เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 3

เมื่อเจ้าชายผู้มักจะรักษาท่าทีสงบนิ่งไร้ความรู้สึกอยู่เสมอกลับหัวเราะออกมาเสียงแผ่ว แคลอฮันก็หัวเราะตามไปด้วย ถึงแม้จะแปลกใจอยู่บ้างก็ตาม

“ทำไมถึงได้หัวเราะล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

“…ตอนนี้พอจะทราบเหตุผลแล้วน่ะครับ”

เทียที่ไม่อาจมองข้ามปล่อยผ่านผู้คนที่ต้องเผชิญปัญหาอย่างยากลำบากไปได้ เขาเห็นภาพลักษณ์เช่นนั้นสะท้อนออกมาจากตัวของแคลอฮันด้วยเช่นกัน

นัยน์ตาสีเขียวส่องประกายอบอุ่นให้ความอ่อนโยนอยู่เสมอคู่นั้น

ริมฝีปากที่มักจะแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

เฟเรสพยักหน้าลงเล็กน้อย

“อะคาเดมีก็ไม่ได้แย่นักหรอกครับ”

“โล่งอกไปทีพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย เทียเป็นห่วงเจ้าชายมากเลยพ่ะย่ะค่ะ”

“…เทียหรือครับ”

เฟเรสมองแคลอฮันราวกับไม่อยากจะเชื่อ

“แน่นอนสิพ่ะย่ะค่ะ ‘เฟเรสต้องคบเพื่อนให้ได้เยอะๆ นะ’ นางเอาแต่พูดแบบนั้นอยู่หลายครั้งเลยทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

เฟเรสยกมือใหญ่ขึ้นปิดปาก

นางเป็นห่วงเขา

นางเป็นห่วงเขา

แค่นั้นก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นโครมครามด้วยความดีใจจนเหมือนจะกระดอนหลุดออกมาจากปากอยู่แล้ว

ในตอนนั้นเอง

“ทุกคนมานั่งรวมตัวกันอยู่ตรงนี้นี่เอง”

ก็พลันได้ยินเสียงกระจ่างใสดังขึ้น

เฟเรสหันมองไปทางฝั่งที่ได้ยินเสียงอย่างเชื่องช้า เพราะต่อให้ไม่หันไปมอง เขาก็ทราบดีว่าเจ้าของเสียงนั่นเป็นใคร

“เฟเรส ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้นล่ะ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอ”

สีหน้าของเขาไม่เคยมีใครที่ไหนล่วงรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางกลับมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่ทุกคราเหมือนมองผ่านผืนน้ำใส

แต่เรื่องของความรู้สึกที่เขาเก็บซ่อนมันเอาไว้อยู่ในใจจนถึงตอนนี้ เขาไม่อาจปล่อยให้นางล่วงรู้ได้เป็นอันขาด

เฟเรสเก็บซ่อนหัวใจที่สั่นไหวเอาไว้ เขาส่ายศีรษะพลางตอบออกไปสั้นๆ

“เปล่าหรอก ไม่มีเรื่องอะไร”

* * *

ตามกำหนดแล้วงานเลี้ยงจะต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงรุ่งสาง

แต่ทว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเธอมีงานยุ่งวุ่นวายให้ต้องทำ เธอจึงต้องปลีกตัวออกจากงานเลี้ยงก่อนเที่ยงคืน

เฟเรสเดินตามหลังเธอออกมา บอกว่าจะพาเธอไปส่ง

“ไม่เห็นจำเป็นต้องไปส่งกันเลยก็ได้”

“คฤหาสน์ลอมบาร์เดียกว้างใหญ่เกินไป ข้าจะเดินไปด้วยจนถึงหน้าคฤหาสน์หลังเล็กของเจ้านะ”

ระยะทางระหว่างสถานที่จัดงานเลี้ยงกับบ้านของเธอไม่ได้ไกลอะไรขนาดนั้น

ระหว่างที่เดินไปบนเส้นทางที่คุ้นเคยดีอยู่แล้ว เธอก็ถามเฟเรสขึ้นมา

“แล้วพวกเพื่อนๆ ที่จบการศึกษาจากอะคาเดมีด้วยกันล่ะ จะมาเมื่อไหร่ ไหนว่าตามเจ้ากลับมาเมืองหลวงด้วยไง”

“อีกไม่นาน ตอนนี้คงกำลังเดินทางมากันอยู่”

“ถ้ามาแล้วก็แนะนำให้ข้ารู้จักด้วยนะ อยากรู้จัง”

“…อยากรู้?”

“แน่นอนสิ คนที่เฟเรสเป็นคนเลือก…ไม่สิ ก็เป็นเพื่อนๆ ของเจ้านี่นา”

ถ้าหากเฟเรสเลือกคนกลุ่มเดียวกันกับเมื่อในชีวิตก่อนละก็ เธอแค่ช่วยเหลือเขาบ้างเล็กน้อยเพื่อหนทางในการเป็นองค์รัชทายาทของเขาก็น่าจะพอแล้ว

แต่ถ้าหากไม่ใช่…

ถึงตอนนั้นเธอก็แค่ช่วยเหลือเขาให้มากขึ้นหน่อยก็ได้

เธอไม่ได้คิดอะไรมากนัก ในขณะที่เดินต่อไปตามทาง

เผลอแป๊บเดียวพวกเราก็มาถึงหน้าคฤหาสน์หลังเล็กของเธอ

“งั้นเอาไว้ค่อยเจอกันนะ”

เธอยื่นมือออกไปเขย่ามือเฟเรส แล้วหันหลังเดินจากไป

และหลังจากก้าวไปได้ไม่กี่ก้าว ก็นึกถึงคำพูดที่ลืมบอกเฟเรสไปเสียสนิท จึงหยุดเดินอีกครั้ง

“เฟเรส”

“อื้อ?”

“เหนื่อยหน่อยนะ ยินดีด้วยที่เรียนจบ”

ดันเผลอลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไปเสียได้

สติเธอนี่นะ

เฟเรสกะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนจะตกใจไปเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานเขาก็หัวเราะเบาๆ

“ได้ยินว่าเทียเป็นห่วงข้าด้วย”

“…พ่อใช่มั้ย”

เฟเรสพยักหน้า

“ก็นะ เจ้าต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานที่แห่งใหม่ เพราะฉะนั้นข้าก็เลยเป็นห่วงเรื่องพวกนั้นน่ะสิ แต่ไม่เคยกังวลว่าเจ้าจะไม่ประสบความสำเร็จหรอกนะ”

“สักครั้งก็ไม่เคย?”

“อื้อ ไม่เคยเลยสักครั้ง”

เฟเรสน่ะ เป็นคนที่ขนาดอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เลวร้ายกว่านี้ เขาก็เคยจบการศึกษาจากอะคาเดมีด้วยผลการเรียนอันยอดเยี่ยมมาแล้ว

ครั้งนี้เธอสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าเดิมให้เขาถึงขนาดนี้ ย่อมไม่มีทางที่จะล้มเหลวได้อยู่แล้วละ

“…ขอบใจนะ”

“เรื่องเล็กน้อย”

เธอยกมือขึ้นโบกอีกครั้ง แล้วจึงเดินกลับเข้าไปด้านในคฤหาสน์

เดินผ่านโถงทางเดินเงียบสงัด ก้าวขึ้นไปบนบันได ไม่นานก็มาถึงหน้าห้องของเธอ

ประตูเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย

ตั้งใจว่าจะพักสักหน่อยแท้ๆ คงไม่ได้พักเสียแล้วสินะ

เธอถอนหายใจเสียงแผ่ว ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน

ภายในห้องมืดสนิท ไม่มีสิ่งใดดูแตกต่างไปจากตอนที่เธอออกจากบ้านเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงเลยแม้แต่จุดเดียว

แต่หลังจากที่เธอเปิดไฟไล่ความมืดให้ความสว่างไปทั่วห้อง

เธอพูดพลางถอดแหวนที่สวมอยู่บนนิ้ว ปลดต่างหูออกทีละข้าง

“น่าจะเปิดไฟสักหน่อยสิ ทำไมถึงอยู่ในห้องมืดๆ แบบนี้ล่ะคะ เบ๊ต”

ทันใดนั้นเบ๊ตที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ที่วางไว้ตรงบริเวณมุมห้องก็ลุกขึ้นทันที

“งานเลี้ยงสนุกมั้ยครับ”

“ก็รู้อยู่ว่าข้ารำคาญพวกงานเลี้ยง”

“ฮ่าฮ่า ก็นี่เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของท่านฟีเรนเทีย ข้าก็นึกว่าจะแตกต่างไปน่ะสิครับ”

ในระหว่างที่เธอเติบโตขึ้นจนเป็นผู้ใหญ่ กิลด์ข้อมูลของเบ๊ตเองก็พัฒนาขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ

ตอนนี้ข้อมูลทั้งหลายที่ได้รับผ่านทางคาราเมล อเวนิว ถือว่าเชื่อถือได้สุดๆ เลยละ

“ถ้าถึงกับมาหาข้าถึงบ้านในเวลาแบบนี้ แสดงว่าคงมีเรื่องใหญ่สินะคะ”

เธอถอดสร้อยคอที่สวมอยู่บนคอออกเป็นสิ่งสุดท้ายพลางถาม

“…สั่งให้ข้าไปสืบเกี่ยวกับกลุ่มการค้าโมนัคไม่ใช่หรือครับ”

“อา ใช่ค่ะ”

เธอตอบพลางเดินไปยังริมหน้าต่างอย่างเชื่องช้า

เฟเรสยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาคงตั้งใจจะเช็กให้แน่ใจว่าห้องของเธอเปิดไฟแล้ว และไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น

“ข้าทราบแล้วครับว่าเจ้าของกลุ่มการค้าโมนัคเป็นใคร”

“อ๊า ว่าแล้วเชียวสมกับเป็นเบ๊ตจริงๆ แล้วใครล่ะคะ คนที่ทำให้ร้านค้าเพลเลสของพวกเราต้องลำบาก”

เธอพูดขึ้นในขณะเดียวกันก็โบกมือให้เฟเรสอีกครั้ง

เฟเรสที่เงยหน้าขึ้นมองเธอก็โบกมือส่งกลับมาให้เธอเช่นกัน ก่อนที่เขาจะหมุนตัวเดินกลับไปยังโถงจัดงานเลี้ยงอีกรอบ

เป็นเพราะแสงไฟที่ช่วยส่องสว่างที่ถนนหรือยังไงกันนะ

เงาเข้มที่ทอดยาวตามหลังเฟเรสที่หมุนตัวเดินจากไป มันถึงได้ให้ความรู้สึกมืดมนดูหน่วงใจชอบกล

เบ๊ตพูดกับเธอที่ยืนมองภาพด้านนอกข้างล่างนั่น ในขณะที่ยืนพิงกรอบหน้าต่างรับสายลมยามค่ำคืนพัดผ่านเข้ามา

“เจ้าของกลุ่มการค้าโมนัคก็คือ เจ้าชายลำดับที่สองเฟเรส บรีบาเชาว์ ดิวเรลลี่ครับ”

โปรดติดตามต่อเล่ม 4

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]