เอี๊ยดดดด
เสียงเสียดสีไม่น่าฟังดังขึ้นพร้อมกับประตูเหล็กของคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ถูกปิดลงด้วยมือของเหล่าพลทหารประจำราชวงศ์
นั่นคือจุดจบของลอมบาร์เดีย ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในทวีปผู้ซึ่งบริหารงานราชการเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่คู่ราชวงศ์แลมบลูมาตลอดระยะเวลากว่าสองร้อยห้าสิบปี
ตระกูลใหญ่ที่เคยนึกว่าจะมั่นคงไปตลอดกาลดั่งสัญลักษณ์ของตระกูลซึ่งเป็นรูปต้นไม้แห่งโลกที่แผ่กิ่งก้านขยายออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ในวันนี้เจ้าตระกูลอย่างเบเจอร์ และแกนนำสำคัญหลายคนกลับถูกจับกุมด้วยข้อหาวางแผนก่อการกบฏและเลี่ยงภาษี ช่างเป็นจุดจบที่น่าขันเสียจริง
เมืองลอมบาร์เดียแห่งนี้ถูกตั้งชื่อขึ้นตามชื่อตระกูล ตอนนี้ชาวเมืองหลายร้อยคนต่างก็พากันมารวมตัวอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่มีทั้งคนที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย ทั้งคนที่เบือนหน้าหนีด้วยไม่อาจทนมองภาพที่เกิดขึ้นได้
และที่แถวหน้าสุดก็มีเธอ ฟีเรนเทียคนนี้ยืนอยู่
“พวกโง่เขลา”
เสียงกัดฟันกรอดดังขึ้น แต่ตอนนี้ไม่มีใครคิดที่จะให้ความสนใจ
เธอจ้องมองประตูใหญ่ของตระกูลถูกล็อกด้วยกุญแจขนาดใหญ่ กัดฟันกรอด สบถด่าทออีกหลายคำ
“โง่เง่าเต่าตุ่น พวกงูเห่าจอมขี้เกียจ ขนาดไฟไหม้ก็ยังนอนเลื้อย”
เธอรู้สึกได้ว่าผู้คนที่ยืนอยู่รอบด้านเหลือบสายตามองมา แต่ก็นะ แล้วจะทำไมล่ะ
อย่างไรตระกูลลอมบาร์เดียก็ล่มสลายไปแล้วอยู่ดี
ทว่าต่อให้ด่าสาปส่งเสียๆ หายๆ แค่ไหน ข้างในใจที่เดือดพล่านด้วยความโมโหกลับไม่คลายอารมณ์โกรธลงเลยแม้แต่น้อย
“ข้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าเจ้าชายลำดับที่หนึ่งน่ะไม่ได้เรื่อง หมอนั่นมันเป็นพวกเพชฌฆาตหน้าเลือด บอกตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วว่าไม่มีทางเป็นรัชทายาทได้น่ะ! ”
ขนาดเธอเตือนย้ำแล้วย้ำอีก พวกโง่เขลาตระกูลลอมบาร์เดียก็ยังเลือกข้างเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง
เจ้าชายลำดับที่หนึ่งอาสทาน่า เนเรมเฟย์ ดิวเรลลี่
ถึงแม้พวกนั้นจะอ้างว่าเลือกเขาเพราะเป็นโอรสของจักรพรรดินีก็เถอะ แต่แค่ดูก็รู้แล้วว่าพวกมันก็แค่เลือกคนประเภทเดียวกับตัวเองเท่านั้น
เธอหมายถึงพวก ‘สายเลือดชั้นสูง’ ที่หัวสมองที่มีแต่ความฟุ่มเฟือยและความสนุกสนานอยู่เต็มไปหมด กับร่างกายที่ความขี้เกียจมันซึมลึกเข้ากระดูกดำ
หากจะกล่าวว่าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของตระกูลลอมบาร์เดียคือประวัติศาสตร์ของอาณาจักร ก็ไม่ถือว่าเป็นการโอ้อวดเกินจริงแต่อย่างใด
