เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 4

ตอนที่ 129

ณ สำนักงานของร้านค้าเพลเลส

“…ว่ายังไงนะครับ”

เครย์ลีบันที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการจัดการงานในช่วงเช้าตกใจจนถึงกับต้องวางปากกาลง ในขณะที่เอ่ยถามกลับไป

เธอพูดให้เขาฟังอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้นิ่งสงบมากที่สุด

“เฟเรสเป็นเจ้าของกลุ่มการค้าโมนัคค่ะ”

“…จริงหรือครับ”

เครย์ลีบันหันไปถามเบ๊ตที่นั่งอยู่ข้างเธอ

“ครับ ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วครับ ข้าเองก็ตกใจเช่นกัน ถึงได้แจ้งให้ทราบหลังจากตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีกหลายครั้งจนแน่ใจครับ”

“มะ ไม่สิ…จะเป็นไปได้ยังไง…”

เครย์ลีบันยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตน เขาพูดอะไรไม่ออกจริงๆ

เธอเข้าใจความรู้สึกนั้นดีเลยละ

ตอนที่เธอได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก เธอเองก็ตกใจมากเหมือนกัน

ไม่รู้ว่าเธอถามเบ๊ตไปกี่ครั้งแล้วว่าเขาแน่ใจใช่มั้ย เหมือนกับที่เครย์ลีบันกำลังถามอยู่ตอนนี้นี่แหละ

เธอช่วยเติมน้ำให้เครย์ลีบันด้วยความรู้สึกเหมือนเห็นภาพของตัวเองเมื่อคืน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

“ดื่มน้ำสักแก้วก่อนนะคะ แล้วใจเย็นๆ ก่อน”

“ครับ…”

เครย์ลีบันดื่มน้ำอึกๆ แต่ก็ยังคงงุนงงตั้งสติไม่ได้อยู่ดี

เขากะพริบตาปริบๆ ด้วยใบหน้าเหม่อลอย ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่วราวกับในที่สุดก็ตระหนักเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

“เพราะอย่างนั้นถึงได้ระแวงข้าขนาดนั้น ในเมื่อทางเหนือกำลังแข่งขันกับร้านค้าเพลเลสอยู่ตลอด…”

“มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอคะ”

“ครับ ที่งานเลี้ยงน่ะครับ ก่อนที่ท่านฟีเรนเทียจะกลับมาร่วมโต๊ะ…”

“อย่าใส่ใจมากไปเลยค่ะ ถ้าหากเฟเรสคิดระแวงกันจริงๆ เขาคงจะเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ในใจได้อย่างมิดชิดอยู่แล้ว ขนาดที่ไม่มีใครสังเกตเห็นได้เลยละค่ะ”

“ก็นะ คงเป็นเช่นนั้นแหละครับ…”

เครย์ลีบันพยักหน้ายอมรับ เขาได้แต่หัวเราะเยาะตัวเอง

“คิดว่าต้องเป็นพ่อค้ามากประสบการณ์แท้ๆ รู้สึกเหมือนโดนใครตีเข้าที่ท้ายทอยเลยครับ…”

“อา ที่พูดมานั่นก็ถูกต้องแล้วละครับ”

เบ๊ตหยิบช็อกโกแลตสำหรับแขกที่วางเตรียมไว้บนโต๊ะใส่ปากหนึ่งชิ้น ก่อนจะเอ่ยว่า

“กลุ่มการค้านั่นสร้างขึ้นมาภายใต้ชื่อของพ่อค้าวัยกลางคนนามว่าโนเชียร์ครับ แต่เจ้าของที่แท้จริงคือเจ้าชายลำดับที่สอง”

“อะไรกัน งั้นก็เหมือนข้ากับเครย์ลีบันเลยสินะคะเนี่ย”

“อา…”

ถึงแม้จะพูดออกไปอย่างสงบ แต่เธอเองก็ตกใจมากเหมือนกัน

เพราะในชีวิตก่อนเธอไม่เคยได้ยินชื่อกลุ่มการค้าโมนัคเลยสักครั้ง

“จะว่าไปเจ้าชายลำดับที่สองก็ไม่ธรรมดาเลยนะครับยืมนามคนอื่นสร้างกลุ่มการค้าขึ้นมาแบบนี้ อ๊ะ แน่นอนว่าเทียบกับคุณหนูฟีเรนเทียไม่ได้หรอกนะครับ”

