เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] นิยาย บท 47

สรุปบท ตอนที่ 47.2: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]

อ่านสรุป ตอนที่ 47.2 จาก เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 47.2 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายแฟนตาซี เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล ตอนที่ 47.2
ตอนที่ 47.2

“ว่าไงนะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”

รูลลักระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นจนตัวงอ

“ใช่ เป็นเรื่องที่น่าโล่งอกมากเลยใช่มั้ยล่ะ ว่ามั้ย ที่หลานสาวของข้าไม่เหมือนข้า ไม่มีส่วนใดแปดเปื้อนสกปรก”

และวินาทีนั้นเอง รอยยิ้มบนใบหน้าของรูลลักก็จางหายไป

เขากล่าวเตือนสั้นๆ

“ดังนั้นอย่าได้คิดที่จะเข้ามาเกาะติดทำให้หลานสาวของข้าต้องแปดเปื้อนเพราะเจ้า นางไม่ใช่เด็กที่คนอย่างเจ้าจะปรารถนาอยากครอบครอง เข้าใจหรือไม่”

รูลลักยังคงจดจำแววตาของเฟเรสยามที่มองฟีเรนเทียเมื่อครู่นี้ได้

มันไม่ใช่มิตรภาพอันแสนบริสุทธิ์ของเด็ก

มันคือถ่านไฟคุกรุ่นที่แค่เวลาผ่านไปอีกหน่อย หากเติบโตมากขึ้นกว่านี้ อีกไม่นานก็คงจะปะทุจนลุกโชนเป็นเปลวไฟสีแดงเพลิง

การที่เฟเรสเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของจักรพรรดิ มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรขนาดนั้น

สำหรับลอมบาร์เดียแล้ว การที่เขาเป็นสมาชิกราชวงศ์ถือว่าเป็นคะแนนลบด้วยซ้ำไป

เฟเรสไม่ได้ตอบอะไรออกไป รูลลักเองก็ไม่ต้องการคำตอบจากเด็กคนนี้เช่นกัน

อย่างไรเสียตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็ไม่ต่างอะไรกับการที่สิทธิ์ในการมีชีวิตของเฟเรสอยู่ในกำมือของรูลลักอยู่แล้ว

คนที่ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นสุนัขหรือเสืออย่างเด็กคนนี้ หากคิดอยากเข้าใกล้หลานสาวของเขามากเกินควร เขาก็แค่ดึงเชือกในมือก็จบ

รูลลักเหลือบมองเฟเรสอย่างมีเลศนัยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเดินเข้าไปหาหลานสาวด้านใน

“ฟีเรนเทีย อยู่ที่ไหน!”

เสียงใจดียามเปิดประตูวังเล็กตะโกนเสียงดังนั่นฟังราวกับเป็นคนละคน

ระหว่างที่เฟเรสกับท่านปู่กำลังสนทนากัน เธอกำลังเดินสำรวจข้างในวังเล็ก

ข้างในวังมันกว้างและใหญ่สมกับเป็นอาคารหลังหนึ่ง แต่วังที่ไม่ได้รับการดูแลเลยแม้แต่น้อยนี่มันช่างดูเปล่าเปลี่ยวเหลือเกิน

เธอเหยียบบันไดหินอย่างระมัดระวัง ก้าวเดินขึ้นไปยังชั้นสอง

แม้แต่ขั้นบันไดยังผุพังหลายจุด จนต้องคอยระวังทุกย่างก้าว

แน่นอนว่าไม่มีใครคอยจุดไฟตามโคมไฟให้ โถงทางเดินจึงมืดสลัว ฝั่งตรงข้ามมีเพียงประตูบานหนึ่งที่ถูกเปิดทิ้งไว้

“โห จริงๆ เลย…”

ฟีเรนเทียลองเปิดประตูห้องนอนเข้าไปดู แล้วก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งต้องอาศัยอยู่เพียงลำพังโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล เธอเลยนึกว่ามันจะสกปรกรกรุงรังไปหมดเสียอีก แต่นี่มันแตกต่างจากที่เธอคาดการณ์เอาไว้สุดๆ

