ห้องที่เธอกับท่านพ่อใช้งาน มีโครงสร้างเหมือนอพาร์ตเมนต์ห้องหนึ่งมากกว่า ‘ห้อง’ ธรรมดาอย่างที่พูด
ทางเข้าออกที่จะเข้ามาที่นี่ได้มีประตูแค่บานเดียวก็จริง แต่ยังมีห้องแยกอีกสี่ห้องด้านในโดยเชื่อมต่อกับพื้นที่ส่วนกลางซึ่งใช้เป็นห้องนั่งเล่นรวมห้องรับรองไปในตัว
เทียบกับสถานที่ที่พวกพี่น้องคนอื่นๆ ของท่านพ่ออาศัยอยู่แล้ว ขนาดมันเล็กกว่ากันค่อนข้างมาก แต่สำหรับเธอแล้วมันเป็นขนาดที่เหมาะสมไม่จำเป็นต้องขยายต่อเติมใดๆ เพิ่มทั้งสิ้น
ถ้าหากไม่ใช่อย่างวันนี้ ที่ท่านพ่อรื้อหนังสือออกมาวางระเกะระกะอยู่ทั่วห้องรับรองแล้วละก็นะ
เธอออกมาจากห้องแล้วก็ต้องตกใจกับภาพห้องนั่งเล่นที่รกไปหมดจนได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่กับที่ ท่านพ่อเองก็มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับงานของตัวเองจนไม่ทันได้สังเกตเห็นเธอ
เธอเดินเข้าไปหาท่านพ่ออย่างระมัดระวัง พยายามไม่ให้เผลอเหยียบหนังสือที่วางกองระเกะระกะอยู่ที่พื้น ดูเหมือนว่าท่านพ่อจะกำลังพยายามวาดอะไรบางอย่างอยู่อย่างแข็งขัน
“พ่อคะ?”
“โอ้ เทียมาแล้วเหรอ”
ท่านพ่อเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเธอ ก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างสดใส
“ยุ่งอยู่เหรอคะ”
“เปล่าหรอก ยุ่งอะไรกัน”
ท่านพ่อพูดเช่นนั้น ในขณะเดียวกันก็เก็บของที่กำลังวาดอยู่เลื่อนออกไปไกล
ถ้าถูกรบกวนงานที่กำลังตั้งใจทำ ต่อให้เป็นลูกสาวยังไงปกติก็คงจะรำคาญกันบ้าง แต่ท่านพ่อของเธอกลับดึงเธอเข้าไปกอดแน่น
“ที่จริงแล้วมีเรื่องอยากจะขอร้องพ่อน่ะค่ะ”
“โอ้ๆ เทียของพ่อมีเรื่องจะขอร้องเหรอเนี่ย พ่อทำให้ได้ทุกอย่างเลย”
“คือว่า..ช่วยวาดรูปให้หน่อยสิคะ”
“รูปหรือ”
ท่านพ่อเอียงคอด้วยความสงสัย
“เอาสิ เอารูปอะไรดีล่ะ ดอกไม้? ต้นไม้? หรือสัตว์น่ารักล่ะ”
“ใบหน้าของท่านย่าค่ะ”
“ใบหน้าของ…ท่านย่าหรือ”
ท่านพ่อถึงกับพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนจะตกใจในเรื่องที่เธอร้องขอมากพอสมควร
“ค่ะ อยากรู้น่ะค่ะว่าท่านย่าเป็นคนยังไง”
ท่านย่าจากไปก่อนหน้าเธอเกิดไม่กี่ปี
เธอเคยเห็นภาพเหมือนที่หลงเหลืออยู่หลายครั้งก็จริง แต่ทั้งหมดก็มีเพียงแค่นั้น ท่านพ่อเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นของเธอ ท่านถึงได้หยิบเอาสมุดสเก็ตช์ที่วางกองไว้หลายเล่มขึ้นมา ทั้งๆ ที่ยังเกาแก้มด้วยความงุนงง
“ไม่รู้สิ…ครั้งสุดท้ายที่เห็นท่านมันก็นานมากแล้ว เลยนึกไม่ค่อยออกเท่าไหร่”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เพียงครู่เดียวมือของท่านพ่อก็ขยับวาดโดยไม่มีการลังอกลังเลใดๆ ถ่านดำในมือขยับอย่างคล่องแคล่ววาดลงบนกระดาษขาวราวกับเต้นระบำ เธอนั่งข้างท่านพ่ออยู่เงียบๆ ชื่นชมภาพนั้น
ภายในห้องรับรองจึงเหลือเพียงเสียงถ่านวาดรูปสีกับกระดาษดังครืดคราด
“…นี่ไง นี่ท่านละ”
“ว้าว! ”
มันไม่ใช่เสียงเสแสร้งชื่นชมแต่อย่างใด
หลังจากที่เธอมองภาพที่วาดเสร็จสมบูรณ์แล้วก็ต้องส่งเสียงอุทานด้วยความชื่นชมออกมาโดยไม่รู้ตัว
ท่านย่าที่ท่านพ่อจำได้กำลังส่งยิ้มเอื้ออารี รอบนัยน์ตามีริ้วรอยจางๆ อยู่หลายเส้น หางตาตกลู่ลงเช่นเดียวกันกับท่านพ่อ
ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ภาพที่วาดด้วยถ่านดำ แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความรักที่มีต่อบุตรชายผ่านนัยน์ตาทั้งสองข้างได้
“ท่านแม่เป็นคนที่อ่อนโยนมากจริงๆ”
ปลายประโยคสั่นไหวเล็กน้อย ท่านพ่อคงจะคิดถึงท่านมาก
หลังจากนั้นท่านพ่อก็ใช้นิ้วโป้งลูบปลายกระดาษอยู่หลายครั้ง ก่อนจะฉีกมันออกอย่างระมัดระวัง แล้วส่งให้เธอ
“ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ถึงขอให้วาดรูปท่านย่าให้ล่ะเทีย”
“อืม พอดีมีคนที่อยากจะเอาให้ดูน่ะค่ะ”
“คนที่อยากเอาให้ดูเหรอ”
ท่านพ่อทำท่าเหมือนอยากจะถามอะไรเพิ่ม แต่เธอม้วนกระดาษเก็บ ถือเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง กระโดดผลุบลงจากเก้าอี้
“ขอไปเล่นข้างนอกสักครู่นะคะ เดี๋ยวกลับมาค่ะ!”
“หืม? ข้างนอก?”
ท่านพ่อตื่นตระหนกไปชั่วครู่ ตะโกนเสียงดังไล่ตามหลังเธอที่เปิดประตูวิ่งออกไปจากห้อง
“เที่ยวเล่นดีๆ ระวังอย่าให้หกล้มล่ะ!”
ไม่ล้มหรอกค่ะ ท่านพ่อ
ข้าอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว!
บางทีความจริงแล้วท่านพ่ออาจจะมีความสามารถในการมองเห็นอนาคตก็ได้
ตุบ
“อ๊ากกกก!”
พอออกมาจากอาคารหลักที่พวกเราอาศัยอยู่ เธอก็วิ่งตรงไปยังสถานที่เป้าหมายอย่างเริงร่า แต่เท้าดันสะดุดก้อนหินเข้าจนได้
“ฮึบ!”
ใช้แรงทั้งหมดเท่าที่เด็กอายุเจ็ดขวบจะสามารถออกแรงได้ส่งไปยังเท้าอีกข้าง เหยียบพื้นแน่นเพื่อสร้างจุดศูนย์ถ่วงในการทรงตัวให้กับร่างกาย จนไม่ต้องหกล้มให้ขายหน้าได้สำเร็จ แต่ถุงผ้าใบเล็กที่ห้อยอยู่ที่เอวดันร่วงตกลงพื้นเสียได้
อา กระเป๋าขนมของเธอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...