เครย์ลีบันกลับมามีท่าทางสงบนิ่งใจเย็นเหมือนทุกวัน เขาเน้นย้ำปลายประโยคที่เอ่ยชมเธอราวกับกลัวเธอจะน้อยใจอย่างไรอย่างนั้น

“แต่ถ้าเป็นแบบนี้เจ้าชายลำดับที่หนึ่งก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าชายลำดับที่สองอีกต่อไปแล้วละครับ”

“ตั้งแต่แรกก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกันอยู่แล้วนี่คะ”

ไอ้อาสทาน่าบ้านั่นจะไปเทียบอะไรได้

“แต่เบื้องหลังเจ้าชายลำดับที่หนึ่งยังมีจักรพรรดินีอยู่ คงไม่ใช่การต่อสู้ที่ง่ายนักหรอกครับ”

“จักรพรรดินีราวีนี่ไม่ใช่คู่มือที่จัดการได้ง่ายแน่ค่ะ”

เรื่องอื่นเธอไม่รู้หรอก แต่ความสามารถทางการเมืองของจักรพรรดินีที่ประเมินจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ หรือรู้ได้ในทันทีว่าคู่ต่อสู้ต้องการอะไรในปราดเดียวนั่น เป็นสิ่งที่เธอเองต้องยอมรับว่านางมีฝีมือจริงๆ

“ช่วงนี้จักรพรรดินีดูจะขยันขันแข็งทีเดียวนะคะ”

กระทั่งเบ๊ตเองก็ยังเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ

“ช่วงหลังมานี่ก็เห็นว่าค่อนข้างสนิทสนมกับไอบันทางเหนือมากพอตัวเลยครับ ทั้งยังเรียกตัวทางนั้นให้ไปเข้าเฝ้าที่วังจักรพรรดินีอยู่บ่อยครั้งด้วย”

“คงคิดจะวางรากฐานสำหรับขึ้นเป็นองค์รัชทายาทนั่นแหละค่ะ”

การเลือกตัวเจ้าชายที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ไม่ว่ายังไงก็เป็นอำนาจสิทธิ์ขาดขององค์จักรพรรดิแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีขั้นตอนที่ต้องผ่านการเห็นชอบจากขุนนางประจำอาณาจักรอย่างเป็นทางการเสียก่อนหากจักรพรรดิต้องการจะแต่งตั้งองค์รัชทายาท ขั้นแรกคือจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากทางสภาขุนนางหากเสียงส่วนใหญ่ของสภาขุนนางให้ความเห็นชอบ หลังจากนั้นก็ยังจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากตัวแทนแต่ละภาคทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก และภาคกลางของอาณาจักรอยู่ดี จากนั้นการลงคะแนนเสียงจึงจะถือว่าได้รับการยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์

ตัวแทนของแต่ละภาคนั้นคือตระกูลที่ครอบครองเขตแดนที่กว้างใหญ่ที่สุดของแต่ละพื้นที่

รูมันจากภาคตะวันออก เซอเชาว์จากภาคใต้ อังเกนัสจากภาคตะวันตก ไอบันจากภาคเหนือ และสุดท้าย ลอมบาร์เดียจากภาคกลาง

ในปัจจุบันเป็นเช่นนั้น

และเนื่องจากระเบียบขั้นตอนเหล่านี้มีอำนาจบังคับทางกฎหมายที่สำคัญถ้าหากวันที่ได้รับการแต่งตั้งไม่อาจบรรลุเงื่อนไขนี้ได้ทั้งหมด ก็จะไม่ได้รับสิทธิ์ในฐานะองค์รัชทายาทที่ ‘ชอบธรรม’

ถึงแม้เป็นที่แน่นอนว่ากรณีส่วนใหญ่แล้ว พวกขุนนางมักจะเอนเอียงตัดสินใจตามองค์จักรพรรดิก็ตามที

“ก่อนอื่นเจ้าชายลำดับที่สองจำเป็นต้องได้รับความนิยมจากทางสภาขุนนางเสียก่อน และในเมื่อองค์จักรพรรดิเองก็ยอมให้เขามีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุมใหญ่แล้ว ปัญหาเรื่องนั้นก็คงแก้ไขได้ไม่ยากนะครับ”