หากเป็นเช่นนั้นบางทีเธออาจจะไม่ตกใจแบบนี้

ห้องนอนของเฟเรสนั้นว่างเปล่า

ทั้งห้องมีเพียงแค่เตียงนอนหลังใหญ่ เครื่องเรือนเรียบง่าย และหนังสือที่วางกองอย่างเป็นระเบียบ

นอกจากจานชามที่ถูกวางทิ้งไว้อยู่หน้าเตาผิง ก็ไม่อาจมองหาร่องรอยที่บ่งบอกว่าห้องนี้มีคนอาศัยอยู่ได้เลย

ไม่มีของประดับตกแต่งทั่วไป ไม่มีแม้กระทั่งข้าวของที่ดูมีค่าเลยสักชิ้น

แต่ก็อย่างว่า ในวังที่ไม่มีเจ้าของทั้งยังปล่อยให้เด็กตัวเล็กๆ อาศัยอยู่คนเดียวตามลำพังใครมันจะไปเหลือข้าวของมีค่าทิ้งไว้ให้กันล่ะ

“อา…”

นอกจากของสองสิ่งที่เธอพบตอนนั่งลงบนเตียง

ดาบไม้บนเตียงกับขวดยาที่เธอมอบให้

บนผ้าห่มที่วางกระจัดกระจายอยู่บนเตียง มีแค่ของสองอย่างนี้วางทิ้งเอาไว้

ในตอนนั้นเองก็พลันได้ยินเสียงตะโกนเรียกของท่านปู่

แต่ก็นะ คงไม่มีเรื่องอะไรมากหรอก

ฟีเรนเทียพับความสงสัยเก็บกลับไป ในขณะที่ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปหาเฟเรส

เด็กนี่เอาแต่มองหน้าเธอราวกับจะถามว่าหมายความว่ายังไง

“ไปกันเถอะ ข้าเอาของมาให้เจ้าตั้งเยอะแน่ะ”

ทางเดินขึ้นบันไดค่อนข้างลำบากพอควร

ถ้าเด็กตัวผอมบางขนาดนี้เผลอก้าวพลาด อาจจะหกล้มตกลงไปจนบาดเจ็บหนักเลยก็ได้

มือของเธอที่ยื่นออกไปมีความหมายเช่นนั้น

ไม่รู้ว่าปกติเขาเป็นคนที่ทำอะไรเชื่องช้าอยู่แล้วหรือเปล่า เฟเรสกะพริบตาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือของเธอ

เธอจับมือที่ยื่นมาหาอย่างเงอะๆ งะๆ เอาไว้แน่น แล้วเป็นฝ่ายเดินนำเขาขึ้นบันไดไป

เธอคิดอยู่ว่าหรือเขาจะไม่อยากจับมือเธอ แต่โล่งอกที่เด็กนี่เดินตามเธอมาทีละก้าวๆ อย่างเงียบๆ

และในตอนที่มาถึงห้องนอน เฟเรสก็จับมือเธอเอาไว้แน่นกว่าเดิมเสียแล้ว

โยบาเนสเดินไปตามโถงทางเดินในพระราชวังด้วยใบหน้าบึ้งตึง

ทุกจังหวะก้าวเดินนั้นเต็มไปด้วยความร้อนรน

ทันทีที่มาถึงห้องทรงงาน อัศวินหน้าประตูห้องก็รีบเปิดประตูให้เขาทันที

พระอาทิตย์สีแดงลอยเด่นขึ้นส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาให้ความสว่างไปทั่วห้องทำงานและภายในห้องก็มีบุคคลหนึ่งกำลังนั่งรอต้อนรับโยบาเนสท่ามกลางแสงแดดอันแสนอบอุ่นนั่น

“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

คนคนนั้นคือรูลลัก ลอมบาร์เดีย ที่กำลังนั่งดื่มชาอย่างผ่อนคลายราวกับที่นี่เป็นห้องทำงานของตัวเอง

Related

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล]