

“ไปเถิด” ฝูซิ่นฮวาบอกแก่น้องชาย “ป่านนี้ทัพต้าเจาคงยืนหลับรอเจ้าแล้วกระมัง”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น” ฝูซิ่นเล่อกระโจนขึ้นหลังม้าแล้วควบไปอยู่เบื้องหน้าเหล่าทหาร

เมื่อพลทหารเห็นแม่ทัพขี่ม้านำอยู่เบื้องหน้าก็บังเกิดความฮึกเหิม อยากจะออกไปสู้รบเต็มที ชั่วอึดใจต่อมา ฝูซิ่นเล่อก็สั่งให้ลั่นกลองรบตอบแล้วควบม้าทะยานไปเบื้องหน้า พร้อมส่งเสียงร้องคำรามดุจพยัคฆ์ร้าย

ทัพต้าเจาที่รอคอยอยู่นาน ในที่สุดก็ได้เห็นศัตรูมาอยู่เบื้องหน้า ทว่าความพร้อมในการต่อสู้ที่มีก่อนหน้านี้ได้จางลงหลายส่วนจากการรอคอย ทั้งยังมีบางส่วนที่เหนื่อยล้าจากการถูกทหารทัพไป๋หู่ยั่วยุ จะตีก็ไม่ตี จะบุกก็ไม่บุก ตั้งแต่เช้าจนล่วงเข้าเวลาเย็น ข้าวปลามิได้ตกถึงท้อง ในขณะที่ฝ่ายต้าจินกินอิ่มท้อง ทหารก็ฮึกเหิม เพราะรอเวลาที่จะได้ออกจากค่ายมานานแล้ว ยามที่ทั้งสองฝ่ายเข้าฟาดฟันกัน เห็นได้ชัดว่าทัพต้าเจานั้น ‘รอคอยจนเหนื่อยล้า’ ในขณะที่ฝ่ายต้าจินโจมตีดั่งพายุโหมกระหน่ำ

กองทัพต้าเจาถอยร่นไปเรื่อย ๆ โดยการขับไล่ของฝั่งต้าจิน จนในที่สุดเสวียนชิวก็จำใจต้องสั่งถอนทัพอีกครั้ง หากครั้งนี้มิได้ไปเปล่า แต่กลับไปพร้อมความคั่งแค้นที่สะสมไว้จนยากจะหยุดยั้ง

ครั้งหน้าเขาจะกลับมาบดขยี้พวกต้าจินให้กลายเป็นซากศพเสียให้สิ้น!

ฝูซิ่นเล่อขี่ม้านำทัพกลับมายังค่ายพร้อมชัยชนะ เหล่านายกองและพลทหารต่างสนใจใคร่รู้ถึงคำอธิบายที่แม่ทัพและกุนซือของพวกเขาให้รออยู่เป็นนาน กว่าจะยอมให้กองทัพพยัคฆ์ขาวได้แสดงแสนยานุภาพให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็น

“ตำราพิชัยยุทธ์ว่าไว้ ยามเช้าฮึกเหิม ยามบ่ายอ่อนแรง ยามเย็นสิ้นกำลัง ทัพต้าเจาลั่นกลองรบหนแรก ศัตรูยังฮึกเหิมอยู่ ผ่านไปจนเวลาบ่ายจึงลั่นกลองรบซ้ำ ข้าวปลาอาหารหาได้ตกถึงท้องย่อมอ่อนกำลังลง เวลาล่วงมาจนถึงยามเย็นก็สิ้นเรี่ยวแรง ในขณะที่ชาวเราอยู่ในค่าย กินข้าวกินน้ำรอเวลา เจ้าว่าผู้ใดจะมีกำลังวังชามากกว่ากันเล่า” ฝูซิ่นฮวาเอ่ยถาม

ฉับพลันเสียงหัวเราะของพลทหารโดยรอบก็ดังขึ้น ยามได้ยินเสียงศัตรูลั่นกลองรบ พวกเขาทั้งร้อนใจทั้งอยากจะเข้าไปประจัญบานกับฝ่ายตรงข้ามให้รู้แล้วรู้รอด แต่ยามนี้เมื่อฟังคำของกุนซือแล้วหวนคิดตาม ภาพที่ทหารต้าเจาได้แต่รอแล้วรอเล่าช่างน่าขันยิ่งนัก

“ยามนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่เถิด ข้าเชื่อว่าเสวียนชิวกลับมาคราวหน้า โทสะของเขาจะนำพานรกทุกขุมมาหาพวกเรา”

“...”

“ดังนั้นพวกเราที่ได้รับฉายาว่าเป็นมัจจุราชแห่งสนามรบ จงเตรียมพร้อมรับมือส่งนรกทุกขุมกลับไปสู่ที่ที่มันควรจะอยู่!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เหมยฮวาบัญชาการ