“คุณพูดว่าประธานเหลิงยุ่งมาก ไม่มีเวลาให้สัมภาษณ์งั้นเหรอครับ?” ตอนที่บก.จางได้รับโทรศัพท์ของผู้ช่วยเหมยนั้น ขนคิ้วก็จวนจะขมวดเข้าหากันเป็นหนอนเส้นหยักสองเส้นอยู่แล้ว
หลังจากก่อตั้งนิตยสาร《บุกเบิก》 มีอิทธิพลจนแสดงให้เห็นเต็มสองตา ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่า ในโลกของเมืองเซี่ยงไฮ้นี้ แต่คิดอย่างปกติหากต้องการเดินในวงการธุรกิจให้ได้ไกลมากขึ้น ใครที่จะไม่เต็มใจสร้างมิตรภาพที่ดีกับพวกเขาบ้างล่ะ?
แต่ท่านนี้เพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก สาวน้อยที่เพิ่งขึ้นมานั่งเป็นประธานบริษัทแต่กลับปฏิเสธเสียดื้อๆ เลยเหรอ?
ไม่เคยเจอการแข็งข้อแบบนี้มานานมากแล้ว กระทั่งถึงขนาดที่ว่า บก.จางรู้สึกเบลอไปชั่วขณะ
“ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงค่ะ ประธานเหลิงเพิ่งเข้ามารับช่วงต่อบริษัท ซึ่งในเวลานี้มีเรื่องมากมาย ไม่สามารถปลีกเวลาได้จริงๆ ค่ะ” ผู้ช่วยเหมย พยายามเต็มที่ในการแสดงความหมายปฏิเสธในทางอ้อมไปแล้ว ช่างน่าเสียดาย คำปฏิเสธก็คือปฏิเสธ เรื่องประเภทนี้ จะแสดงความหมายปฏิเสธทางอ้อมยังไง ผลลัพธ์ก็เหมือนกันอยู่ดี
บก.จางแสดงสีหน้าดูย่ำแย่เล็กน้อย แต่ก็เก็บอาการเอาไว้ และพยายามมุ่งมั่นให้ได้มา “ผมรู้ว่าคำขอร้องนี้ของพวกเรามันดูลวกๆ ไปหน่อย แต่รบกวนผู้ช่วยเหมยช่วยสอบถามให้หน่อย ผ่านช่วงนี้ไปแล้ว ประธานเหลิงจะว่างแล้วใช่มั้ย จนสุดท้าย เธอยอมรับสัมภาษณ์ จะกลายเป็นประโยชน์ที่ดีมากสำหรับบริษัทจางซื่อ ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นการโฆษณาให้กับบริษัทของท่านไปโดยปริยาย มีแต่กำไรและไม่เสียผลประโยชน์ ใช่มั้ยครับ?”
ผู้ช่วยเหมยตกใจเล็กน้อย
《บุกเบิก》ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะสัมภาษณ์ให้ได้ใช่หรือไม่? ขนาดปฏิเสธตรงๆ ขนาดนี้แล้ว ยังกัดไม่ปล่อย
แม้ว่าสุดท้ายจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรก็ตาม แต่คำพูดของอีกฝ่ายพูดถึงขนาดนี้แล้ว และไม่มีที่เหลือเอาไว้ปฏิเสธได้สักนิด จนดูไม่ดีเสียแล้ว เธอแสดงความหมายว่าจะไปขอคำแนะนำจากเหลิงหยุนฉีให้อีกครั้ง ถึงเวลานั้นจะติดต่อเขากลับไปเอง
หลังจากวางสายไปแล้ว คนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมของสำนักพิมพ์นิตยสาร《บุกเบิก》อดกลั้นจนทนไม่ไหวกันทุกคน
“นี่มันก็ช่างทำตัวเลิศหรูเกินไปแล้วมั้ง นิตยสารของพวกเราไม่ใช่พวกกระจอกงอกง่อยพรรค์นั้น มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของทั่วทั้งประเทศยังปลีกเวลามาให้พวกเราสัมภาษณ์ เธอก็แค่มือใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่วงการธุรกิจ วางตัวจองหองเกินไปหน่อย” คนที่กล่าวออกมา คือ “ผู้มีอำนาจที่สุด” ของสำนักพิมพ์นิตยสาร นักข่าวหลินมีอัตราการยอมรับในการเขียนงานสูงที่สุดของทุกปี
“ก็ใช่ ทางเราสัมภาษณ์เธอ ซึ่งมันมีประโยชน์กับเธอมาก ตอนนี้มันเป็นยุคของสื่อสารมวลชนแล้ว คนอื่นอีกมากมายเขาอยากจ่ายเงินเพื่อให้พวกเราไปสัมภาษณ์ พวกเรายังไม่ตกลงเลยเนี่ย...”
มีคนจำนวนไม่น้อยคอยเสริมทัพอยู่ด้านข้าง
“พอแล้ว!” บก.จางตบโต๊ะ เวลานั้น ภายในห้องประชุมต่างเงียบกริบทันที
ทุกคนก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ถ้าให้พูดในสิ่งที่น่าสมเพชที่สุด ก็ต้องเป็นบรรณาธิการที่เป็นคนเชื้อเชิญด้วยตนเอง ผู้ช่วยเหมยคนเดียวก็สามารถไล่ตะเพิดเขาได้แล้ว ขนาดประเด็นหลักยังไม่ได้พูดด้วยซ้ำ จะมีเรื่องอะไรที่น่าอายกว่าเรื่องนี้อีกล่ะ?
ทุกคนต่างกลัวจะกลายเป็นราดน้ำมันบนกองไฟอีกครั้ง จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อทันที
แต่บก.จางแค่รู้สึกว่าหูของตนเองอื้ออึงไปหมด “ออกไปให้หมด”
เขารู้สึกปวดหัว ปกติทีมลูกน้องทำงานได้อย่างราบรื่นมาก ทำไมวันนี้เขามองแล้วรู้สึกขัดหูขัดตามาก
ทุกคนต่างเกรงกลัวว่าจะหาเรื่องใส่ตัว จึงรีบออกจากห้องประชุมอย่างทันควัน
บก.จางจุดบุหรี่หนึ่งมวน เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ พลันโทรศัพท์ออกไป
อีกฝ่ายก็กดรับสายอย่างรวดเร็วมาก น้ำเสียงราวกับกระเส่าแหบพร่าเล็กน้อย ซึ่งเป็นเสียงปลดปล่อยหลังจากเสร็จกิจของผู้ชายลักษณะแบบนั้น “เป็นไงบ้าง?”
บก.จางรีบระงับจินตนาการเลยเถิดที่อยู่ในหัวสมองของตนเองทันควัน พร้อมทั้งตอบกลับด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายและเจ็บปวด “ประธานเซียว คุณหนูเหลิงไม่ยอมตกลงให้พวกเราสัมภาษณ์ครับ”
เซียวหรานบี้บุหรี่ลงที่เขี่ยบุหรี่ตรงหัวเตียงนอน พลันแสดงความรู้สึกนิ่งเงียบอยู่ชั่วขณะ จึงได้กล่าวต่อ “เพราะว่าอะไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดใหม่เป็นนางร้าย เอ๊ย! นางเอก