เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 23

สรุปบท ตอนที่ 23.2: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

ตอนที่ 23.2 – ตอนที่ต้องอ่านของ เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

ตอนนี้ของ เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายแฟนตาซีทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 23.2 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

เธอแง้มหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อยเหมือนที่ทำเป็นประจำ นั่งพิงขอบหน้าต่างดื่มด่ำกับความผ่อนคลาย

สายลมพัดพาเอาความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ยามกลางวันผ่านเข้ามาจั้กจี้ใบหน้าของเธอ

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ เมื่อท่านพ่อกลับมาหลังจากเสร็จงานช่วงเช้า พวกเราก็จะออกเดินทางไปยังพระราชวังกันในทันที

หากเดินทางด้วยรถม้าจากที่นี่ไปยังเขตแดนใต้การปกครองของจักรพรรดิจะใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง และจากชานเมืองไปจนถึงตัวพระราชวังก็จะใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ

ท่านพ่อก็บอกว่าจะออกเดินทางโดยเผื่อเวลาให้มากเสียหน่อย จะได้พาเธอที่เพิ่งเคยมาพระราชวังเป็นครั้งแรกเที่ยวชมวังหลวง

งานเลี้ยงมื้อเย็นของจักรพรรดินีจะเริ่มขึ้นเมื่อยามพระอาทิตย์ตกดิน

ทั้งๆ ที่คืนนี้ตารางงานคงจะยุ่งน่าดูแท้ๆ แต่ช่วงเวลายามกลางวันกลับค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า

แต่แล้วในจังหวะที่กำลังเคลิ้มจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“เข้ามาเลยค่ะ”

พอเธอเอ่ยตอบออกไป ประตูก็ถูกเปิดออกอย่างระมัดระวัง ก่อนที่เอสทีร่าจะเดินเข้ามา

“สวัสดีค่ะ เอสทีร่า!”

เป็นแขกน่ายินดีที่เธอกำลังรออยู่เชียวเธอรีบลากเก้าอี้ที่วางอยู่ใกล้ๆ เข้ามาเพื่อให้เอสทีร่านั่ง

“เอาของที่ไหว้วานมาให้แล้วค่ะยานี่เสร็จสมบูรณ์ไปเมื่อหลายวันก่อนแล้ว แต่คุณหนูสั่งให้นำมาวันนี้ก็เลย…”

“อื้อๆ ใช่แล้ว! ขอบใจนะ!”

“นี่ค่ะ”

สิ่งที่เอสทีร่ายื่นมาให้คือ ขวดแก้วขนาดเล็กพอที่จะถือเอาไว้ในมือของเธอได้สบายๆ

ขวดแก้วใส่อยู่ในถุงที่ทำจากผ้าผืนหนาเพื่อไม่ให้เห็นของข้างใน เมื่อเธอคลายเชือกออกอย่างระมัดระวัง ก็สามารถตรวจเช็กได้ว่ามียาเมลคอนสีทองใส่อยู่เต็มขวด

“ว่าแล้วเชียว สมแล้วที่เป็นเอสทีร่า ช่วยเตรียมให้อย่างสมบูรณ์แบบตามที่ข้าขอร้องเลย ขอบใจนะ! ”

เธอเก็บมันใส่ลงในกระเป๋าถือใบเล็กที่วางอยู่ข้างๆ ด้วยความระมัดระวัง

มันเป็นของที่เธอตั้งใจจะพกไปที่พระราชวังด้วย

“คือว่า คุณหนู…”

“หืม? ทำไมเหรอ”

เอสทีร่าที่เฝ้ามองพฤติกรรมของเธออยู่นิ่งๆ เอ่ยเรียกเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“จะใช้ยาเมลคอนเป็นยาแก้พิษหรือคะ”

“…”

เธอไม่ได้ตอบอะไรออกไปแค่มองจ้องนัยน์ตาของเอสทีร่าเท่านั้น

ช่างเป็นนัยน์ตาที่กระจ่างใสเสียจริงใสมากเสียจนรับรู้ได้ว่า เหตุผลที่เอ่ยถามคำถามแบบนี้กับเธอ เป็นเพราะนางเป็นห่วงเธออย่างบริสุทธิ์ใจ

“ไม่ใช่เพื่อตัวข้าหรอก เพราะฉะนั้นอย่ากังวลมากเลย!”

เธอตั้งใจหัวเราะให้สดใสยิ่งขึ้น

“ถ้าอย่างนั้น…”

“ขอโทษนะ แต่คงบอกอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ แต่ก็จะเอาไปพระราชวังอย่างที่เอสทีร่าคาดเดาเอาไว้นั่นแหละ”

พอคำว่าพระราชวังหลุดออกมา สีหน้าของเอสทีร่าก็มืดครึ้มลงไปอีกระดับ

ไม่ว่ายังไงสำหรับคนทั่วไปแล้ว พระราชวังก็เป็นสถานที่ที่ลำบากและน่ากลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุดอยู่ดี

“ที่นั่นมีใครบางคนอยู่น่ะ คนที่จำเป็นต้องใช้ยาตัวนี้ ข้าจะมอบมันให้เขาคนนั้น”

“…ระวังตัวด้วยนะคะคุณหนู ข้าเป็นห่วงเพราะดูเหมือนคุณหนูที่ยังเด็กจะคิดทำเรื่องใหญ่เกินตัวน่ะค่ะ”

“ขอบใจนะที่เป็นห่วง เอสทีร่า อ๊ะ และก็…”

เธอโน้มกายเข้าหาเอสทีร่า กระซิบเสียงแผ่ว

“เรื่องนี้เป็นความลับของเราสองคนนะ เข้าใจมั้ย”