คนที่ทำให้ตระกูลดิวเรลลี่ที่เคยเป็นแค่เจ้าเมืองแถบชายแดนได้ขึ้นครองเป็นจักรพรรดิ ทั้งยังนำพาอาณาจักรมาได้ถึงตอนนี้ก็คือตระกูลลอมบาร์เดีย
แค่นั้นเองเหรอ
พวกเขาเริ่มทำการค้าขายสั่งสมความมั่งคั่ง ทุกครั้งที่เกิดสงครามก็เป็นฝ่ายออกหน้าใช้ศิลปะทางการทูตเจรจานำชัยชนะมาสู่อาณาจักรโดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียวทั้งยังให้การสนับสนุนเหล่าศิลปินผู้มากฝีมือในทุกพื้นที่ของอาณาจักร กล่าวได้ว่าในโลกใบนี้ไม่มีที่ไหนที่นามของตระกูลลอมบาร์เดียไปไม่ถึง
และผู้ได้รับคำสรรเสริญว่าเป็นคนที่นำพาตระกูลลอมบาร์เดียที่ว่าขึ้นสู่จุดสูงสุดก็คือ เจ้าตระกูลคนก่อน รูลลัก ลอมบาร์เดีย
เมื่อสมัยที่รูลลักในวัยเยาว์ได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูล ทางราชวงศ์ได้มอบป้ายทองให้เขา เพื่อรักษาสายสัมพันธ์อันดีงามเอาไว้
ในตอนนั้นสิ่งที่รูลลักคิดได้ก็คือ การก่อตั้งระบบทุนสนับสนุน
ไม่แบ่งแยกชนชั้นสูงกับสามัญชน เขามอบเงินทองมากมายโดยไม่คิดหวงแหน ให้ความสนับสนุนส่งเสริมอัจฉริยะมากความสามารถในแต่ละวิชาชีพ
ความจงรักภักดีของผู้คนที่ได้รับการสนับสนุนจากลอมบาร์เดียตั้งแต่เด็กจนได้ศึกษาเล่าเรียนจะย้อนคืนกลับไปที่ใดได้ล่ะ มันก็เป็นเรื่องที่เห็นได้อย่างชัดเจนมากอยู่แล้ว
พวกเขาไม่ใช่ลอมบาร์เดีย แต่พวกเขาเป็นคนของลอมบาร์เดีย
รูลลักผู้เป็นเจ้าตระกูลรุ่นก่อนประสบความสำเร็จในการสร้างคนของตนกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง โดยที่เขาไม่ต้องย่างกรายออกจากเมืองลอมบาร์เดียแม้แต่ก้าวเดียว
แม้แต่จักรพรรดิพระองค์ก่อนเองก็ยังต้องยอมรับในอำนาจของลอมบาร์เดีย แต่สุดท้ายในรอบยี่สิบปีป้ายทองก็ถูกริบกลับคืน
แต่ว่า
“ต่อให้โง่ขนาดไหนก็เถอะ ทำอีท่าไหนถึงได้ทำให้ตระกูลล่มสลายได้ในเวลาแค่สองปี! ”
สองปีก่อน เจ้าตระกูลคนก่อน รูลลัก ลอมบาร์เดียเสียชีวิตลงบุตรชายคนโตอย่างเบเจอร์ ลอมบาร์เดียได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนถัดมา
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้น
เบเจอร์เป็นเพียงแค่ผีร้ายที่ดีแต่พูดจาลื่นไหลเสนาะหูเท่านั้น จึงไม่มีความสามารถพอที่จะนำตระกูลใหญ่ที่ไม่ต่างจากแคว้นหนึ่งได้ และเมื่อไม่มีเจ้าตระกูลคนก่อนที่คอยควบคุมเชื้อสายตรงของลอมบาร์เดียผู้ชื่นชอบในการใช้เงิน และยังเห็นแก่ตัวเป็นที่สุดเอาไว้ พวกเขาก็กระโดดโลดเต้นราวกับลูกม้าที่ถูกปล่อยสายบังเหียน
ไม่ต้องมองก็เห็นได้อย่างชัดเจน
เหตุผลที่เธอรู้ไส้รู้พุงของพวกนั้นดีขนาดนี้ก็ง่ายมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...