เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

เครย์ลีบันยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาไขว่ห้างอย่างผ่อนคลายพลางพูดว่า

“ไม่ใช่เรื่องงานของร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันหรอกครับ ร้านขายเสื้อผ้าตอนนี้ต่อให้ไม่มีข้า ก็อยู่ได้อย่างมั่นคงปลอดภัยดีแล้ว เพียงแต่เรื่องเขตแดนเชซายู…”

“เรื่องที่ดินทางใต้ที่ได้รับพระราชทานพร้อมเหรียญเกียรติคุณนั่นเอง ได้ยินว่าช่วงนี้ก็เดินทางไปยังเขตแดนเชซายูอยู่บ่อยๆ ใช่มั้ยครับ”

“ครับ มันเป็นสถานที่ที่เงียบสงบและมีอิสระเหมือนอย่างที่ท่านป้าบอกจริงๆ เพียงแต่…”

ความกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแคลอฮันอีกครั้ง

“ถึงแม้ข้าจะได้รับมอบที่ดินมาไว้ในครอบครอง แต่ดูเหมือนจะเป็นเพราะข้าไม่ได้สนใจมันมาเสียนานมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันละมั้งครับ สภาพคล่องทางการเงินของเขตแดนเชซายูจึงยังไม่ค่อยดีเลยครับ”

“ย่ำแย่ขนาดไหนถึงได้กังวลมากแบบนี้หรือครับ”

“อา แน่นอนว่าพวกพลเมืองก็ไม่ถึงกับอดอยากหรอกครับ แต่มันก็ค่าเท่านั้นอยู่ดี”

เชซายูเป็นเขตแดนขนาดไม่เล็ก อีกทั้งยังมีพลเมืองอาศัยอยู่นับหมื่น

พูดให้ชัดเจนก็หมายความว่า ชีวิตของคนนับหมื่นเหล่านั้น ในตอนนี้ขึ้นอยู่กับแคลอฮันแล้ว

มันทำให้แคลอฮันที่เพิ่งจะเริ่มดูแลบริหารเขตแดนเชซายูได้ไม่นาน รู้สึกได้ถึงภาระอันใหญ่หลวงที่เกินกว่าจะแบกรับไหว

“ปีที่การเพาะปลูกได้ผลผลิตสูงก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ อย่างไรก็มีอาหารให้กินกันอยู่แล้ว แต่ในปีที่มีภัยแล้งจนผลผลิตไม่ดีนัก มีอีกหลายร้อยชีวิตต้องล้มตายน่ะครับ เพราะทั่วทั้งเขตแดนก็พึ่งพาเพียงแค่เรื่องการเพาะปลูกอย่างเดียว”

“พูดตามตรง เขตแดนที่เลือกปกป้องรักษาชีวิตของสามัญชนในอาณาจักรแห่งนี้ กลับเป็นเรื่องแปลกมากกว่าครับ”

เครย์ลีบันพูดอย่างเลือดเย็น

“ข้าเองก็ทราบครับ แต่ว่า…”

รอยย่นปรากฏขึ้นบนหน้าผากของแคลอฮัน

“ข้าเห็นท่านพ่อบริหารจัดการลอมบาร์เดียมาตลอดทั้งชีวิตครับ ถึงแม้จะไม่ได้หวังให้เชซายูพัฒนาได้เหมือนลอมบาร์เดียในระยะเวลาอันสั้นก็เถอะ แต่อย่างน้อยข้าก็อยากให้มีวิธีที่พอจะทำให้พลเมืองในเชซายูได้ใช้ชีวิตกันอย่างมั่นคงหน่อยน่ะครับ เหมือนอย่างประชาชนของลอมบาร์เดีย”

“…โลภมากเหมือนกันนะครับเนี่ย”

แคลอฮันระเบิดหัวเราะเสียงดังด้วยความเขินอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเครย์ลีบัน

“ฮ่าฮ่า ใช่มั้ยล่ะครับ”

“แต่ก็ในฐานะของคนที่กลายเป็นผู้รับผิดชอบเขตแดนเขตหนึ่ง ก็ถือเป็นความกังวลที่เท่มากเลยนะครับ”

“ขะ ขอบคุณครับ ได้รับคำชมเช่นนั้นจากคุณเครย์ลีบันเลยหรือนี่”

“…หากใครมาได้ยินเข้า คงได้เข้าใจว่าข้าเป็นพวกเลือดเย็น ไม่รู้จักพูดจาดีๆ กับคนอื่นเขาบ้างหรอกครับ”