เสียงกระซิบแฝงความหยอกล้อเล็กน้อยของเธอ ทำให้เอสทีร่าพยักหน้าหนักแน่น ถึงแม้เธอจะพูดความจริงออกไปเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องกังวล แต่เธอไม่ระแวงว่าเอสทีร่าจะเล่าเรื่องของเธอให้ใครฟังหรอกเพราะเอสทีร่าเป็นคนรักษาสัญญา

ชาติที่แล้ว เธอรู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่จงรักภักดีต่อเจ้านายของนางอย่างไร้เงื่อนไข

“อ่า ถ้าท่านพ่อกลับมาไวๆ ก็คงจะดีสิ”

เธอพึมพำไปพลาง เหม่อมองถนนว่างเปล่าที่ไม่มีรถม้าขับผ่านแม้แต่คันเดียว

“ไม่ต้องเครียดมากนะ เทีย”

แคลอฮันเอ่ยพูดกับเทียเป็นรอบที่สิบในขณะที่นั่งอยู่ข้างในรถม้าที่เขย่าไปมา

“ข้าไม่เป็นอะไรสักหน่อยนี่คะ”

“เหรอ ค่อยโล่งอกหน่อย”

ลูกสาวตอบกลับอย่างห้าวหาญ แต่แคลอฮันทำได้เพียงแค่ยิ้มจางเท่านั้น

“พ่อไม่เป็นอะไรนะคะ? หน้าซีดไปหมดแล้ว”

“ไม่เป็นไร พ่อก็แค่ตื่นเต้นนิดหน่อยน่ะ”

“โธ่”

เทียตบหลังมือเย็นเฉียบของแคลอฮันด้วยมือเล็ก

มือเล็กคู่นั้นช่วยให้แคลอฮันรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้เล็กน้อย

“ว่าแต่กระเป๋านั่นอะไรหรือเทีย ท่าทางจะหนักน่าดู พ่อช่วยถือให้เอามั้ย”

แคลอฮันจงใจเบี่ยงเบนความสนใจ พยายามไม่คิดถึงงานเลี้ยงมื้อเย็นของจักรพรรดินี

“ไม่หนักเลยค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”

“ปกติก็ไม่เห็นจะถือกระเป๋าไปไหนมาไหนเลยข้างในใส่อะไรอยู่เหรอ”

กระเป๋าถือทรงกลมสีน้ำตาลเข้ากันกับชุดเดรสสีเขียวอ่อนที่เทียใส่อยู่ พอถูกถืออยู่ในมือเล็กก็ยิ่งขับให้ดูน่ารักมากขึ้นไปอีก

“ของขวัญค่ะ!”

“ของขวัญ?”

“…”

อัศวินได้แต่หลบสายตา ไม่อาจตอบอะไรออกไปได้

ช่วยไม่ได้สินะ

แคลอฮันถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยพูด

“ปล่อยเด็กไว้”

เสียงทุ้มต่ำราวกับเอ่ยเตือนนั้น ทำให้อัศวินลอบแลกเปลี่ยนสายตากับเพื่อนร่วมงานอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าตกลง

แคลอฮันก้าวลงจากรถม้า

พอหันไปมองรอบๆ ถึงได้พบว่าสถานที่ที่รถม้าหยุดจอดคือพระราชวังส่วนในซึ่งเป็นที่ตั้งวังของจักรพรรดินี

มันเป็นเพียงแค่หัวมุมถนนธรรมดาว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งป้อมยามรักษาการณ์ของอัศวินด้วยซ้ำ

ผ่านจุดแรกอย่างวังส่วนกลางที่มีสายตาคนมองอยู่มากมายมาแล้ว แต่เพิ่งจะมาสั่งให้หยุดรถม้าที่กำลังวิ่งมาตามปกติเพื่อขอตรวจค้นเอาตอนนี้

‘น่าจะพาอัศวินประจำตระกูลมาด้วยสักหลายนายหน่อย’

แคลอฮันเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลังเสียแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นรบกวนสักครู่…”

อัศวินเดินเข้ามาตั้งใจจะตรวจค้นตามตัวของแคลอฮัน

ความอัปยศที่ไม่เคยต้องเผชิญแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่ที่เกิดมา ทำให้แคลอฮันต้องพยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้บิดเบี้ยวไม่น่ามอง ก่อนจะเอ่ยพูด

“ไม่แตะต้องตัวข้าน่าจะดีกว่านะ”

อัศวินที่เดินเข้าไปใกล้เผลอผงะไปชั่วครู่

“ถ้าหากไม่อยากเสียตำแหน่งของเจ้าไป เพราะเลือกปฏิบัติจงใจมาตรวจค้นตัวข้า”

“อะแฮ่ม”

อัศวินก้าวถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวเมื่อเผชิญกับแรงกดดันของแคลอฮัน เขาเหลือบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายครู่หนึ่ง ก่อนจะกระแอมไอพลางพยักหน้าตกลง

“ดูเหมือนจะไม่มีอะไร ตรวจค้นเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เชิญกลับขึ้นรถม้าได้เลยครับ”

มันเป็นสถานการณ์น่าทุเรศที่ทำให้โมโหจนพูดอะไรไม่ออก

หลังจากที่จ้องเหล่าอัศวินด้วยนัยน์ตาเย็นชาเป็นครั้งสุดท้าย แคลอฮันก็เดินกลับขึ้นรถม้า

ไม่สิ ตั้งใจจะทำเช่นนั้นต่างหาก

แต่เมื่อมองเห็นข้างในรถม้าว่างเปล่า กับประตูรถม้าที่ถูกเปิดเคว้งทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ต้องหยุดชะงักตัวเกร็งมันทั้งอย่างนั้น

“ฟีเรนเทีย?”

ลูกสาวของเขาหายตัวไปแล้ว

Related

Related

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]