“หรือว่ากำลังรอใครอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ยูเบสเอ่ยถามเมื่อนึกถึงสายตาที่เอาแต่เฝ้ามองไปทางประตูวังอยู่เรื่อย
“…ครับ”
เฟเรสผงะเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ
“กำลังรอใครอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“รอแคทเธอรีนกลับมาครับ”
“ทำไมล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“…บอกไม่ได้ครับ”
เป็นครั้งแรกที่เฟเรสซึ่งมักจะตอบตามความจริงอยู่เสมอกลับปฏิเสธไม่ยอมตอบ
ราวกับกำลังเก็บซ่อนความลับที่มีค่ามากที่สุดในโลก ริมฝีปากอ่อนนุ่มปิดแน่นอย่างดื้อดึง
มันทำให้ยูเบสรู้สึกถึงเหมือนโดนอีกฝ่ายหักหลัง
“ลองกล่าวมาสิพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เอาครับ”
“เจ้าชาย”
“บอกว่าไม่เอาไงครับ”
คราวนี้เฟเรสถึงกับรู้สึกระแวดระวัง
ยูเบสกล่าวต่อด้วยคิดวางแผนตั้งใจจะขุดคุ้ยหาสาเหตุที่แท้จริงให้ได้
“ในเมื่อปฏิเสธไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์ กระหม่อมคงต้องลงโทษฟันดาบขึ้นลงหนึ่งพันครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
“ครับ”
คราวนี้ยูเบสพูดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ
ยอมฟันดาบหนึ่งพันครั้ง มากกว่าบอกเหตุผลที่ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอแคทเธอรีนอย่างนั้นหรือ
เขาได้แต่ส่ายหน้าไปมา
เพียงไม่นานในลานฝึกก็มีเพียงเสียงฟันดาบดังฟึบ ฟึบ กับเสียงลมหายใจหอบแฮกของเฟเรสเท่านั้น
และในตอนที่ผ่านไปได้ประมาณห้าร้อยครั้ง
ยูเบสหันหลังให้เฟเรสที่เหงื่อท่วมร่าง เขาเอ่ยพูดราวกับตั้งใจจะเกลี้ยกล่อม
“ถึงแม้จะไม่ทราบว่ามีเหตุผลใด แต่กระหม่อมเพียงแค่เป็นห่วงเจ้าชายเท่านั้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ฟึบ ฟึบ
“การเข้าอกเข้าใจและความใจกว้างต่อผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ แต่การใส่ใจตัวเองก็เป็นเรื่องสำคัญด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฟึบ ฟึบ
“เจ้าชายที่กระหม่อมเฝ้ามองมาโดยตลอดยังขาดแคลนในเรื่องนั้นอยู่มาก ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบทุกด้านอยู่เสมอก็ได้พ่ะย่ะค่ะ มนุษย์เราน่ะควรที่จะ…”
แปลก
ไม่ได้ยินเสียงดาบฟันผ่าสายลมที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกต่อไปแล้ว
สายตาของยูเบสที่หมุนตัวหันกลับไปมองด้วยความสงสัย ปรากฏภาพของเฟเรสที่กำลังวิ่งไปที่อีกฟากด้วยความเร็วสูง
มือข้างหนึ่งถือดาบ อีกข้างถือฝักดาบ มันเป็นภาพด้านข้างของเฟเรสที่กำลังวิ่งตรงดิ่งไปไหนสักแห่งราวกับคนบ้า
“อะ เจ้าชาย?”
เป็นครั้งแรก
ที่เฟเรสสูญเสียการควบคุมตัวเองขนาดนั้น
ไม่สิข้างในนัยน์ตากระจ่างใสที่ทำให้นึกถึงทับทิมสีแดงสดคู่นั้น ชั่วพริบตามันกลับสะท้อนความบ้าคลั่งออกมาให้เห็น
และทางฝั่งที่เฟเรสวิ่งตรงไปก็มีรถม้าคันหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาในเขตวังโฟอิรัค
ยูเบสได้แต่ยืนอึ้งมองภาพนั้นอยู่เฉยๆ โดยที่พูดอะไรไม่ออกสักคำ
เฟเรสวิ่งเข้าไปหยุดอยู่หน้ารถม้าด้วยความร้อนรน แม้แต่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ต้องรอให้แท่นรองเหยียบถูกวางลง ประตูรถม้าถูกเปิดออก เขาก็ไม่อาจอดทนรออยู่นิ่งๆ ได้
เขารีบเก็บดาบใส่ฝัก เช็ดมือที่เปรอะฝุ่นและเหงื่อกับกางเกง
“ฮือ งั้นพรุ่งนี้ข้าจะมาตั้งแต่เช้าเลยนะคะ”
ลอรีลพูดแบบนั้นก่อนจะโค้งศีรษะลาเธอ แล้วเดินออกไปข้างนอก
พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของนางแท้ๆ
คงจะรู้ใช่มั้ยนั่น
แต่ถ้าเรียกตัวไว้ละก็ บางทีอาจจะต้องยอมให้นอนค้างที่นี่จริงๆ ก็ได้
ฟีเรนเทียล้มตัวลงนอนยืดเส้นยืดสายบนโซฟาในห้องรับรอง ดื่มด่ำกับความเงียบสงบเมื่อได้เหลือตัวคนเดียว
เพราะได้รับการช่วยเหลือในหลายๆ เรื่องจากลอรีล ทำให้วันๆ หนึ่งของเธอสบายขึ้นมากทีเดียว แต่เธอก็ยังต้องการเวลาส่วนตัวให้ได้ใช้ชีวิตตามลำพังบ้างเหมือนกัน
เธอหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
แต่ความเงียบสงบกลับอยู่ได้ไม่นานนัก
ปัง!
ประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงดังสนั่น
“ลอรีล ลืมอะไรอีกแล้ว…พ่อ?”
คนที่ยืนหอบหายใจแฮกด้วยความดีใจทั้งๆ ที่จับลูกบิดประตูอยู่นั่นคือท่านพ่อแน่ๆ
เธอสะดุ้งตกใจลุกขึ้นมานั่งดีๆ บนโซฟา
“ทะ…เทีย…”
ท่านพ่อเรียกชื่อเธอในขณะที่เดินเซเข้ามาหา
และเมื่อหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโซฟาที่เธอนั่งอยู่ ท่านพ่อก็ทรุดตัวลงไปนั่งคุกเข่าบนพื้น
ใบหน้าของท่านพ่อที่อยู่ในระดับสายตาเท่าเธอนั้นกำลังร้องไห้สะอื้น
“พ่อ…พ่อ…”
ท่านพ่อขยับตัวไปมาอยู่หลายครั้ง ก่อนจะพูดต่อ
“พ่อได้รับเหรียญรางวัลยกย่อง!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]
น่าสนุก...