แต่แคลอฮันกลับหัวเราะกระอักกระอ่วน หลบเลี่ยงที่จะตอบคำพูดนั่น

เครย์ลีบันจ้องหน้าแคลอฮันที่ทำตัวเช่นนั้นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ

“นอกจากที่ดินกว้างใหญ่ให้ทำการเพาะปลูกแล้ว ผืนดินเชซายูยังมีทรัพย์สินอีกอย่างหนึ่งนะครับ”

“มันคือ…อะไรหรือครับ”

“แม่น้ำยังไงล่ะครับ เขตแดนเชซายูตั้งอยู่ในบริเวณการบรรทุกขนส่งของลุ่มแม่น้ำนกทาร์ที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่หรือครับ”

“อา…”

“และถ้าหากเดินทางผ่านแม่น้ำนกทาร์นั่นลงไปหน่อยละก็”

“มันจะไปตัดกับแม่น้ำเอลวี่ที่เชื่อมต่อไปจนถึงเขตแดนรูมันทางตะวันออกใช่มั้ยครับ! ”

“ใช่แล้วละครับ”

รอยยิ้มจางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเครย์ลีบัน

“ก็เหมือนกับว่าเชซายูเป็นจุดศูนย์กลางการคมนาคม ที่ช่วยเชื่อมต่อระหว่างภาคกลางกับภาคใต้นั่นแหละครับ ข้าคิดว่ามันมีจุดแกร่งมากพอจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางการค้า ที่สามารถเลี่ยงเส้นทางเดินเขาที่มักจะใช้เดินทางเชื่อมต่อไปจนถึงตะวันออกได้ด้วยครับ”

“ว่าแล้วเชียว คุณเครย์ลีบัน!”

เครย์ลีบันยักไหล่ไม่แยแสคำสรรเสริญของแคลอฮัน

ความหมายของมันคือ ‘เรื่องแค่นี้เอง’

ในตอนนั้นเอง บุตรชายฝาแฝดของชานาเนสก็เข้ามาร่วมโต๊ะของทั้งคู่

“ผู้หญิงคนนั้นมาที่นี่ทำไมเนี่ย”

“ก็คนมากมายมารวมตัวกันนี่นา คงมาเพื่อแสร้งทำเป็นว่าตัวเองเจ๋งเสียเต็มประดานั่นแหละ”

“พูดเรื่องอะไรกันหรือ คิลลีวู เมโลน”

คำถามของแคลอฮันทำให้สองแฝดแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตอบ

“องค์…จักรพรรดินีมาหาเรื่องเทียอีกแล้วน่ะสิครับ”

“คิดหาทางกดข่มเทียทุกครั้งที่เจอหน้ากันในงานเลี้ยงเลย”

“ทั้งๆ ที่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จเสียหน่อย แล้วจะพยายามทำอยู่เรื่อยทำไมเนี่ย”

“ท่านแม่ก็เหมือนกัน เพราะผู้หญิงคนนั้น…เพราะจักรพรรดินีเสด็จมาร่วมงาน ทำให้ท่านแม่รำคาญจนไม่ยอมมาร่วมงานเลี้ยง”

“อึก เกลียดชะมัด”

สีหน้าของแคลอฮันที่ได้ยินบทสนทนาของสองแฝดพลันมืดครึ้มในทันที

บั้นท้ายของเขาขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปแล้วด้วยซ้ำ

“ท่าทางข้าคงจะต้องไปดู…”

“ท่านฟีเรนเทียไม่เป็นอะไรหรอกครับ”

เครย์ลีบันเอ่ยห้ามแคลอฮันเอาไว้

“ไม่ต้องกังวลมากไปหรอกครับ”

น่าเป็นห่วงจักรพรรดินีที่คิดหาเรื่องท่านฟีเรนเทียมากกว่าละมั้ง

เครย์ลีบันลอบหัวเราะอยู่ในใจในขณะที่คิดเช่นนั้น

“ท่านฟีเรนเทียออกจะเฉลียวฉลาดปานนั้น ต่อให้เผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดินี ก็ย่อมผ่านมันไปได้โดยไม่มีการกระทบกระทั่งกันหรอกครับ”

“อย่างนั้นหรือครับ”

แคลอฮันพยักหน้าให้กับคำพูดของเครย์ลีบัน แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง

แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น

แคลอฮันอดทนเอาไว้ไม่ไหว เขาลุกขึ้นพรวดจากที่นั่ง

“ยังไงก็คงไม่ได้หรอกครับ”

“ท่านแคลอฮัน”

“ข้าคงต้องไปตรวจเช็กให้แน่ใจเสียหน่อย ว่าเทียเป็นอะไรหรือเปล่า”

“เทียไม่เป็นอะไรครับ”

แต่แล้วก็มีอีกเสียงเอ่ยห้ามแคลอฮันเอาไว้

เป็นเฟเรสที่ถูกรูลลักแย่งเวลาอยู่กับเทียไปนั่นเอง

“…เจ้าชายลำดับที่สอง?”