คำพูดของเครย์ลีบันถูกต้องแล้ว

ในชีวิตก่อนพวกสภาขุนนางเองก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ขวางหน้าเฟเรสเช่นกัน

ปัญหาคือ

“กุญแจหลักคงจะเป็นการได้รับความเห็นชอบจากตระกูลตัวแทนของแต่ละภาคสินะครับ”

เครย์ลีบันขยับแว่นสายตาพลางเอ่ยว่า

“ต่อให้เกลี้ยกล่อมตระกูลอื่นได้ แต่อังเกนัสทางตะวันตกจะทำยังไงได้ล่ะครับ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์แท้ๆ”

เบ๊ตเอียงคอถามด้วยความสงสัย

ในชีวิตก่อนไม่ใช่แค่อังเกนัสจากทางตะวันตกเท่านั้น แต่เฟเรสต้องเผชิญหน้ากับลอมบาร์เดียที่ตั้งตัวอยู่ฝ่ายตรงข้ามเขาด้วย

และสำหรับภาคตะวันตก เฟเรสก็ได้จัดการปัญหาเรื่องนี้ด้วยการลากอังเกนัสลงจากการเป็นตระกูลตัวแทน ส่วนลอมบาร์เดียจากภาคกลางก็โดนข้อหาหลบเลี่ยงภาษีและวางแผนก่อการกบฏ ทำให้ต้องปิดประตูคฤหาสน์โดนล้มล้างทั้งตระกูลยังไงล่ะ

“เจ้าเด็กน่ากลัว”

พอนึกถึงภาพของเฟเรสในชีวิตก่อนที่มีแต่ความอาฆาตพยาบาทขึ้นมา ไหล่ของเธอก็สั่นเทาไม่หยุด

ทำให้เครย์ลีบันหันมามองเธอด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย

“ท่านฟีเรนเทีย”

“ไม่มีอะไรค่ะเรื่องเฟเรสกับกลุ่มการค้าโมนัคน่ะช่างเถอะ ทางเราล่ะคะ เป็นยังไงกันบ้าง”

“ถึงแม้กลุ่มการค้าโมนัคจะน่ารำคาญไปบ้าง แต่โล่งอกที่ทางเราก็จัดการซื้อต้นทรีบ้าได้ค่อนข้างมั่นคงแล้วครับ”

“ดูเหมือนไวโอเล็ตคงจะพยายามอย่างหนักเลยสินะคะเนี่ย”

“ไม่รู้จักยอมแพ้เลยสักนิด ท่านฟีเรนเทียเองก็ทราบนิสัยของไวโอเล็ตดีไม่ใช่หรือครับ นางยอมตายดีกว่าทำให้ท่านฟีเรนเทียต้องผิดหวัง”

คำพูดของเครย์ลีบันทำให้เธอต้องหัวเราะออกมา เพราะมันเป็นเรื่องที่ห้ามปรามไม่ได้เลยจริงๆ

เพราะในบรรดาคนที่เธอรู้จักทั้งหมด ไวโอเล็ตเป็นคนที่ขยันและทุ่มเทมากที่สุดแล้ว

“แต่ยังไงก็ต้องรู้จักพักบ้างสิคะตั้งแต่ปีที่แล้วพวกเราก็รวบรวมต้นทรีบ้ามาโดยตลอด ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทกว้านซื้ออีกก็ได้ค่ะ”

“ถ้างั้นให้แจ้งไวโอเล็ตว่าอะไรดีครับ”

“จะซื้อต้นทรีบ้าต่อก็ได้ แต่บอกให้นางลดความถี่ในการแข่งขันกับกลุ่มการค้าโมนัคลงนะคะ เพราะยังไงทางนั้นเองก็คงจะมีเรื่องให้ต้องใช้ต้นทรีบ้าน่ะค่ะ”

ถึงแม้เธอจะรู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอยู่แล้วก็เถอะ แต่เธออยากจะเฝ้ามองดูว่า เฟเรสวางแผนตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

“เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปที่ร้านก่อนนะครับ”

เบ๊ตกล่าวลาบอกว่าหมดธุระของเขาแล้ว ก่อนจะเดินออกไปจากสำนักงาน

ส่วนเครย์ลีบันกับเธอยังต้องอยู่ประชุมกันต่อ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]