เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 2

บทที่ 53

“…ครับ?”

ใบหน้าของเครย์ลีบันผู้หล่อเหลาซีดเผือด

ร่างกายสูงใหญ่โงนเงนจนต้องจับพนักพิงโซฟาเอาไว้ เขาถามเธอด้วยใบหน้าราวกับนี่เป็นวันอวสานของโลก

“ข้าทำอะไรผิดไป…”

เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเข้าใจคำพูดของเธอผิดไป

ถึงขนาดเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว

ฉายาของเครย์ลีบันคือ ‘คนเลือดเย็น’ แท้ๆ

ใบหน้าที่ว่านั่นมันหายไปไหนแล้วล่ะเนี่ย

เธอรู้สึกอยากจะแกล้งเครย์ลีบันนิดหน่อย จึงพูดต่อไปโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร

“เครย์ลีบันเองก็น่าจะคาดการณ์เอาไว้บ้างแล้วไม่ใช่เหรอคะ”

“ไม่นะครับ ข้า…”

เครย์ลีบันยกมือขึ้นลูบใบหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อน

ปล่อยไว้แบบนั้นคงได้ร้องไห้แน่

เธอหัวเราะล้อเขาพลางเอ่ยพูด

“ไม่ใช่ร้านขายเสื้อผ้าค่ะ ให้เตรียมเขียนใบลาออกให้ท่านปู่ต่างหาก”

“อา ถ้าเช่นนั้น…”

ประกายความยินดีวาบผ่านขึ้นมาบนใบหน้าของเครย์ลีบันที่เข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อ

เธอยิ้มกว้าง ก่อนตอบเขา

“อีกไม่นานก็จะถึงวันเกิดอายุครบสิบเอ็ดปีของข้าแล้วไม่ใช่เหรอคะ ต้องเริ่มค่อยๆ เตรียมตัวกันแล้วสิคะ”

ในที่สุดวันที่จะได้รับอิสระก็ใกล้จะมาถึงแล้ว

แต่แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นยังมีอีกวิกฤติหนึ่งที่เธอต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้

บนใบหน้าของเครย์ลีบันที่มองเธอเบิกบานไปด้วยรอยยิ้มดอกไม้

“และก็อันนี้ ฝากให้แคทเธอรีนทีได้มั้ยคะ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ห้องทำงานท่านปู่น่ะค่ะ”

ฟีเรนเทียยื่นจดหมายที่เมื่อครู่ลอรีลช่วยปิดผนึกส่งให้เครย์ลีบัน

เครย์ลีบันพยักหน้าคล้ายกับว่าพอจะคาดเดาได้ว่ามันเป็นจดหมายที่เขียนขึ้นเพื่อใคร

ลานฝึกประจำวังโฟอิรัค

เฟเรสยืนถือดาบอยู่บนลานกว้างที่ถูกจัดการดูแลเป็นอย่างดี เขาหลับตาลง ใช้ร่างกายสัมผัสสายลม

เรือนผมสีดำสนิทและชายเสื้อพลิ้วสะบัดไปตามจังหวะของสายลมที่พัดผ่าน แต่ร่างกายคล่องแคล่วสูงใหญ่ของเด็กหนุ่มกลับไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย

ในฐานะคนที่เฝ้ามองเจ้าชายลำดับที่สองเรียนรู้มาโดยตลอด เขาเองก็คิดว่าพระองค์ฝักใฝ่ในการเรียนรู้วิชาดาบและวิชาการมากเสียจนแทบจะกลายเป็นยึดติดอยู่แล้ว ยึดติดมากเสียจนทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อยอยู่เหมือนกัน

ยูเบสคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน

ตลอดเวลาที่ผ่านมาพระองค์ไม่เคยหยุดพักเรียนวิชาฟันดาบเลยแม้แต่วันเดียว ดังนั้นโอกาสนี้เขาจึงคิดว่าสมควรที่จะสั่งให้เจ้าชายลำดับที่สองได้พักสักวัน

“ในเมื่อสูญเสียสมาธิกับใจที่นิ่งสงบแบบนี้ ต่อให้เลียนแบบท่าทางฝืนไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ วางดาบลงเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

น้ำเสียงเข้มงวดทำให้สุดท้ายเฟเรสต้องยอมลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า

เผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงสดยิ่งกว่าทับทิมผ่านกลุ่มเรือนผมสีดำที่พลิ้วสะบัดไปตามจังหวะสายลมที่พัดเสียงดังหวีดหวิวรอบกาย

อายุสิบสามปี เฟเรสซึ่งอยู่ในช่วงปลายของวัยเด็กหนุ่มคนนี้ ครอบครองรูปลักษณ์อันแสนงดงาม บางครั้งยังดูหล่อเหลามากเสียจนห่างไกลจากมนุษย์ปุถุชนทั่วไปจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นมนุษย์เหมือนกัน

แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายูเบสค่อนข้างใกล้ชิดกับเฟเรส ทำให้เขาทราบดีว่าเด็กหนุ่มผู้แสนงดงามคนนี้นั้นที่จริงแล้วเป็นคนที่ขาดแคลนอะไรต่างๆ มากมายหลายอย่าง

เด็กคนนี้แทบจะไม่มีอารมณ์รักโลภโกรธหลงอย่างที่มนุษย์ทั่วไปมีกันเลย ต่อให้มีก็เบาบางมากทีเดียว

ช่วงเวลาที่เฟเรสพอจะดูมีความรู้สึกเหมือนอย่างคนอื่นเขาบ้าง ก็แค่ตอนที่กินลูกกวาดรสหวาน หรือตอนที่มองดอกบอมเนียแบ่งบานเท่านั้นเอง

ขนาดตอนที่เขาตั้งใจผลักดันให้ฝึกฝนร่างกายจนถึงขีดสุดเกินกว่าจะทนไหว เฟเรสก็ทำเพียงแค่กัดฟันแน่นอดทนเท่านั้น

เท่าที่ได้ยินมา ดูเหมือนว่าในคลาสเรียนทางด้านวิชาการเองก็มีท่าทางแบบนั้นเหมือนกัน

ทั้งๆ ที่พัฒนาการทางด้านการเติบโตถึงว่าดีเลิศมากแท้ๆ แต่ยูเบสกังวลว่า ‘อาการขาดสมาธิ’ ของเจ้าชายลำดับที่สองมันมีสาเหตุมาจากสิ่งใดกันแน่

เพราะฉะนั้นในเมื่อวันนี้เฟเรสก็สูญเสียสมาธิอย่างชัดเจนไม่เหมือนที่เคย เขาจึงตั้งใจที่จะลองสืบดูเสียหน่อยว่ารากสาเหตุที่ทำให้เสียสมาธินั่น มันคือสิ่งใดกัน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]