แคลอฮันถามด้วยเสียงไม่แน่ใจนัก เพราะเขาจำได้แต่เฟเรสในวัยเยาว์

“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะครับ ท่านชายแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย”

“กะ…เกือบจำไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

แคลอฮันตกใจจนพูดตะกุกตะกัก

เฟเรสเปลี่ยนไปมากจนน่าตกใจ

“ข้าเพิ่งไปพบเทียมาน่ะครับ ตอนนี้นางกำลังสนทนาอยู่กับท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงก็ได้ครับ”

“อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ…”

สีหน้าของแคลอฮันที่นิ่งเกร็งไปด้วยความเป็นห่วงบุตรสาวพลันสดใสขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

ในขณะเดียวกัน เครย์ลีบันที่ยืนอยู่ข้างกายแคลอฮันก็ได้แต่เบิกตากว้าง ไม่อาจละสายตาห่างไปจากเฟเรสได้เลย

เขาทราบดีอยู่แล้วว่า ฟีเรนเทียกับเฟเรสติดต่อหากันทางจดหมายอยู่เป็นประจำ

เพราะอย่างนั้นเขาจึงได้รับข่าวคราวของเจ้าชายลำดับที่สองจากท่านฟีเรนเทียอยู่บ่อยๆ เช่นกัน

เพียงแต่ข่าวสารที่เขาได้รับมีเพียงแค่เรื่องจำพวก ‘สนิทสนมกับใครบ้าง’ หรือไม่ก็ ‘สอบวิชาไหนได้ที่ 1 บ้าง’ เท่านั้น

เวลาล่วงเลยผ่านไป เขาได้เห็นฟีเรนเทียเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่เฟเรสที่เขาจดจำได้ก็เป็นเพียงแค่เด็กตัวน้อยที่จู่ๆ ก็ต้องเดินทางไปยังอะคาเดมีเท่านั้น

แต่เฟเรสที่ปรากฏตัวขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปได้หกปีคนนี้ กลับอยู่เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก

‘แรงกดดันมหาศาลนัก’

เครย์ลีบันคิดเช่นนั้นในขณะที่เหม่อมองเฟเรส

ตอนนี้อีกฝ่ายอาจจะกำลังสนทนากับแคลอฮันด้วยท่าทางอ่อนโยนก็จริง แต่ถ้าหากคนเช่นนั้นคิดว่าเขาเป็นศัตรู แล้วใช้สายตาคู่นั้นจับจ้องมาทางนี้ละก็

อึก

เครย์ลีบันถึงกับกลืนน้ำลาย นิ่วหน้าลงโดยไม่รู้ตัว

คนที่มีรังสีในระดับนั้นเท่าที่เขาเคยรู้จักมา มีเพียงแค่รูลลักคนเดียวเท่านั้น

เขาเองก็เคยไปร่วมงานเลี้ยงในวัง เคยได้พบหน้าองค์จักรพรรดิโยบาเนสอยู่หลายครั้งแล้วก็จริง แต่คนพวกนั้นไม่ได้มีแรงกดดันอันรุนแรงเหมือนอย่างเฟเรสเลยสักนิด

ขณะที่คิดเช่นนั้น

เครย์ลีบันก็เผลอสบเข้ากับนัยน์ตาสีแดงของเฟเรส

“ยังคงเหมือนเดิมเลยสินะ”

และเครย์ลีบันก็สามารถอ่านความรู้สึกทั้งหลายแหล่ที่วาบขึ้นมาในนัยน์ตาคู่นั้นเพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาที ถึงจะอ่านได้เพียงแค่น้อยนิดก็ตาม

“คุณชายเครย์ลีบัน เพลเลส เจ้าของร้านค้าเพลเลส”

มันเป็นความระแวดระวังที่มากพอจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ผสมผสานกับความรู้สึกสนใจเพียงเล็กน้อย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]